ตอนที่ 450 มาจากโลกเดียวกับมัน / ตอนที่ 451 ช่วยฉันเก็บเป็นความลับด้วย

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 450 มาจากโลกเดียวกับมัน 

 

 

ขณะที่อีลั่วเสวี่ยนั่งดื่มชาอย่างสงบใจ ครู่หนึ่งก็เดินมาที่โถงทางเดิน มองผ่านกระจกนิรภัยเห็นพวกเขาทำการทดลองอยู่ชั้นล่าง เธอมั่นใจว่าพวกเขาต้องพอใจสมุนไพรทิพย์ของเธอแน่นอน 

 

 

เจ้าลูกบอลเงินลอยมาอยู่ข้างตัวเธอ “แม่คุณ ทำไมเจ้าไม่บอกความเป็นมาและสรรพคุณของสมุนไพรทิพย์ให้พวกเขารู้ตรงๆ ล่ะ ยังต้องให้พวกเขาไปทำการทดลองตรวจหาส่วนประกอบ ทำอย่างนี้ไม่เสียเวลาหรือ?” 

 

 

“ไม่ เจ้าไม่เข้าใจหรอก มีการตรวจสอบด้วยเครื่องมือทันสมัยจะทำให้พวกเขายอมรับมากขึ้น อย่างไรก็ตามที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่าข้ามาจากโลกอื่นย่อมใช่เรื่องง่ายๆ ต้องทำอย่างมีขั้นตอน” 

 

 

พวกเขาไม่ใช่เฉวียนหมิง ที่ไม่ว่าเธอพูดอะไรเขาย่อมเชื่อ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเธอต้องมีเงื่อนไขมากพอที่จะพูดต่อรองกับมั่วเวิ่นและเฟิงฉี่ได้ เธอต้องการความช่วยเหลือจากทั้งสองคน ต้องการมาก 

 

 

“เฮ้อ มนุษย์อย่างพวกเจ้าอ่อนแอมาก ไม่เหมือนพวกเราที่มีวิวัฒนาการในระดับสูง ไม่สิ หมายถึงมนุษย์ในดาวของเรา จะพบโรคแบบนี้น้อยมาก” ลูกบอลเงินพูดพล่าม มันมองว่าโลกนี้ช่างล้าหลังอย่างยิ่ง 

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร 

 

 

หลังจากที่มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่ทำการทดลองและวิคราะห์กว่าสามชั่วโมงแล้ว พอผลลัพธ์ออกมาทำให้ทั้งคู่ตะลึงงัน แล้วถือใบแสดงผลที่พิมพ์ออกมาวิ่งไปที่ชั้นสอง 

 

 

“เจ๊ น่าแปลกจริงๆ สมุนไพรชนิดนี้เพียงเล็กน้อยมีประสิทธิภาพสูงกว่ายาที่พี่เขยใช้ถึงสิบเท่า!” เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แค่ตัวอย่างชิ้นเล็กๆ จะมีประสิทธิภาพมากมายถึงเพียงนี้ น่าแปลกใจจริงๆ 

 

 

มั่วเวิ่นตื่นเต้นจนผลักลูกศิษย์ตนเองออกไป มือที่ถือผลทดลองไว้ยังสั่น “ยายหนู ที่เจ้าเอามาคือยาอะไร ในข้อมูลของฉันไม่มีบันทึกเกี่ยวกับยาตัวนี้ ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สืบทอดมาก็ไม่มียาตัวไหนสอดคล้องกับมัน” 

 

 

นี่เหมือนสายพันธุ์ที่มาจากต่างดาว โลกนี้ไม่เคยมีสมุนไพรชนิดนี้ แต่ก็ไม่น่าใช่ มันมีไอทิพย์เข้มข้นอย่างนี้ จะไม่มีใครค้นพบเลยเชียวหรือ 

 

 

“แน่นอนว่าย่อมไม่มีตรงกัน เพราะมันไม่ใช่พืชที่มีอยู่บนโลกนี้” น้ำเสียงอีลั่วเสวี่ยราบเรียบ แต่มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่ฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง ราวกับฟังผิดไป 

 

 

“เจ๊ คุณล้อเล่นหรือ คุณคงพบสมุนไพรชนิดนี้จากที่อื่นใช่ไหม? รีบบอกเราเถอะ” เฟิงฉี่พูดกึ่งล้อเล่น ถ้าไม่ใช่พืชของโลกนี้แล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่สมเหตุผลเลย 

 

 

หรือจะบอกว่าอีลั่วเสวี่ยตรงหน้าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว เขาไม่เชื่อเด็ดขาด 

 

 

อีลั่วเสวี่ยเชิดมุมปากขึ้น “พวกคุณไม่เชื่อ แล้วจะอธิบายอย่างไรที่ไม่พบพืชชนิดนี้บนโลก แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่มีบันทึกไว้” พืชที่สาบสูญหรือสูญพันธุ์ไปแล้ว อย่างไรในบันทึกเรื่องสมุนไพรของสำนักแพทย์โบราณก็ต้องมีอยู่ 

 

 

ความเป็นไปได้ประการเดียวก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบพืชชนิดนี้บนโลกนี้ 

 

 

ดวงตามั่วเวิ่นกลอกไปมา เขาจ้องมองอีลั่วเสวี่ย “ยายหนู เธอเป็นใครกันแน่” จะไม่ใช่สมุนไพรบนโลกนี้ได้อย่างไร เขาไม่เชื่อหรอก เหตุผลที่พอที่จะทำให้เขาเชื่อได้ก็คือบางทีผู้หญิงตรงหน้าคนนี้อาจจะมาจากสำนักที่ลึกลับกว่าพวกเขา 

 

 

อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ฉันก็คือฉัน แต่พูดให้ถูกต้องก็คือฉันกับสมุนไพรทิพย์ต้นนี้มาจากโลกเดียวกัน” 

 

 

“เจ๊ คุณอย่าล้ออาจารย์กับผมเล่นเลย คุณเป็นคนของโลกนี้ สมุนไพรนี่ก็ต้องเป็นของโลกนี้” เฟิงฉี่ที่ไร้เดียงสาไม่เข้าใจความนัยที่เธอพูด 

 

 

กลับเป็นมั่วเวิ่นที่แววตาดูลึกล้ำขึ้น แต่เขาจ้องมองอีลั่วเสวี่ย ไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

ที่จริงเขาเริ่มเชื่อที่เธอพูดถึงความเป็นมาของสมุนไพรต้นนี้แล้ว แต่ไม่อาจพูดให้ตัวเองยอมรับได้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 451 ช่วยฉันเก็บเป็นความลับด้วย 

 

 

“เฟิงฉี่ เคยเล่นเกมไหม โลกของพวกคุณมีเกมหนึ่งที่ในนั้นมีทั้งสมุนไพรและผู้บำเพ็ญเพียรจากโลกอื่น” อีลั่วเสวี่ยเปลี่ยนวิธีอธิบาย 

 

 

พอเฟิงฉี่ได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิด เขากะพริบตาแล้วพูด “ไม่ใช่มั้งเจ๊ คุณจะให้ผมเชื่อว่าคุณทะลุมิติออกมาจากเกมงั้นหรือ?” ช่างจินตนาการจริงๆ 

 

 

เขามีสมองแบบนี้น่าจะไปแต่งนิยายหาเงินดีกว่า มัวมาบำเพ็ญเพียรทำไม 

 

 

รอเดี๋ยว ไม่น่าจะใช่ จำได้ว่าตอนนั้นที่พบอีลั่วเสวี่ยครั้งแรก เธอถามว่าเขามาจากดินแดนอะไรสักอย่าง แต่เป็นที่ไหนแน่เขาจำไม่ได้แล้ว 

 

 

“เจ๊ คุณ คุณ…ที่คุณพูดเป็นความจริงหรือ?” เฟิงฉี่กลืนน้ำลาย รู้สึกว่าเหลือเชื่อ ในใจยังคิดว่าต้องไม่จริงแน่ 

 

 

มั่วเวิ่นยังงุนงง “เจ้าหนู ตื่นเต้นอะไร ฟังเธอพูดให้จบก่อน?” เจ้าหนูนี่ท่าทางตื่นเต้น พลอยทำให้เขาสับสนไปด้วย เหลือเกินจริงๆ 

 

 

เฟิงฉี่ไม่เข้าใจความหมายที่อาจารย์ตนพูด กลับมองดูอีลั่วเสวี่ยด้วยความตื่นเต้น รอคำตอบของเธอ 

 

 

พออีลั่วเสวี่ยเห็นสีหน้าสงสัยของเฟิงฉี่ กลับทำให้สงบใจลงมาก “เฟิงฉี่ เคยได้ยินเรื่องทะลุมิติไหม ปรากฏการณ์ที่คนในโลกนี้ทะลุมิติไปที่อื่น ตอนนี้ฉันขอบอกว่านี่เป็นเรื่องที่มีจริง” 

 

 

บางทีอาจเคยมีคนเคยทะลุมิติแล้ว หรือบางทีอาจเป็นแค่จินตนาการในสมอง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีความจริงรองรับ เธอเองก็ทะลุมิติมา วิญญาณเธอทะลุมิติมาถึงที่นี่ 

 

 

“ความหมายของคุณก็คือคุณเป็นผู้ที่ทะลุมิติมา จะเป็นไปได้ยังไง” เฟิงฉี่ยิ้มเจื่อนๆ เขารู้สึกว่าอธิบายไม่ได้ สุดท้ายจึงนิ่งเงียบ แล้วมองดูอาจารย์ของตน 

 

 

อาจเป็นเพราะมั่วเวิ่นผ่านประสบการณ์มามาก จึงไม่รู้สึกตกใจจนไม่อาจเชื่อได้ เขาทำสัญญาณให้อีลั่วเสวี่ยนั่งลงคุย 

 

 

หลังจากนั่งลงแล้วแววตาอีลั่วเสวี่ยสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงจริงจัง “คุณทายถูกแล้ว ฉันก็คือผู้ที่ทะลุมิติมา วิญญาณทะลุมิติมา ตอนที่มาถึงที่นี่บังเอิญเจ้าของร่างนี้วิญญาณดับสลาย ดังนั้นฉันจึงเข้าครอบครองร่างนี้แทน” 

 

 

เฟิงฉี่กลืนน้ำลาย “คุณไม่ใช่อีลั่วเสวี่ย ถ้างั้นคุณเป็นใคร ทำไมพี่เขยจึงไม่รู้ว่าคุณเปลี่ยนไป” ข้อนี้คงอธิบายไม่ได้ คนคนหนึ่งนิสัยใจคอเปลี่ยนไปมาก จะไม่ถูกพบเห็นเชียวหรือ 

 

 

อีลั่วเสวี่ยกวาดตามองทั้งสองคนตรงหน้า “ฉันสามารถบอกทุกอย่างให้พวกคุณรู้ เงื่อนไขเบื้องต้นคือต้องช่วยฉันเก็บเป็นความลับ นอกจากเฉวียนหมิงแล้วห้ามบอกกับบุคคลที่สี่ อย่างน้อยในเวลานี้บอกไม่ได้” ยิ่งมีน้อยคนที่รู้ความเป็นมาของเธอก็ยิ่งดี 

 

 

เดิมทีเธอไม่อยากบอกทางด้านเฟิงฉี่ให้รู้ แต่ถ้าต้องการตัวยาเหล่านี้ ก็ต้องให้มั่วเวิ่นซึ่งมีความรู้เรื่องนี้ดีช่วยเหลือ ส่วนเขาย่อมต้องสงสัยกับสิ่งที่ไม่มีในโลก เธอไม่อาจโกหกได้ 

 

 

เมื่อโกหกเรื่องหนึ่งก็ต้องอาศัยเรื่องโกหกอีกมากมายมารองรับ เธอไม่ต้องการให้วุ่นวายเช่นนั้น 

 

 

มั่วเวิ่นกับเฟิงฉี่รีบพยักหน้าทันที แล้วตั้งใจฟังอีลั่วเสวี่ยเล่า จากเริ่มต้นที่ตื่นตะลึงแล้วค่อยๆ เข้าใจ ตามมาด้วยความแปลกใจ 

 

 

“สวรรค์โปรด คิดไม่ถึงว่านอกจากโลกเราแล้วยังมีโลกอื่นอีก แต่ประเทศเราทำการค้นหามาหลายปีก็ไม่พบ ซ่อนเร้นได้ดีจริงๆ” เฟิงฉี่ถอนหายใจ 

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “เราที่นั่นไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากดาวเคราะห์ดวงนี้กี่ปีแสง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางกี่ปี เรื่องนี้ไม่แปลก” 

 

 

“ในเมื่อเธอเป็นหมอของโลกนั้น ยังเก่งมากด้วย ไม่น่าจะต้องอาศัยพวกเรา” ถึงตอนนี้มั่วเวิ่นไม่กล้ามองเธอด้วยสายตาที่มองดูผู้เยาว์รุ่นหลัง บัดนี้เขารู้แล้วว่าทำไมเธอจึงไม่สนใจที่จะคารวะเขาเป็นอาจารย์ 

 

 

เพราะเธอมีความสามารถเหนือกว่าตนเอง วิชาแพทย์ของตนเองนั้นไม่อาจเทียบกับเธอได้ พอคิดแล้ว น้ำเสียงจึงอ่อนลง