บทที่ 625 ยอมตาย

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันย่อมไม่ขอร้องแทนอี๋เฟย แม้จะบอกว่าอี๋เฟยน่าสงสารอยู่บ้าง แต่อี๋เฟยทำเรื่องนั้นคิดว่าในใจคงจะรู้ตัวอยู่บ้างแล้ว อีกอย่างหลี่เย่ไว้ชีวิตเด็กคนนั้นก็ถือว่าเมตตาที่สุดแล้ว

 

 

ดังนั้นเรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่คิดจะพูดมาก

 

 

และด้วยเวลาที่หลี่เย่ ‘รักษาตัว’ ในวังตวนเปิ่นเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ ภายในราชสำนักจึงเริ่มมีข่าวที่แตกต่างกันออกมามากมาย มีขุนนางตรวจตราเริ่มส่งฎีกาเตือนฮ่องเต้ มีความว่าองค์รัชทายาทเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไป น่าจะต้องเรียนเรื่องการจัดการราชการให้เร็ว เช่นนี้ส่งผลดีต่อการบริหารแผ่นดิน

 

 

สุดท้ายขุนนางตรวจตราคนนี้ก็ประสบเหตุระหว่างทางกลับบ้าน กระดูกหักจนไม่อาจเข้าว่าราชการได้ไปหลายเดือน

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ เรื่องนี้ก็ใหญ่โตแล้ว อีกทั้งยังกระจายออกไปแพร่หลาย คนไม่น้อยยังยื่นฎีกา และกล่าวโทษฮ่องเต้อย่างไม่เกรงใจ ว่าไม่ยอมสอนหลี่เย่ เลวร้ายและเห็นแก่ตัว

 

 

ในแผ่นดินนี้คงมีเพียงขุนนางตรวจตรากลุ่มนี้ที่กล้าตำหนิฮ่องเต้โดยไม่เกรงใจ

 

 

แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกพระองค์จะมีจิตใจกว้างขวางรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างเกาจู่ฮ่องเต้ ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำต่อว่าของขุนนางตรวจตรา ก็สั่งให้บรรดาขุนนางตรวจตราปิดประตูพิจารณาตน ส่วนคิดเรื่องอะไรทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ

 

 

สำหรับขุนนางธรรมดาแล้วบางทีการลงโทษขมขู่เช่นนี้มีผล แต่สำหรับบรรดาขุนนางตรวจตรานั้นเห็นชัดว่าไม่ได้ผลอะไร แต่ยิ่งกระตุ้นความหัวแข็ง ต่อมโมโหให้บรรดาขุนนางตรวจตราเหล่านั้น

 

 

ผลลัพธ์สุดท้ายคือบรรดาขุนนางตรวจตราเหล่านั้นลงชื่อยอมรับความตาย ที่บอกว่ายอมตายนั้นคือบรรดาขุนนางตรวจตราเสนอแนะโดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ตอนนี้บรรดาขุนนางตรวจตราคุกเข่าอยู่หน้าประตูวัง หากฮ่องเต้ไม่ยอมรับหนังสือแนะนำ ก็จะคุกเข่าจนตาย

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่เพียงแค่เรื่องหลี่เย่ไม่เข้าว่าราชการ และไม่เข้ามายุ่งกับราชสำนัก แต่เป็นการเผชิญหน้าตั้งทัพระหว่างฮ่องเต้และขุนนางตรวจตรา การเผชิญหน้าโดยมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน

 

 

สำหรับฮ่องเต้ หากยอมรับก็จะถูกขุนนางตรวจตราเหล่านี้บีบไว้ในมือ แต่สำหรับบรรดาขุนนางตรวจตรา หากฮ่องเต้ไม่ยอมรับหนังสือนี้พวกเขาก็จะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป หลังจากนี้ขุนนางตรวจตราก็จะไม่เหลือที่ยืนอีกต่อไป

 

 

บรรดาขุนนาตรวจตรานั้นหัวแข็งกันทุกคน เป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษ เอาเข้าจริงแล้วนี่เป็นตำแหน่งที่เกาจู่ฮ่องเต้จัดตั้งขึ้นมา จุดประสงค์เพื่อป้องกันลูกหลานไม่เชื่อฟังคำ มัวเมาไร้ความสามารถ

 

 

ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ไหน หากพบขุนนางตรวจตราเช่นนี้ก็ต้องปวดหัวทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยื่นหนังสือยอมตายเช่นนี้

 

 

ฮ่องเต้กริ้วจนอารมณ์พลุ่งพล่าน จากนั้นก็เรียกหลี่เย่เข้าเฝ้า และเพราะเหตุนี้ถาวจวินหลันถึงได้รู้เรื่อง

 

 

แต่หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว นางก็อดกังวลแทนหลี่เย่ไม่ได้ ฮ่องเต้เรียกหลี่เย่ไปตอนนี้คงไม่ใช่เพราะแจ้งให้หลี่เย่เข้าว่าราชการเป็นแน่ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือคิดว่าหลี่เย่คอยผลักดันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ จุดประสงค์เพื่ออำนาจ

 

 

ถาวจวินหลันอยากไปหาไทเฮาในฉับพลัน แต่พอคิดถึงสุขภาพของไทเฮาหลายวันมานี้ก็ต้องเก็บความคิดนี้ไป แม้แต่หลี่เย่เองก็คงไม่เห็นด้วยกับนาง

 

 

สุดท้ายนางก็ได้แต่นิ่งสงบจับตามองความเคลื่อนไหว ฮ่องเต้คงทำอะไรหลี่เย่ไม่ได้ อย่างมากก็ตำหนิอย่างหนักสักทีหนึ่ง ถาวจวินหลันคิดปลอบตนเองเช่นนี้

 

 

ความเป็นจริงก็ไม่ได้ต่างจากที่นางคิดนัก

 

 

หลังจากกลับมาจากไปหาฮ่องเต้ หลี่เย่ก็ล้มป่วยจริง ไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่เข้าว่าราชการเท่านั้น ครั้งนี้หลี่เย่จะต้อง ‘นอนพักรักษาตัว’

 

 

หลังจากได้ยินคำกำชับของหลี่เย่แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ นอนพักรักษาตัวคงเป็นคำขอของฮ่องเต้

 

 

สังเกตอาการของหลี่เย่อีกครั้ง แม้จะบอกว่าไม่ได้แตกต่างจากปกตินัก แต่พอสังเกตให้ดีก็พอจะมองบางอย่างออกอยู่บ้าง

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดปลอบว่า “เพียงแค่ประกาศให้คนอื่นรับรู้เท่านั้นเพคะ วังตวนเปิ่นของพวกเราปิดประตูแล้วจะมีใครรู้ว่านอนพักจริงหรือไม่? แต่ปกติแล้วก็ปล่อยตัวเกินไปเสียหน่อย เดินไปมาอยู่ในวังหลวงทุกวัน ทำให้คนเห็นอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้เพคะ”

 

 

“แต่ที่สำคัญ หากข้าทำตามเช่นนั้นจริง บรรดาขุนนางตรวจตราเหล่านั้นก็คงต้องตาย” สุดท้ายหลี่เย่ก็ถอนหายใจออกมา ท่าทีอ่อนโยนที่เคยมีพลันหายไป “เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญเป็นแน่”

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจ จึงเอ่ยถามด้วยความตกใจ “ถ้าเช่นนั้นเป็นใคร…“

 

 

“จวงอ๋อง” หลี่เย่นั้นสีหน้าดำคล้ำ “ขุนนางตรวจตราที่ยื่นฎีกาไปคนแรกก็เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องคลุมเครือกับพระชายาจวงอ๋อง”

 

 

ถาวจวินหลันรู้ดีว่าในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้ก็ต้องมั่นใจมาก จู่ๆ นางก็อดหงุดหงิดไม่ได้ “จวงอ๋องคิดจะทำอะไรกันแน่เพคะ? จะต้องทำให้วุ่นวายพลิกกลับตาลปัตรหรืออย่างไร? นี่มันถึงเวลาไหนแล้ว?” อู่อ๋องนำทัพออกรบ ในตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งข่าวดีกลับมา คดีทุจริตเงินบรรเทาภัยพิบัติก็ยังไม่จบ แม้แต่กองทัพข้าศึกบริเวณชายแดนก็ดูมีความคิดเหิมเกริม ตอนนี้หากยังสร้างเรื่องวุ่นวายเหล่านี้อีกถือว่าไม่ได้สร้างผลดีอะไรให้แก่การจัดการบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจไม่ได้พูดอะไรอีก “รอดูว่าเรื่องจะดำเนินไปทิศทางใดก็แล้วกัน”

 

 

ดังนั้นหลี่เย่จึงเริ่ม ‘นอนพักรักษาตัว’

 

 

ช่วงแรกถาวจวินหลันยังปิดบังไทเฮาบอกว่าหลี่เย่มีธุระ แต่ผ่านไปหลายวันก็ยังเป็นเหมือนเดิมไทเฮาย่อมจับสังเกตได้ วันนี้เมื่อถาวจวินหลันเจอไทเฮา ยังไม่ทันทำความเคารพ ไทเฮาก็มองนางนิ่งถามว่า “องค์รัชทายาทคิดจะทำอะไรกันแน่”

 

 

ถาวจวินหลันยังคิดจะใช้ข้ออ้างเดิมมาหลอกไทเฮา

 

 

ใครจะรู้ว่าไทเฮากลับตะคอกก่อน “เจ้ากล้าใช้คำพูดนั้นมาหลอกข้าอีกหรือ?! ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว องค์รัชทายาทยังไม่ไปว่าราชการ!”

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่พูดอย่างจนปัญญา “ตอนนี้องค์รัชทายาทนอนพักรักษาตัวอยู่ที่วังตวนเปิ่นเพคะ”

 

 

“นอนพักรักษาตัว!” ไทเฮาสูดหายใจลึก ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ “ร่างกายขององค์รัชทายาทเจ็บป่วยตรงไหนหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า

 

 

ไทเฮาถึงได้เข้าใจ โกรธกริ้วจนตบขอบตั่งอย่างแรง แล้วยังพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ไป ไปเรียกฮ่องเต้มา! ไปเรียกฮ่องเต้มา!”

 

 

ถาวจวินหลันรีบเข้าไปปลอบไทเฮาอย่างตกใจ “ไทเฮาจะทำอะไรเพคะ? พระองค์อย่ากริ้วไปเลยเพคะ องค์รัชทายาทบอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่” ทันใดนั้นนางก็รู้สึกผิดขึ้นมา แต่สถานการณ์เช่นเมื่อครู่นางก็ปิดบังต่อไม่ได้จริงๆ

 

 

ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างนั้นหรือ? ข้าส่งคนไปสืบข่าวมาไม่ใช่หรือ แล้วจะไม่รู้เลยหรือว่าขุนนางตรวจตรากับฮ่องเต้มีปัญหากัน! ฮ่องเต้จะเลอะเลือนได้ แต่หญิงชราอย่างข้ายังไม่เลอะเลือน! ข้าอยากจะถามเขานัก แท้จริงแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!”

 

 

ถาวจวินหลันรีบเกลี้ยกล่อม “ฮ่องเต้ต้องคิดเอาไว้แล้วเป็นแน่เพคะ ไทเฮาทำเช่นนี้ไม่แน่ว่าผลที่ออกจะกลับตาลปัตรนะเพคะ ยิ่งเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างพ่อลูก ดังนั้นพระองค์ว่า…”

 

 

ไทเฮานั่งทิ้งตัวลงบนหมอนนิ่ม ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หัวเราะขมขื่นถามถาวจวินหลันกลับ “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้ยังไม่เลอะเลือนอย่างนั้นหรือ คิดว่ายังกลับตัวกลับใจได้อีกหรือ? แม้ว่าจะข้าจะแก่ แต่ก็ไม่ได้ตาบอดหูหนวก! เขาเรียกนักพรตให้มาปรุงยาอายุวัฒนะให้เขา เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

 

 

“ข้ายอมคิดว่าในเมื่อเขาตั้งใจเช่นนี้ ทำไมข้าจะต้องเข้าไปห้ามด้วย? แต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วก็ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบไปเถิด แต่เขากลับยิ่งกำเริบเสิบสานขึั้นเรื่อยๆ” เสียงของไทเฮานั้นเบาลง และอ่อนแรง “ล้วนพูดว่ายากจะเลอะเลือน ข้าเองก็ยินดีจะเลอะเลือน แต่ตอนนี้ข้าจะเลอะเลือนอย่างสบายใจได้อย่างไร? เขาอยากทำให้ชื่อเสียงของตนเสียหายไปด้วยหรือ!”

 

 

คนเป็นแม่คนย่อมไม่อาจทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ลูกชายตกลงไปในบ่อลึกที่หาทางขึ้นไม่เจออีก

 

 

ถาวจวินหลันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก นางกับหลี่เย่คิดปิดบังเรื่องนี้กับไทเฮา แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะรู้อยู่นานแล้ว เพียงแค่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน หรือจะบอกว่ายอมแพ้กับฮ่องเต้แล้วกระมัง?

 

 

ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องในราชสำนัก เกรงว่าไทเฮาอาจแสร้งทำเลอะเลือนไปตลอด

 

 

ตอนที่ไทเฮาแกล้งทำเลอะเลือนนั้นจะต้องรู้สึกเช่นไร? บางทีใบหน้าอาจจะยิ้ม แต่ในใจคงขมเหมือนกินบอระเพ็ดกระมัง?

 

 

ถาวจวินหลันเพียงแค่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็ต้องตื่นตะลึงไป อดส่งเสียงกล้ำกลืนพูดไม่ได้ “ไทเฮา…”

 

 

ไทเฮาถอนหายใจ ก่อนจะหัวเราะขมขื่น “พวกเจ้าตั้งใจปิดบังข้า ก็เพราะกตัญญู หญิงชราอย่างข้าเห็นอย่างนี้ก็ยินดียิ่งนัก”

 

 

แม้ว่าใบหน้าจะยิ้ม แต่ดวงตาของไทเฮากลับมีประกายน้ำสะท้อนออกมา สุดท้ายหยดน้ำเหล่านั้นก็ไหลลงมาตามใบหน้าเ**่ยวย่นช้าๆ

 

 

ถาวจวินหลันก็รู้สึกแสบจมูก น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

แต่สุดท้ายไทเฮาก็ไม่ได้พบฮ่องเต้ คนที่มากลับเป็นกู้ซี ฮ่องเต้ไม่ยอมมา เพียงแค่ให้กู้ซีมาปลอบประโลมไทเฮาเท่านั้น

 

 

กู้ซีถ่ายทอดความตั้งใจของฮ่องเต้อย่างขลาดกลัว “ฮ่องเต้ตรัสว่า ขอให้ไทเฮาดูแลร่างกายให้ดี ไม่ต้องสนใจเรื่องในราชสำนักแล้วเพคะ”

 

 

ไทเฮามองกู้ซีนิ่งไปครู่ใหญ่ “ฮ่องเต้พูดเช่นนี้จริงหรือ?”

 

 

กู้ซีตาแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมาเต็มหน้า “หม่อมฉันไม่กล้าทูลเรื่องเท็จเพคะ”

 

 

ไทเฮาสูดหายใจลึก โบกมือ “ช่างเถิด เจ้ากลับไปก่อน บอกฮ่องเต้ว่าหลังจากนี้ไม่ต้องมาอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปวังหย่งโซ่วปิดประตูงดรับแขก! แม้แต่วันที่ข้าตาย ฮ่องเต้ก็ไม่ต้องออกหน้า! เพียงให้พวกหลานจัดการก็พอ!”

 

 

ไทเฮาหมายความว่าจะตัดเป็นตัดตายกับฮ่องเต้ หากคำพูดนี้กระจายออกไป ชื่อเสียงอกตัญญูของฮ่องเต้ก็จะยิ่งหนักขึ้น แต่บีบบังคับไทเฮาจนทำได้ขนาดนี้ ก็ถือฮ่องเต้ว่าอกตัญญูยิ่ง

 

 

กู้ซีรีบขอตัวทูลลา

 

 

ถาวจวินหลันเห็นไทเฮามีท่าทีผิดปกติ ก็รีบเข้าไปช่วยนวดให้ไทเฮา “ไทเฮาอย่ากังวลเรื่องเหล่านี้ไปเลย คิดเรื่องน่ายินดีเถิดเพคะ!”

 

 

ไทเฮาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่นั่งนิ่งเช่นเดิม

 

 

จางหมัวหมัวเห็นความผิดปกติ ก็รีบไปประคองไทเฮา “ไทเฮาอย่าทำให้บ่าวตกใจสิเพคะ! หากเสียพระทัยก็อย่าเก็บเอาไว้เลยเพคะ!”

 

 

ไทเฮาไม่ได้ร้อง ผ่านไปครู่หนึ่งกลับสำรอกเลือดออกมา จากนั้นก็หลับตาอย่างเหนื่อยล้า “ข้าเหนื่อยแล้ว จะนอนพักเสียหน่อย พระชายากลับไปเถิด บอกองค์รัชทายาทว่าไม่ต้องห่วงหญิงชราเช่นข้า ให้เขาปกป้องแผ่นดินที่บรรพบุรุษแลกมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อให้ดี อย่าปล่อยให้ล่มจมด้วยน้ำมือของพ่อเขา!” พอพูดจบก็หลับตาทั้งสองข้างลง ทั้งร่างนั้นดูไร้เรี่ยวแรงเป็นที่ยิ่ง

 

 

ถาวจวินหลันเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปข้างนอก ไม่รักษาภาพลักษณ์อีกต่อไป ตะโกนเสียงดัง “เร็ว เรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวงเร็วเข้า!”