บทที่ 624 ทอดถอน

บัลลังก์พญาหงส์

ท่าทีของไทเฮาที่มีต่อกู้ซี ทำให้ถาวจวินหลันอดแปลกใจไม่ได้

 

 

หลังจากกู้ซีกลับไป ไทเฮาก็ไล่หลี่เย่ออกไป “เจ้าไปตัดดอกไม้ในสวนให้ข้าช่อหนึ่ง” นี่เป็นการไล่ให้หลี่เย่ออกไปก่อน ด้วยเพราะมีเรื่องอยากพูดกับถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งแปลกใจกว่าเดิม ไทเฮาอยากพูดอะไรถึงขั้นต้องให้หลี่เย่หลบออกไปด้วยหรือ?

 

 

หลี่เย่ก็ว่าง่าย เดินออกไปข้างนอก แม้แต่คำถามสักคำก็ยังไม่มี

 

 

พอหลี่เย่ออกไปแล้ว ไทเฮาถึงได้หันมาพูดกับถาวจวินหลันเสียงเรียบ “เจ้าเองก็เห็นท่าทีของข้าต่อจวงผิน เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วก็พูดลองเชิงว่า “จวงผินเป็นคนตระกูลกู้ ตามปกติแล้วไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็จะชื่นชอบ สนับสนุน มีเมตตากับนางอยู่บ้างหลายส่วน ตอนนี้พระองค์มีท่าทีเช่นนี้หรือเป็นเพราะจวงผินทำเรื่องอะไรให้พระองค์ไม่ชอบใจหรือเพคะ?”

 

 

ไทเฮาพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าอีก “ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไร แต่นางเปลี่ยนไป เจ้าเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่วัน ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในวังเท่าไรนัก ย่อมไม่รู้ว่ากู้ซียามนี้ไม่เหมือนกับกู้ซีในอดีตอีกแล้ว ข้าผิดหวังในตัวนางจริงๆ ซ้ำแล้วยังรู้สึกผิด”

 

 

ทำไมไทเฮาถึงรู้สึกผิด ถาวจวินหลันย่อมรู้ดี จึงพูดกล่อมว่า “ตอนแรกก็เพราะจนปัญญา คิดดูแล้วก็ไม่ใช่ความผิดของไทเฮานะเพคะ เหตุใดพระองค์จะต้องโทษตนเองด้วยเล่า? พูดไปแล้วก็เป็นโชคชะตาทั้งนั้น เรื่องนี้สวรรค์ได้ลิขิตไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ได้อย่างไรเพคะ? ใครก็คิดไม่ถึงว่าเกิดเรื่องเช่นนี้”

 

 

“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ใครตั้งใจวางแผนให้กู้ซีเข้าวังหลวงแน่” ไทเฮาขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าหงุดหงิดและไม่พอใจ

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เรื่องในวันนั้น หม่อมฉันสาบานว่าไม่ใช่ฝีมือของหม่อมฉันเพคะ” พูดไปแล้ว เรื่องนี้ก็ยังไม่คืบหน้า แม้แต่ทางด้านฮ่องเต้ก็ไม่มีข่าวหลุดออกมาแม้แต่น้อย ตราบจนพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

 

 

ไทเฮาส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าไม่ใช่เจ้า หากเจ้ามีเส้นสายขนาดรู้งานของฮ่องเต้ เช่นนั้นองค์รัชทายาทคงไม่ต้องทนมาหลายปีขนาดนี้ เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรอนาน เจ้าเองก็เป็นคนใช้ได้ ก่อนที่หลิวซื่อจะตายเคยให้คนยื่นฎีกาถึงข้า แต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองตวนชินอ๋อง แต่ข้าก็เก็บเรื่องนี้เอาไว้ หลิวซื่อกับเจ้าไม่ถูกกันมาตลอด ข้าไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ช่วงนั้นข้าเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมา”

 

 

ไทเฮาเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างฉับพลันจนถาวจวินหลันตั้งรับไม่ค่อยทัน พอตั้งสติได้แล้วก็พูดอย่างเขินอายปนตกใจ “ไทเฮาตรัสชมเกินไปแล้ว จะว่าไปแล้ว พระชายาเคยยื่นฎีกาหรือเพคะ?” คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วหลิวซื่อเคยทำเรื่องเช่นนี้ด้วย

 

 

“เพราะฎีกานั่นข้าถึงคิดว่าเจ้ารู้จักซื้อใจคน ดังนั้นหลังจากพิจารณาอย่างดีแล้ว ข้าก็เก็บฎีกานั้นเอาไว้” ไทเฮามองไปยังถาวจวินหลัน พิจารณาใบหน้าของนาง แต่กลับไม่เห็นความกล่าวโทษและไม่พอใจบนนั้นแม้แต่น้อย

 

 

ความจริงแล้ว ถาวจวินหลันไม่ได้นึกโทษไทเฮาหรือเสียดายอะไร อย่างไรตอนนี้นางก็เป็นพระชายาองค์รัชทายาทและภรรยาที่ถูกต้องของหลี่เย่แล้ว เรื่องเป็นพระชายาตวนชินอ๋องหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว หากอยากเป็นพระชายาตวนชินอ๋อง นางคงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของหลิวซื่อก่อนตายหรอก

 

 

แต่เพราะไทเฮายกเรื่องนี้มาพูดตอนนี้ ถาวจวินหลันจึงอดเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหลิวซื่อไม่ได้ สุดท้ายก็ลอบถอนหายใจแทนหลิวซื่อทีหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะหลงเชื่อคนอื่น ถูกเป่าหู หลิวซื่อก็คงไม่ได้ชีวิตสั้นเช่นนี้กระมัง? แม้จะบอกว่าหลิวซื่อทำเรื่องผิดมามากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินเยียวยา แต่น่าเสียดาย…

 

 

คิดทอดถอนใจแทนหลิวซื่อก็แค่ชั่วพริบตา ถาวจวินหลันหันไปยิ้มให้ไทเฮาอย่างรวดเร็ว พลางพูดว่า “หม่อมฉันเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว จะเป็นพระชายาหรือไม่ก็ไม่สำคัญเพคะ พูดไปแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องไปจัดการหลุมศพของพระชายาสักครั้ง ถือเป็นการให้เกียรติพวกนางแม่ลูกเพคะ”

 

 

ตอนนั้นหลิวซื่อตายด้วยโรคระบาด และยังจากไปเร็ว ดังนั้นหลุมศพจึงรีบทำขึ้นมา ย่อมไม่อาจสมกับสิ่งที่พระชายาชินอ๋องควรได้รับ

 

 

 ไทเฮาพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าตัดสินเอาเองเถิด” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดถึงกู้ซีอีก “หลังจากนี้ก็อย่าสนิทกับกู้ซีมากนัก ข้าจะให้นางมาทำความเคารพชั่วยามอื่น เลี่ยงกับพวกเจ้าซะ เรื่องในวันนี้เจ้าจะต้องคอยจับตาดูข่าวลือในวังหลวง คำพูดคนน่ากลัวนัก เจ้าจะต้องจำเอาไว้”

 

 

ไทเฮาพูดอย่างจริงจังเคร่งขรึม ถาวจวินหลันย่อมไม่กล้าละเลย รีบรับคำในทันใด แต่พูดตามจริงแล้วนางก็ไม่ได้ชอบกู้ซีนัก ก่อนนี้ตอนที่กู้ซียังเป็นหญิงสาวก็ไม่เท่าไร แต่ตอนนี้ยิ่งน่าโมโหขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

 

 

ในเมื่อไม่ชอบนางก็ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่กับกู้ซีอีก พอไทเฮาพูดแบบนี้ นางก็ตัดเรื่องออกไปได้ไม่น้อย ทว่านางก็ยังพูดอีกว่า “แต่อย่างไรก็เป็นคนตระกูลกู้ หลังจากนี้หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทก็ต้องพยายามดูแลเพคะ”

 

 

เห็นถาวจวินหลันพูดจาอย่างรู้งาน ไทเฮาก็พึงพอใจ “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว แต่เจ้าจะต้องจำเรื่องหนึ่งเอาไว้ให้แม่นมั่น ญาติห่างไกลไม่อาจมีอำนาจมากเกินไป แคว้นนี้อย่างไรก็เป็นแคว้นของตระกูลหลี่ ให้ข้อดีและผลประโยชน์แก่ญาติไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องกะปริมาณให้พอดี”

 

 

น้ำเสียงของไทเฮาเฉียบคมเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮา ญาติห่างๆ นี่ไม่ได้หมายถึงแค่ตระกูลกู้ ยังหมายถึงตระกูลถาวด้วย ไทเฮาตั้งใจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพื่อเตือนสตินาง กลัวว่าหลังจากนางก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำดีต่อตระกูลถาวมากเกินไป จนสุดท้ายตระกูลหลี่กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของตระกูลถาว

 

 

ไทเฮาไม่ได้กังวลโดยไร้เหตุผล ตั้งแต่โบราณมาเรื่องเครือญาติถืออำนาจทางการเมืองก็มีไม่น้อย อีกทั้งหลี่เย่ยังให้ความสำคัญกับนางเช่นนี้ หากนางคิดจะวางแผนชิงอำนาจและเกียรติยศให้ตระกูลถาวก็ยิ่งง่ายดาย

 

 

ถาวจวินหลันลุกขึ้นค้อมตัวให้ไทเฮาอย่างจริงจัง “ไทเฮาโปรดวางใจเถิดเพคะ แผ่นดินนี้เป็นของตระกูลหลี่ และจะเป็นแผ่นดินของตระกูลหลี่เท่านั้น หากลูกหลานตระกูลถาวมีความสามารถจริง ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหม่อมฉัน ถ้าพวกเขาไม่มีความสามารถนั้นทำไมหม่อมฉันจะต้องให้พวกเขาเข้ามายุ่งเรื่องราชการด้วยเล่าเพคะ? เป็นคนว่างงานมีเงินไม่ใช่ว่ามีความสุขหรือเพคะ อีกอย่างองค์รัชทายาทก็เป็นสามีของหม่อมฉัน เป็นคนที่หม่อมฉันต้องอยู่ด้วยทั้งชีวิตนี้ ซวนเอ๋อร์ก็เป็นลูกแท้ๆ ของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมคาดหวังให้พวกเขาได้ดี ไฉนเลยจะกล้าสร้างความอันตรายให้พวกเขาเพคะ?”

 

 

ไทเฮาพยักหน้า “ข้าเองไม่ได้ตั้งแง่กับเจ้า เพียงแค่เตือนเท่านั้น เจ้าเองก็รู้ความ ในอนาคตอย่าได้เดินทางเดียวกับฮองเฮา ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโตขององค์รัชทายาท ในอนาคตหากไม่ผิดพลาดเขาย่อมเป็นผู้สืบทอดขององค์รัชทายาท ส่วนเซิ่นเอ๋อร์แม้ว่าจะเลี้ยงอยู่กับข้า แต่จะเลี้ยงให้เป็นคนเสเพลก็ง่ายดาย สายเลือดขององค์รัชทายาทมีไม่เยอะ ต่อไปตอนแต่งตั้งอ๋อง ก็ยกที่อุดมสมบูรณ์ให้เขาสักผืนก็พอแล้ว”

 

 

ไทเฮาคิดหาหนทางให้เซิ่นเอ๋อร์ก่อนล่วงหน้าแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันแอบอึดอัดใจว่าท่าทีของไทเฮาในวันนี้ อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ฝากฝังเรื่องมากมายเช่นนี้? เหมือนเป็นคำสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เพราะเหตุนี้ในใจของถาวจวินหลันจึงรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก รีบหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด “ดูไทเฮาตรัสเข้าสิเพคะ ถึงตอนนั้นพระองค์ก็ยังแข็งแรงอยู่เลย เซิ่นเอ๋อร์ถึงเวลาจะจัดการอย่างไรก็อยู่ที่พระองค์แล้วเพคะ”

 

 

ไทเฮาหัวเราะ แต่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด เพียงแค่พูดกับเจ้าก่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องไปคาดเดากนัเอาเอง เช่นนั้นไม่ดีหรือ”

 

 

ยังดีที่ตอนนี้หลี่เย่กลับเข้ามาพอดี เดินถือดอกชบาที่เพิ่งบานเข้ามาช่อหนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “ดอกชบาออกดอกกำลังดีเลย สีก็สวยนัก ไม่ทราบว่าเสด็จย่าชอบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ไทเฮาย่อมไม่เลือกมาก มองหลี่เย่พลางยิ้มกำชับถาวจวินหลัน “ในเมื่อองค์รัชทายาทตัดมาเอง เช่นนั้นพระชายาก็เอาไปจัดใส่แจกันด้วยตนเองเถิด ถือเป็นความกตัญญูของพวกเจ้าสองคน”

 

 

ทันใดนั้นบรรยากาศพลันก็คึกครื้น

 

 

หลังจากออกมาจากวังไทเฮาแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดอยู่ว่าจะบอกหลี่เย่ดีหรือไม่ เพียงพูดว่า “ตอนนี้ไทเฮาไม่ชอบกู้ซีแล้วเพคะ ไม่รู้ว่ากู้ซีทำเรื่องอะไรผิด”

 

 

หลี่เย่กลับไม่ใส่ใจ เพียงแค่ตอบกลับมาอย่างไม่ได้ปฏิเสธ “ไม่เห็นต้องคิด สตรีในวังหลวงยังมีเรื่องอะไรให้ทำอีก? นอกจากแย่งชิงความโปรดปรานและคิดหาวิธีเ**้ยมโหดเท่านั้น ตอนแรกไทเฮาคิดว่านางเป็นผ้าขาว ตอนนี้ย่อมต้องรู้สึกต่างไปเป็นแน่”

 

 

นางไม่เคยรู้สึกว่ากู้ซีเป็นผ้าขาวตั้งแต่แรก และยิ่งไม่คิดว่ากู้ซีไม่มีความคิดหรือฝีมือ แม่เช่นนั้นสอนสั่งลูกสาว แม้ว่าจะไร้เดียงสาจริง แต่จะไร้เดียงสาได้ถึงขั้นไหนกัน? มีบางเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่ทำเพราะไม่จำเป็น แต่ใช่ว่าจะทำแบบนี้ได้ตลอดไป

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างประหลาดใจ ฉับพลันก็รู้สึกยินดี “ยังดีที่ตอนแรกนางไม่ได้เข้าจวนอ๋อง” มิเช่นนั้นเกรงว่านางคงถูกตีกรอบ ขีดเส้นจำกัด และเสียเปรียบเป็นแน่

 

 

จากคำพูดของหลี่เย่และไทเฮา นางก็เริ่มเข้าใจเรื่องนี้ กู้ซีไม่ใช่ผ้าขาวเป็นแน่

 

 

“ความจริงแล้วต่อให้ไม่มีเรื่องนั้น กู้ซีก็ไม่อาจเข้าจวนอ๋องมาได้” หลี่เย่พูดเนิบๆ

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แล้วนางก็มั่นใจ เกรงว่าตอนแรกหลี่เย่คงจะเตรียมรับมือให้กู้ซีเข้าวังหลวงอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้แสดงฝีมือ กู้ซีก็ถูกฮ่องเต้…

 

 

ทุกครั้งที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอาจด้วยหลี่เย่ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถามอย่างละเอียด อย่างไรก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้รู้ว่าเขาคิดเช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

 

 

แต่เรื่องที่กู้ซีถามนาง นางกลับพูดให้หลี่เย่ฟังโดยตรง “ข้าคิดว่านางน่าจะรู้อะไรบ้างนะเพคะ”

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “อาจจะแค่เดาเท่านั้น หากจะหาหลักฐานมามัดตัว แม้แต่ข้าเองก็ยังหาไม่ได้ แล้วนางจะหาได้อย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันคิดตาม ก็เข้าใจในทันใด จะไม่ใช่ได้อย่างไร? หากเรื่องอี๋เฟยถูกพบได้ง่ายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รู้ว่าอี๋เฟยจะตายไปกี่รอบแล้ว ไฉนเลยจะอยู่ถึงวันนี้เล่า?

 

 

“พูดเรื่องนี้แล้วต่อไปท่านคิดจะจัดการอี๋เฟยกับองค์ชายเก้าอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันพลันคิดเรื่องนี้ได้ จึงเอ่ยปากถามเสียงเบา

 

 

หลี่เย่พูดน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่อาจปล่อยไว้ได้” หยุดไปครู่หนึ่งเหมือนกลัวว่าถาวจวินหลันจะขอร้อง จึงอธิบายขึ้นว่า “อาอู่ก็พอแล้ว อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อและเป็นคนตระกูลหลี่ แต่อี๋เฟยทำเรื่องเช่นนี้ ไม่อาจปล่อยไว้ได้ แม้องค์ชายเก้าไร้เดียงสา ถึงเวลาอย่างมากก็ถูกส่งไปอยู่นอกเมือง ให้คนตระกูลร่ำรวยเลี้ยงเท่านั้นเอง” แม้จะพูดว่าส่งคืนแต่การจับตามองตลอดชีวิตนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น