มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 569
และร่างของหลัวซิวได้ปรากฏอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบแล้ว เขายิ้มจาง ๆ “สามกระบวนท่าผ่านไปแล้ว เชิญทุกท่านกลับไปเถอะ!”

“เทเลพอร์ต!” ดวงตาของหญิงชราจากเผ่าหงส์แข็งกระด้าง

นางรู้จักเก้าวิชายิ่งเลิศของไท่เสวียนโบราณ หนึ่งในนั้นคือวิชายิ่งเลิศที่เรียกว่าวิชาล่องหน ซึ่งฝึกฝนพลังแห่งโซน

ตามที่นางรู้ แม้แต่ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกฝนวิชายิ่งเลิศสองวิชาในเวลาเดียวกัน ไม่คาดคิดว่าไท่เสวียนไม่มีอยู่แล้ว รุ่นเยาว์คนนี้ยังมีโอกาสที่ดีขนาดนี้ที่ได้เรียนรู้วิชายิ่งเลิศสองประเภท

สิ่งที่ทำให้หญิงชราจากเผ่าหงส์ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือวิชายิ่งเลิศทุกประเภทนั้นยากต่อการฝึกฝนมาก ไม่เช่นนั้นจะไม่ถูกเรียกว่าวิชายิ่งเลิศ และฝึกฝนวิชายิ่งเลิศสองประเภทพร้อมกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่พรสวรรค์ทั่วไปสามารถทำได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้หญิงชราจากเผ่าหงส์หวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือวิธีที่อีกฝ่ายใช้ในกระบวนท่าที่สองที่สามารถยับยั้งและมีอิทธิพลต่อวิญญาณหยั่งรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ได้ เขาทำอย่างไร?

เก้าวิชายิ่งเลิศของไท่เสวียนโบราณ ไม่มีวิธีลับดังกล่าวนี้

สีหน้าของหญิงชราจากเผ่าหงส์เคร่งขรึมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ต้องพูดถึงว่านางแพ้สัญญาเดิมพันสามกระบวนท่า คู่ต่อสู้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆอีก คราวนี้ทำให้นางอับกายเสียหน้าไปหมด

หลังจากหลัวซิวพูดจบ เขาก็จ้องไปที่หญิงชรานิ่ง หากอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามเดิมพันและยืนกรานที่จะจู่โจม งั้นก็ต้องตายไปอีกข้างแล้วละ

เฟิ่งหลิงทั้งสามคนไม่กล้าที่จะหายใจแรง พวกเขาสามารถรู้สึกถึงโทสะและความโกรธที่ถูกระงับไว้ข้างในใจของผู้อาวุโสของผ่าหงส์

“ข้าประเมินเจ้าต่ำไป แต่ในวันนี้ ถึงแม้ข้าจะจากข้าไปเป็นชั่วคราว ผู้คนที่ปลุกสายเลือดหงส์ตื่นขึ้นมา ก็จะต้องกลับไปที่สำนักใหญ่อย่างแน่นอน!”

หงส์เพลิงเขียวกลายเป็นไม้ค้ำอีกครั้งและถูกหญิงชราจากเผ่าหงส์จับไว้ นางมองหลัวซิวอย่างมีความหมายแล้วกลายเป็นเปลวไฟหายตัวไปในท้องฟ้าทันที

เฟิ่งหลิงทั้งสามมีสีหน้าที่ซับซ้อน แล้วพวกเขาก็จากไป

เมื่อเห็นผู้คนจากเผ่าหงส์ล่าถอย บนเรือรน ฉีฝ่าเทียนมองไปที่หลัวซิวด้วยท่าทางตกตะลึง

เขาคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขายังสามารถต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ได้อีกด้วย

ฉีฝ่าเทียนรู้ดีว่า หากเขาได้หลอมรวมชิ้นส่วนกฎชิ้นหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าสามครั้งของเผ่าหงส์ระดับมหายุทธ์ได้อย่างแน่นอน แม้จะพยายามต่อต้านได้ ไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

และหลัวซิวทำทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดายเหมือนกับไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก งั้นก็หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเขา ผู้ลาดตระเวนคนนี้?

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญกับเขามาก พรสวรรค์ของชายผู้นี้ในการฝึกฝนนั้นน่ากลัวเกินไป” ฉีฝ่าเทียนแอบคิดในใจ

เขาสามารถมั่นใจได้ว่า แค่หลัวซิวชายผู้นี้ไม่ตาย เขาจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่นับได้ภายในอาณาจักรใต้ ภายในร้อยปี ภายในหนึ่งพันปีจะยืนอยู่บนโลกแสงดาวที่สูงที่สุดก็อาจเป็นไปได้

คนแบบนี้ต้องผูกมิตรไว้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเป็นศัตรูกับเขา ถูกจ้องมองโดยชายที่มีความสามารถพรสวรรค์น่ากลัวจ้องมองอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เขาไม่ว่าจะนั่งจะนอนก็ไม่สบายใจ

เรือรบยังคงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลัวเทียน

“เจ้าสำนักหลัวทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์จริงๆ ผลการฝึกตนแดน จักรพรรดิยุทธ์สามารถต่อต้านแดนมหายุทธ์ได้” บนดาดฟ้า ฉีฝ่าเทียนเทเหล้าให้หลัวซิวด้วยตัวเองและพูดอย่างชื่นใจ

ในอดีต เขาสุภาพต่อหลัวซิวเพราะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญ แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เขามีความคิดที่มีต่อหลัวซิว เขาชื่นชมความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาจริงๆ

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “ผู้ลาดตระเวนฉีชมเกินไปแล้ว เผ่าหงส์ระดับมหายุทธ์ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด และข้าก็ชนะการเดิมพันด้วยอุบาย ถ้าต่อสู้กันจริงๆขึ้นมา ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอย่างแน่นอน”

เมืองหลัวเทียนตั้งอยู่ใกล้ภูเขาซวนโหลวในอาณาจักรใต้ เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในอาณาจักรใต้

ทุกการแข่งขันก่อนเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ จะผลัดกันจัดการแข่งขันโดยสี่ภูมิภาคหลัก และครั้งนี้ถึงเวลาที่อาณาจักรใต้จัดงานแข็งขัน

ว่ากันว่าเมืองหลัวเทียนแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงภัยพิบัติสมัยโบราณ เพื่อต้านทานการโจมตีของมารนกจากเผ่าพันธุ์มาร มีการสร้างค่ายกลห้ามบินภายในระยะ 300 กิโลเมตรรอบเมือง

ดังนั้นเมื่อหลัวซิวและฉีฝ่าเทียนมาถึงที่นี่ พวกเขาลงมาจากฟากฟ้าห่างออกไปสามร้อยกิโลเมตรแล้วเดินเท้าเปล่าไปยังเมืองหลัวเทียนอันยิ่งใหญ่

เวลาพลบค่ำ แสงตะวันยามอัสดงสาดส่องทั่วเมือง อาคารในเมืองกระจัดกระจายเป็นระเบียบ มนต์เสน่ห์ของเวลาผันผวน ราวกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับทำให้คนอยากบูชา

เมืองหลัวเทียนเป็นสถานที่สำคัญในอาณาจักรใต้ แม้แต่ยามที่หน้าประตูเมืองก็อยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว หัวหน้าองครักษ์ มีผลการฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9