บทที่ 626 เกิดเรื่อง

บัลลังก์พญาหงส์

ยังดีที่นอกจากตอนแรกไทเฮาสำรอกเลือดออกมาดูรุนแรงแล้วนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติอีก รอจนหมอหลวงตรวจเสร็จแล้ว เพียงแค่บอกว่าไทเฮามีปัญหาในใจ คิดมากเกินไปจนทำให้เลือดลมติดขัด การที่สำรอกโลหิตออกมานั้นกลับเป็นการอาเจียนเอาก้อนเลือดเหล่านั้นออกมา ส่งผลดีต่อร่างกาย 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจโล่งอก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสาร ไทเฮาเป็นเช่นนี้คงเพราะว่าจิตใจย่ำแย่มานานแล้วเช่นเดียวกัน แต่น่าโมโหที่พวกเขาไม่มีใครมองออกแม้แต่คนเดียว แล้วนางยังคิดว่าไทเฮาอารมณ์ดีด้วยซ้ำไป ถึงได้ทำให้นางทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ 

 

 

เอาเข้าจริงแล้วสุดท้ายพวกนางก็ไม่ได้ใส่ใจไทเฮามากพอ 

 

 

แต่คำพูดนี้ถาวจวินหลันไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่คิดอยู่ในใจว่าหลังจากนี้ทุกวันจะต้องมาให้เร็วขึ้น มาดูแลไทเฮาให้มากถึงจะดี อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ระยะนี้ไทเฮาสอนสั่งนางมากมายเท่าไรกัน? เพียงแค่เรื่องนี้นางก็ควรต้องกตัญญูต่อไทเฮาแล้ว 

 

 

แต่ไทเฮากลับไม่ได้คิดเช่นนี้ รอจนได้ฟื้นสติกลับมาแล้ว ก็รีบไล่คนออกไป “พระชายาองค์รัชทายาทกลับไปเถิด ต่อไปนี้ไม่ต้องมาอีก” 

 

 

ท่าทางเช่นนั้นเหมือนจะปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ไม่พบใครอีกจริงๆ 

 

 

ถาวจวินหลันรีบพูดกล่อม “คนอื่นก็แล้วไป แต่พระองค์จะไม่พบแม้แต่หม่อมฉัน องค์รัชทายาท และซวนเอ๋อร์เลยหรือเพคะ? สองวันนี้ไม่ได้พาซวนเอ๋อร์มา เขาเองก็คิดถึงพระองค์อย่างมาก” 

 

 

“ไม่พบแล้ว ปล่อยให้หญิงชราเช่นข้าอยู่อย่างสงบหน่อยเถิด” ไทเฮามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายแม้แต่จางหมัวหมัวก็เริ่มช่วยพูดเช่นกัน 

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่ยอมแพ้ ขอตัวทูลลาออกมาก่อน 

 

 

หลังกลับมายังวังตวนเปิ่นแล้วถาวจวินหลันก็ไม่กล้าปิดบังหลี่เย่ จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง 

 

 

หลี่เย่ย่อมเป็นกังวล แต่ไม่ได้พูดว่าจะไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพียงแค่ถอนหายใจออกมา “เสด็จย่าคงเสียใจมาก นางอยากอยู่สงบๆ พวกเราก็ไม่ต้องไปรบกวนแล้ว” 

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็บอกความกังวลในใจออกมา “เรื่องนี้หรือท่านจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือเพคะ? จะไม่ทำอะไรเลยหรือเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้าเบาๆ “ยังไม่ถึงเวลา รออีกสักสองวัน” วันนี้เป็นวันที่ห้าที่ขุนนางตรวจตรายื่นหนังสือยอมตายแล้ว ห้าวันผ่านไปแม้ว่าตกกลางคืนจะได้พัก แต่บรรดาขุนนางตรวจตราก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าหลี่เย่กำลังรออะไร แต่ดูท่าทีมั่นอกมั่นใจของเขาก็รู้สึกสบายใจไปไม่น้อย 

 

 

วันรุ่งขึ้นนางก็ได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่ง สุขภาพของหลี่เย่ไม่ดี ไม่อาจรับหน้าที่หนักได้ ดังนั้นบรรดาขุนนางตรวจตราจึงเปลี่ยนคำพูดขอร้องให้ปลดองค์รัชทายาท 

 

 

นี่เป็นการแสดงออกว่าไม่พอใจเรื่อง ‘นอนพักรักษาตัว’ มาตลอดของหลี่เย่ คิดว่าหลี่เย่สุขภาพไม่ดีจริงๆ ไม่เหมาะสมเป็นองค์รัชทายาทย่างนั้นหรือ? ถาวจวินหลันไตร่ตรองอยู่นาน ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา สุดท้ายก็ยังต้องไปหาหลี่เย่ที่ห้องหนังสือ แต่หลี่เย่กลับไม่อยู่ในวังตวนเปิ่น ได้ยินขันทีที่เฝ้าห้องหนังสือพูดว่าออกไปแล้ว  

 

 

ได้ยินว่าหลี่เย่ออกไป ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที หลี่เย่คงรอช่วงเวลานี้อยู่แน่นอน 

 

 

ระหว่างที่นั่งรอข่าวอยู่ที่วังตวนเปิ่นอย่างหายใจไม่ทั่วท้อง หยวนฉงหวาก็มาขอเข้าพบ และยังคงพาอาอู่มาเล่นกับซวนเอ๋อร์ 

 

 

แม้จะบอกว่าถาวจวินหลันไม่มีอารมณ์อยากเจอ แต่สุดท้ายก็ยังพบหยวนฉงหวา ใครจะรู้ว่าพอหยวนฉงหวาพบนางกลับรีบก้าวเข้ามาเอ่ยเสียงเบาทันที “ข้ามีเรื่องด่วนต้องพูดกับท่านเพคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันมองหยวนฉงหวาที่มีท่าที่ตื่นเต้น ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมา เกรงว่าหยวนฉงหวาคงมีเรื่องสำคัญจริง ในตอนนั้นนางก็สั่งให้คนออกไป บอกให้หงหลัวพาอาอู่ไปหาซวนเอ๋อร์และหมิงจู เหลือหยวนฉงหวาเอาไว้พูดคุย 

 

 

หยวนฉงหวาร้อนใจมาก รอจนคนออกไปแล้ววก็รีบถามว่า “อี๋เฟยถูกจับแล้ว! นางใช้วิธีลับส่งข่าวออกมา สถานการณ์ครั้งนี้ไม่สู้ดีนัก! คงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!” 

 

 

ถาวจวินหลันก็ตกใจ “ถูกจับอย่างนั้นหรือ? ถูกใครจับกัน?” 

 

 

หยวนฉงหวายิ้มขมขื่น “ฮ่องเต้น่ะสิ นอกจากฮ่องเต้แล้วยังมีใครกล้าเล่นงานอี๋เฟยเล่า? อี๋เฟยเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ข้ากลัวว่าจะพาลมาถึงอาอู่ พระชายาเพคะ ท่านว่าควรทำเช่นไรดีเพคะ?” 

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร แต่พอได้ยินว่าฮ่องเต้จับอี๋เฟยเอาก็ใจหล่นในทันที ได้แต่คิดว่าเรื่องแดงแล้ว 

 

 

หยวนฉงหวามีปฏิกิริยาเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ 

 

 

หากฮ่องเต้รู้เรื่องที่อี๋เฟยทำ แม้ว่าอาอู่จะมีสายเลือดของตระกูลหลี่ ฮ่องเต้ก็คงไม่ปล่อยให้อาอู่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ฮ่องเต้อารมณ์ร้ายมากเพียงใด เพียงแค่พูดว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรับได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่มีทางเก็บอาอู่เอาไว้เช่นเดียวกัน 

 

 

“เช่นนั้นอี๋เฟยได้พูดหรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?” ถาวจวินหลันคิดว่าในเมื่ออี๋เฟยสามารถถ่ายทอดคำพูดออกมาได้ เช่นนั้นสถานการณ์อาจจะไม่รุนแรงขนาดนั้น 

 

 

แต่นางก็ได้รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้ 

 

 

หยวนฉงหวาหัวเราะขมขื่น “พวกเรานัดกันแล้ว หากเกิดเรื่องกับนางจริง ก็จะแขวนโคมไฟดอกหมู่ตานธรรมดาเอาไว้ เมื่อคืนนี้โคมไฟดอกหมู่ตานถูกแขวน อีกทั้งยังเป็นดอกหมู่ตานสีแดงสด” 

 

 

สีแดงเหมือนสีของเลือด ดังนั้นคิดมากก็ไม่แปลก 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “แต่เจ้ามาถามข้า ข้าเองก็ไม่มีวิธี เรื่องนี้มีแต่เจ้าต้องไปขอร้องฮ่องเต้เท่านั้น” 

 

 

“หากฮองเฮารู้ว่าข้ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างอาอู่กับอี๋เฟย คนแรกที่ฮองเฮาเล่นงานให้ตายย่อมเป็นข้า” หยวนฉงหวาอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ 

 

 

สุดท้ายทั้งสองคนก็มองหน้ากัน ถาวจวินหลันส่ายหน้าก่อน “เรื่องนี้ข้าไม่มีวิธีจริงๆ ทำได้แค่จับตาดูความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป อย่างไรอาอู่ก็เป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียวขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ ฮองเฮาไม่ละเลยแน่นอน” 

 

 

หยวนฉงหวาพยักหน้าจนปัญญาเช่นเดียวกัน นางรู้ดีว่าจริงๆ แล้วถาวจวินหลันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่นางเพียงอยากหาคนปรึกษาเท่านั้นเอง นางกลุ้มใจกับเรื่องนี้มาก จนนางรู้สึกหนักหน่วงไม่ว่าจะทำอะไรก็อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา 

 

 

พอส่งหยวนฉงหวากลับไป ถาวจวินหลันก็เรียกหงหลัวเข้ามา “เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องอี๋เฟยดู ดูว่านางถูกจับตัวด้วยสาเหตุใด” 

 

 

 ถาวจวินหลันคิดว่าที่อี๋เฟยถูกฮ่องเต้จับตัว มีเพียงสองเรื่องเท่านั้น อย่างแรกคือพูดแทงใจดำฮ่องเต้จนกริ้ว อย่างไรช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้จะกริ้วมากก็ไม่ได้แปลก อย่างที่สองก็เพราะว่าทำความผิดโทษมหันต์ แต่ความผิดมหันต์ที่อี๋เฟยเคยทำก็คือเรื่องที่…กับองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ 

 

 

ถ้าเป็นเรื่องแรกก็ยังดี อย่างไรก็ยังมีองค์ชายเก้าในนาม ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธ อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องไว้หน้าอี๋เฟยบ้าง คงไม่ลงมือทำอะไรอี๋เฟยจริง 

 

 

แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง นั่นถึงจะเกิดเรื่องใหญ่จริง อย่างน้อยก็ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไรที่ต้องโดนลากเข้าไปด้วย บางทีอาจจะมีการชำระล้างวังหลวงครั้งใหญ่เลยก็เป็นได้ 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่หวังให้มีวันนั้น ที่จริงเรื่องนี้เก็บไว้ให้หลี่เย่จัดการดีที่สุด ทั้งไม่ลากคนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะเกินไป และไม่ทำให้ข่าวน่ารังเกียจนี้รั่วไหลออกไป อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความลับของราชวงศ์ คนที่รู้ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี 

 

 

ยังไม่รอให้หงหลัวไปสืบเรื่องนี้ได้ความอะไรกลับมา ทางด้านหลี่เย่ก็กลับมาก่อน 

 

 

ท่าทีของหลี่เย่เป็นปกติ ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบก้าวขึ้นไปถาม “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เพคะ?” 

 

 

หลี่เย่ยิ้มถามกลับ “จะมีอะไรเล่า? ปลดองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ไฉนเลยจะปลอดองค์รัชทายาทเพราะเรื่องนี้? ก็แค่เพราะอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น เรียกข้าไปอบรมเล็กน้อยเท่านั้นเอง” แต่คำพูดนั้นไม่น่าฟังยิ่งนัก 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจอีกครั้ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น “เรื่องนี้สุดท้ายแล้วจะตัดสินเช่นไรเพคะ? บรรดาขุนนางตรวจตราคงไม่อาจคุกเข่าไปได้ตลอด นั่นคงไม่น่าดูเท่าไรเพคะ” 

 

 

“ให้ข้ากล่อมให้กลับไป” หลี่เย่แค่นหัวเราะ “คนที่คิดว่ามียศถาบรรดาศักดิ์แล้วแยกแยะขอบเขตไม่ออก” 

 

 

ถาวจวินหลันตกใจในทันใด “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ? ในเมื่อยื่นหนังสือยอมตาย ไฉนเลยจะถูกกล่อมกลับไปได้ง่ายเช่นนี้เล่าเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่หัวเราะเย้ยหยัน “ย่อมไม่อาจใช้คำพูดสองสามคำกล่อมให้กลับไปได้ พวกเขาไม่ใช่ว่าเติบโตได้ด้วยปากคอหรืออย่างไร? ข้าจะเข้าไปอภิปรายกับพวกเขาสักครั้ง พวกเขาแพ้ย่อมไม่สนุกแล้ว ยังจะอยู่ที่นั่นไปทำไม? ให้ขายหน้าคนอื่นอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “อภิปรายอย่างนั้นหรือเพคะ?” สุดท้ายแล้วก็อดเม้มปากหัวเราะไม่ได้ “ไม่เห็นรู้ว่าองค์รัชทายาทมีพรสวรรค์นี้ด้วย หลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องบรรดาขุนนางตรวจตราพวกนั้นอีกแล้ว” 

 

 

หลี่เย่รู้ว่าถาวจวินหลันกำลังเย้าหยอก ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอาย แต่กลับรับออกมาหน้าตาเฉย “หากต่อจากนี้พวกเขายังกล้าหาเรื่อง ก็ยังมีข้าอยู่ อีกอย่างเกิดเรื่องครั้งนี้พวกเขาจะเอาที่ไหนมาสร้างเรื่องอีกเล่า?” 

 

 

ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพากันกลับบ้านไปทีละคนอย่างนั้นหรือ? แต่ละคนไม่นั่งคุกเข่าต่อแล้วมิใช่หรือ? ทำไมถึงไม่มีใครกล้าบีบให้ปลดองค์รัชทายาทอีก? ถูกคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว คิดแค่ตนเองนั้นมีศักดิ์ศรี มีคุณธรรม ไม่ใช่ทำตัวโง่แล้วจะเป็นอะไรไปได้?  

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงได้ยกเรื่องอี๋เฟยขึ้นมาพูด “จู่ๆ อี๋เฟยก็ถูกจับขังเพคะ ไม่รู้เพราะสาเหตุใด” 

 

 

หลี่เย่เลิกคิ้ว จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน “มิน่าวันนี้เสด็จพ่อถึงได้อารมณ์เสียเป็นพิเศษ” หยุดไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “แต่คิดว่าคงไม่ใช่เพราะรู้เรื่องนั้น มิเช่นนั้นอี๋เฟยคงตายไปนานแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนี้ จึงสงบใจลงเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายการที่มีหลักพึ่งสักคนก็จะไม่เหมือนเดิม เมื่อหลี่เย่วิเคราะห์เช่นนี้ นางก็สบายใจขึ้นมาก 

 

 

“ท่านว่าหากเรื่องแดงขึ้นจริง พวกเราจะโดนลากเข้าไปเกี่ยวหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถามสิ่งที่กังวลมากที่สุดออกมา อี๋เฟยตายจริง นั่นก็เพราะมีความผิดที่สาสมแก่การลงโทษ ไม่ได้เสียเปรียบ แต่คนที่ถูกอี๋เฟยลากเข้าไปเกี่ยวข้องถึงจะเสียเปรียบจริง อย่างเช่นองค์ชายเก้า 

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร?” หลี่เย่ส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้โยงมาถึงพวกเราแน่” 

 

 

พูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็เสนอเรื่องไปเยี่ยมไทเฮาขึ้นมา หลายวันมานี้ต้อง ‘นอนพัก’ รักษาตัว เขาเองก็ไม่ได้ไปหาไทเฮาเลย แม้จะบอกว่าเรียกหมอหลวงที่ตรวจดูอาการไทเฮามาถามอยู่ทุกวัน แต่สุดท้ายก็ไม่เหมือนไปเห็นด้วยตาตนเอง 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ดี ต่อให้หลี่เย่ไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจก็คงเป็นห่วงและคิดถึงไทเฮาอย่างมาก อยากไปดูให้เห็นกับตา 

 

 

แต่ถาวจวินหลันยังกังวลอีกอย่าง “ไทเฮาอาจจะไม่ให้ท่านเข้าพบเพคะ” 

 

 

 หลายวันมานี้นางไปหาไทเฮาทุกวัน แต่นางไม่เคยได้พบไทเฮาเลยสักวัน เหมือนว่าตัดสินใจไม่ยอมพบใครอีกแล้ว 

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดูเองถึงจะวางใจ”