สุดท้ายไทเฮาก็ไม่ให้พวกเขาเข้าเฝ้า เพียงแค่ให้จางหมัวหมัวออกมาพูดเท่านั้น

 

 

จางหมัวหมัวมีแววเศร้าโศกเล็กน้อย “ไทเฮาตรัสแล้วเพคะ หลังจากนี้องค์รัชทายาทไม่ต้องมาอีก ไม่ว่าอย่างไรพบท่านไปก็ทำให้คนอื่นไม่พอใจ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสียเพคะ”

 

 

หลี่เย่ย่อมไม่ยอมกลับไปแบบนี้ “ในเมื่อมาแล้ว ก็ให้ข้าเข้าไปดูหน่อยเถิด ดูจากที่ไกลๆ ทีหนึ่ง ข้าก็จะกลับ”

 

 

คำว่า ‘คนอื่น’ จากปากจางหมัวหมัวนั้นทุกคนย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร

 

 

จางหมัวหมัวส่ายหน้า “องค์รัชทายาทเพคะ พระองค์ก็รู้นิสัยของไทเฮาดี ในเมื่อตรัสว่าไม่พบพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะพูดอย่างไร ไทเฮาก็ไม่มีทางยอมเพคะ แต่พระองค์ก็ไม่ต้องห่วงมากไป ไทเฮาเสวยโอสถตรงเวลาทุกวัน รักษาบำรุงร่างกายอย่างดี ต่อให้มีเรื่องขุ่นเคืองใจ แต่หม่อมฉันเห็นว่าไทเฮาเปิดใจให้เรื่องนี้แล้วเพคะ”

 

 

ถ้าจะพูดว่าเปิดใจ ไม่สู้พูดว่าจนใจ

 

 

สุดท้ายถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ทำได้แค่กลับวัง

 

 

หลังจากนั้นภายในวังหลวงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก นอกจากอี๋เฟยยังไม่ถูกปล่อยออกมา และฮ่องเต้ก็ไม่ได้หาเรื่องหลี่เย่อีก แต่กลับให้หลี่เย่ไปเข้าว่าราชการตอนเช้าทุกวันแทน

 

 

แม้ว่าถาวจวินหลันเป็นห่วงไทเฮา แต่ทุกวันก็ทำได้แค่ส่งคนไปไถ่ถามอาการเท่านั้น แล้วเพ่งสมาธิส่วนใหญ่ไปกับเรื่องอื่น อย่างเช่นถาวจือ

 

 

เพิ่งจะย้ายเข้าวังหลวงมาได้ไม่นาน ทางด้านถาวจือก็เริ่มมีนางกำนัลที่สนิทสนมมาหาบ้างแล้ว หนึ่งในนั้นยังมีคนที่ถาวจือถึงขั้นขอร้องกู่อวี้จือให้เก็บไว้ปรนนิบัติรับใช้ตนเอง

 

 

กู่อวี้จือย่อมไม่อาจตัดสินใจเองได้ แอบมาถามความเห็นของถาวจวินหลัน แล้วถึงได้อนุญาตถาวจือ

 

 

ถาวจวินหลันให้คนไปตรวจสอบชุนหลานนางกำนัลที่ถูกถาวจือรั้งเอาไว้อย่างละเอียด แม้จะบอกว่าสืบหาอะไรไม่พบ แต่นี่กลับยิ่งน่าสงสัย ภายในวังหลวงมีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องส่วนตัวหรือความลับ? คนที่อยู่ในวังหลวงมานานหลายปีแล้วยังบริสุทธิ์ใสสะอาดได้เช่นนี้ ถึงน่าแปลก

 

 

ช่วงนี้ถาวจือดูเอาใจประจบกู่อวี้จือกับจิ้งหลิงเป็นอย่างมาก ชอบไปทำงานเย็บปักถักร้อยกับจิ้งหลิงทุกวัน บอกว่าไปหากั่วเจี่ยเอ๋อร์ แล้วยังยกเรื่องหงฉวีมาพูดอีก

 

 

พอเป็นเช่นนี้จิ้งหลิงก็ไล่นางออกไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ถาวจือมาหาก็ทำได้แค่ตีหน้าตายเล่นกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์เพียงลำพัง ไม่ได้ปล่อยให้กั่วเจี่่ยเอ๋อร์ผูกพันกับถาวจือมากนัก

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันมาหา ถาวจือก็อยู่กับจิ้งหลิงพอดี ยามนี้กั่วเจี่ยเอ๋อร์เริ่มพูดได้แล้ว อีกทั้งยังจำถาวจวินหลันได้ เห็นถาวจวินหลันมาหาก็เอ่ยปากเรียกทันที “เสด็จแม่”

 

 

ตามหลักเกณฑ์ กั่วเจี่ยเอ๋อร์ย่อมต้องเรียกแม่ใหญ่ว่าเสด็จแม่ และเรียกจิ้งหลิงว่าท่านแม่

 

 

ถาวจือแย้มยิ้มพลางลุกขึ้นทำความเคารพถาวจวินหลัน “พระชายาองค์รัชทายาท”

 

 

“เจ้าก็อยู่หรือ” ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วถามอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “ได้ยินว่าเจ้ามาบ่อยครั้งอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ถาวจือก้มหน้าอธิบายเสียงเบา “มาหากั่วเจี่ยเอ๋อร์เท่านั้นเพคะ ก่อนหน้านี้ฝันเห็นหงฉวี พอลองคิดดูแล้ว จึงได้มาหากั่วเจี่ยเอ๋อร์แทนนาง ให้หงฉวีจากไปอย่างสงบด้วยเพคะ”

 

 

“อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย อมยิ้มมองไปยังถาวจือ “เจ้าฝันเห็นหงฉวีอย่างนั้นหรือ? ฝันเห็นนางว่าอย่างไร? นางยอมรับหรือไม่? ไปสบายแล้วหรือไม่? พูดไปแล้ว ตอนนั้นนางรับผิดฆ่าตัวตาย คิดว่าคงไม่มีอะไรไม่พอใจ ใช่หรือไม่?”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่งตอนที่ถาวจือกำลังจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง ถาวจวินหลันก็พูดต่อ “แต่ข้าเห็นจิ้งหลิงเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ได้ดี เจ้าก็ไม่ต้องกังวลอะไร หากว่างไม่มีอะไรทำก็ไปสวดมนต์ คัดคำสอน หรือเรียนรู้มารยาทให้ดี”

 

 

ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็ดูไม่ค่อยเกรงใจเท่าไรแล้ว แต่ตอนนี้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว แม้ว่าถาวจือคิดจะพูดอะไรออกมาก็ไม่กล้า เพียงแค่รับคำอย่างลำบากใจเท่านั้น “เพคะ”

 

 

“เจ้าไม่ต้องลำบากใจไป” ถาวจวินหลันมองถาวจือนิ่ง “มีเรื่องมากมายที่ข้ายังรอให้เจ้าอธิบาย”

 

 

“เรื่องอะไรหรือเพคะ?” ถาวจือตกใจ ถามออกมาตามสัญชาตญาณ

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า? อย่างเช่นเรื่องโจรลอบสังหารที่ลอบทำร้ายข้าครั้งที่แล้ว หรือว่าเรื่องอื่น แม้แต่เรื่องหงฉวี คิดว่าเจ้าเองก็คงต้องคิดแล้วว่าควรต้องรับผิดชอบอย่างไร?”

 

 

ถาวจือตกใจยิ่งขึ้น “ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”

 

 

“เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือข้าเข้าใจก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบมองถาวจือนิ่ง “นางกำนัลที่ชื่อชุนหลานข้างกายเจ้ามีที่มาที่ไปอย่างไร เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ถาวจือ เจ้าควรจะคิดให้ดีว่าจุดจบของเจ้าแท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไร”

 

 

สิ้นเสียง ถาวจวินหลันก็ไม่ได้มองถาวจือที่งงเป็นไก่ตาแตกอีก เพียงแค่อมยิ้มกำชับว่า “ลากถาวจือออกไปเถิด ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องให้นางออกมาอีก เฝ้าดูให้ดีอย่าให้ออกมาสร้างเรื่องวุ่นวายอีก”

 

 

นางมองไปยังจิ้งหลิงอีกครั้ง นางนั่งนิ่งตกใจไปเพราะถาวจวินหลัน ผ่านไปครู่ใหญ่จนถาวจือโดนพาออกไป นางถึงได้พูดกระอึกกระอักออกมา “หรือจะบอกว่า ตอนนั้นถาวจือกับหงฉวี…”

 

 

“มีความเกี่ยวข้อง แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันมากเพียงใด” ถาวจวินหลันพยักหน้า เพราะอยู่ต่อหน้ากั่วเจี่ยเอ๋อร์ นางไม่อยากให้เด็กต้องตกใจกลัว ดังนั้นน้ำเสียงของนางถึงสดใส สีหน้าเป็นมิตร “เพียงทำให้นางกลัวเท่านั้น ใครจะรู้ว่านางจะออกอาการรุนแรงขนาดนั้น ดูท่าทางคงจะเกี่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องเหล่านี้ให้มาก ดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้ดีก็พอแล้ว”

 

 

จิ้งหลิงพยักหน้ารับทันที

 

 

ถาวจวินหลันหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กลับไป วันนี้ที่นางมาก็เพราะว่าต้องการลองเชิงถาวจือ

 

 

หลังจากลองเชิงแล้ว นางก็ปักใจเชื่อว่าถาวจือจะต้องมีเงื่อนงำเป็นแน่ และยิ่งมั่นใจความคาดเดาในใจของตน พูดไปแล้ว ถาวจือมีเรี่ยวแรงไปสร้างเรื่องเช่นนี้ สุดท้ายก็ด้วยเพราะหลายปีมานี้นางไม่เข้มงวดพอ

 

 

กลับเป็นกู่อวี้จือที่เห็นถาวจือถูกคนลากกลับมา ก็รีบเข้ามารับโทษ “เป็นหม่อมฉันที่ดูแลไม่ดีเองเพคะ ปล่อยให้ถาวจือไปสร้างเรื่องโมโหให้พระชายา หลังจากนี้หม่อมฉันจะต้องดูแลถาวจือให้ดี ไม่ให้นางออกไปไหนอีกเพคะ”

 

 

พอเห็นกู้วี้จือมีท่าทีระมัดระวัง ถาวจวินหลันก็พยักหน้า “จับตาดูความเคลื่อนไหวคนข้างกายถาวจือให้ดี หากมีคนคิดแจ้งข่าวให้ด้านนอกทราบ แลกข่าวไปมา จับได้ก็ให้พามาหาข้า อีกอย่างแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีครั้งต่อไป หากถาวจือมีโอกาสสร้างเรื่องวุ่นวายอีก ข้าจะจับเจ้ามาถาม ตำแหน่งเหลียงตี้นี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นกันง่ายๆ”

 

 

กู่อวี้จือรีบรับคำ ท่าทีเช่นนั้นดูเคารพนบน้อมเป็นที่ยิ่ง

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้พอใจปล่อยกู่อวี้จือกลับไป

 

 

แล้วจิ้งหลิงก็ถามถาวจวินหลันเสียงเบา “พระชายาคิดจะจัดการถาวจืออย่างไรเพคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ยังไม่ถึงเวลา วันนี้เพียงแค่เตือนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ในจวนอ๋องมีหลายเรื่องที่ข้าไม่อาจเสนอหน้าเองได้ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ต้องจัดการให้ชัดเจนทุกเรื่อง”

 

 

จิ้งหลิงพยักหน้า ยิ่งมั่นใจต่อการตัดสินใจของตนเองมากขึ้น คิดว่าหลังจากนี้ไปจะหลบอยู่ในเรือนตัวเองเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้ดี ไปมาหาสู่กับคนให้น้อยลง จะได้ไม่ถูกเหมารวมไปกับต้นขั้วเหตุการณ์ทั้งหลาย

 

 

ในที่สุดเจียงอวี้เหลียนก็ทนไม่ไหว มาทำความเคารพถาวจวินหลัน

 

 

เจียงอวี้เหลียนยามนี้ผ่ายผอมเหมือนไม้ฟืน เสื้อผ้าหลวมโพรกสวมอยู่บนร่างกายคล้ายหุ่นไล่กา มองแล้วชวนให้ตกใจไม่น้อย เครื่องหน้าที่เคยน่ารักสวยงามกลับประกายความมืดมนและโหดร้ายออกมา จนคนเห็นไม่อยากเข้าใกล้

 

 

เจียงอวี้เหลียนมาด้วยเรื่องเซิ่นเอ๋อร์ เพราะไทเฮาปิดประตูรักษาตัว ดังนั้นเจียงอวี้เหลียนจึงไม่ได้พบเซิ่นเอ๋อร์มาหลายวันแล้ว วันนี้นางจึงมาขอร้องถาวจวินหลัน “พระชายาคิดว่าทำความดีสักครั้งเถิดเพคะ ช่วยขอเซิ่นเอ๋อร์กลับมาเลี้ยงที่นี่ ต่อให้ข้าไม่ได้เลี้ยงเอง แต่ให้ข้าได้เห็นหน้าเขาทุกวันก็พอใจยิ่งแล้วเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันมองสายตาอ้อนวอนน่าเวทนาของเจียงอวี้เหลียน ก็เกิดความสับสนในใจ แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไทเฮายังไม่ยอมพบใครทั้งสิ้น ประตูวังก็ไม่ยอมเปิด มีเด็กสักคนคอยเลี้ยงดูอยู่ข้างกายให้ไทเฮายิ้มได้บ้างก็ถือว่าดี หากเจ้าอยากพบ ข้าช่วยหาทางให้ได้ แต่ถ้าจะเอากลับมาเลี้ยงคงไม่เหมาะนัก อีกอย่าง มารดาใหญ่ของเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นหลิวซื่อ เรื่องนี้เจ้าต้องจำเอาไว้ หากยังใช้ฐานะมารดาของเซิ่นเอ๋อร์ทำตามใจชอบอีก คนอื่นจะเอาไปพูดว่าวังตวนเปิ่นของพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์ได้ แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่มีทางรับปาก”

 

 

ถาวจวินหลันรู้นิสัยของเจียงอวี้เหลียนดี หากพาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาจริง ยากที่จะรับประกันว่าเจียงอวี้เหลียนจะไม่คิดทำอะไรโง่ๆ อีก ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยปากปฏิเสธไป อีกทั้งยัง… “นี่เป็นคำสั่งขององค์รัชทายาท แม้ว่าข้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง ควรต้องไปขอร้ององค์รัชทายาทถึงจะถูก หากองค์รัชทายาทรับปากย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก แต่หากองค์รัชทายาทไม่รับปากใครจะกล้าตอบรับเจ้าเล่า?”

 

 

เจียงอวี้เหลียนมีสีหน้าผิดหวังทันที อดกลั้นแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอ่ยปากเค้นถามถาวจวินหลัน “ท่านก็เป็นมารดาเช่นกัน หรือท่านจะต้องสังหารให้หมด? ต้องใจร้ายเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันหน้าดำคล้ำ “ข้าจะพูดอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นการตัดสินใจขององค์รัชทายาท อีกอย่างเจ้าเป็นคนให้ข้าจดชื่อเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อหลิวซื่อเอง ทำไมตอนนี้ถึงมาซักไซ้เอาความกับข้า? เจียงซื่อ แม้ว่าเจ้าจะมีบุญคุณต่อองค์รัชทายาท แต่อย่าลืมฐานะของตนเอง! และอย่าได้คิดว่าพวกข้าจะต้องตามใจเจ้าทุกเรื่อง!”

 

 

พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็ไม่รอให้เจียงอวี้เหลียนเปิดปาก รีบพูดสั่งขึ้นว่า “ส่งเจียงเหลียงตี้กลับไปสำนึกให้ดี นางสงบเมื่อไรค่อยพานางไปที่วังหย่งโซ่ว ขอให้จางหมัวหมัวพานางไปพบเซิ่นเอ๋อร์ หากยังไม่ยอมสงบก็ไม่ต้องเจออีก!”

 

 

เจียงอวี้เหลียนโกรธจนแทบจะกัดฟันหักไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าสร้างเรื่องอีก ได้แต่สาปแช่งถาวจวินหลันแม่ลูกอยู่ในใจไปรอบหนึ่ง ถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัว มองไปยังหงหลัว “ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะยอมหยุดเมื่อไรกัน?”

 

 

ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนอาจจะดูเชื่อฟังมากขึ้นแล้ว แต่เมื่อเห็นความดื้อรั้นในตาของเจียงอวี้เหลียนก็รู้ว่านางต้องยังไม่ได้ตายใจ ยิ่งไม่ได้เชื่อฟังจากใจจริง นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวเสียจริง

 

 

หงหลัวเอ่ยปลอบเสียงเบา “หลังจากนี้หากนางมาอีก ข้าจะขวางเอาไว้ไม่ให้นางพบท่านเพคะ”

 

 

ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั้น ชุนฮุ่ยก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน รายงานเสียงเบาว่า “อี๋เฟยเหนียงเหนียง ตายแล้วเพคะ! ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังบรรดาลโทสะใส่ฮองเฮาเพคะ”