EG บทที่ 760 ฉันอยากจะซื้อบ้าน

ไม่ว่าสตีฟจะถามอะไรเฝิงหยู่ เขาก็จะตอบกลับแบบไร้สาระหรือนอกเรื่องไปเลย นอกเหนือจากยี่ห้อลีโนโวกับวินด์แอนด์เรนแล้วเฝิงหยู่ก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรอีก คำตอบส่วนใหญ่ของเขาไม่มีความชัดเจนอะไรทำให้สตีฟไปต่อแทบไม่ถูก

แม้ว่าสตีฟจะบอกว่ามันไม่ใช่การสัมภาษณ์แต่เขาก็ถือว่าการพบปะกันครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์กลายๆ นิตยสารฟอร์บส์ไม่ใช่นิตยสารที่จะเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของใครโดยไม่ขออนุญาตทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกภูมิใจที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนิตยสารฟอร์บส์ อาจมีบางคนที่รู้สึกเหมือนโดนดูถูกหากฟอร์บส์ลงสินทรัพย์ที่ตนมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เฝิงหยู่ดูแตกต่างจากคนอื่นๆ สตีฟไม่เคยเจอมหาเศรษฐีที่ไม่ต้องการชื่อเสียงใดๆแบบที่เฝิงหยู่เป็นมาก่อน เขาต้องการยึดตระกูลรอธส์ไชลด์ให้เป็นต้นแบบในการทำธุรกิจของเขาหรือไม่?[1]? เขาต้องการที่จะเปิดเผยทรัพย์สินเพียงบางส่วนแล้วส่วนอื่นๆก็จะเก็บเป็นความลับต่อไปหรือไม่?

บิล เกตส์ก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าอยากรู้อะไรจากเฝิงหยู่แต่การที่เฝิงหยู่เอ่ยชมไมโครซอฟท์หลายต่อหลายครั้งในการพบปะกันครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก แม้ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะคนที่รวยที่สุดในโลกแต่เขาก็ยังมีความกังวลว่าคนอื่นๆจะคิดอย่างไรกับบริษัทของตน เมื่อได้ยินคนอื่นเอ่ยชมไมโครซอฟท์เช่นนี้เขาก็อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้

บิล เกตส์อยากจะถามเฝิงหยู่เช่นกันว่าข่าวลือที่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กิจการค้าปลีกและอื่นๆอีกมากมาย เป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยถาม เขาไม่ใช่สตีฟหากเขาเอ่ยถามอะไรมากกว่านี้มันจะเป็นการขุดภูมิหลังของเฝิงหยู่มากเกินไปและมันจะดูไม่สุภาพ ถึงอย่างไรเฝิงหยู่ก็คงไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้ในระยะยาว

สตีฟขอตัวกลับด้วยความผิดหวัง เฝิงหยู่เป็นนักธุรกิจที่รับมือยากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

เฝิงหยู่เป็นเพียงชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆแต่เขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าวัยของเขา การที่เขาเลือกตอบแต่เรื่องไร้สาระและพยายามเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆทำให้สตีฟอดหัวร้อนไม่ได้

แน่นอนว่าอาชีพในชีวิตก่อนของเฝิงหยู่คือนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จุดแข็งของเขาก็คือการพูดชักชวนให้ลูกค้าสนใจกับสิ่งที่เขานำเสนอเพื่อนำเงินมาลงทุน แม้ว่าสตีฟจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถขุดเอาความลับจากเขาไปได้

สตีฟก้มมองสมุดโน้ตของตนเองด้วยสีหน้าอึ้งๆ เขารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ของตนเอง เขาเตรียมคำถามมาตั้งมากมายแต่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้คำตอบตามที่ต้องการ นี่เขาจะไม่ได้เขียนบทความนี้จริงๆหรือ?

สตีฟไม่สามารถเขียนบทความได้ว่าเฝิงหยู่ได้ลงทุนไปกับเครื่องทำความชื้นและพัดลมไร้ใบพัด จากนั้นเขาก็ลงทุนทำเครื่องเล่นวีซีดีตามด้วยเครื่องพีซีและไมโครซอฟท์ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะนำไปใส่ในบทความได้!

เขาต้องการอธิบายว่าเฝิงหยู่เริ่มต้นทำธุรกิจอะไรและได้เงินทุนมากเท่าไหร่จึงสามารถนำเงินไปซื้อหุ้นในบริษัทไมโครซอฟท์ได้ แม้แต่ตัวสตีฟเองก็ยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เฝิงหยู่พูดมาทั้งหมด แม้ว่าเฝิงหยู่จะขายบริษัทหรือนำบริษัทไปจดทะเบียนก็ไม่น่าจะได้เงินมากพอไปซื้อหุ้นในบริษัทไมโครซอฟท์ได้ แต่เฝิงหยู่ไม่ได้แม้แต่จะจดทะเบียนหรือขายบริษัท แล้วเขาสามารถหาเงินได้มากขนาดนั้นได้อย่างไร?

หากเขาเขียนบทความตามความคาดเดาของตนเอง มันก็จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อผลงานสักเท่าไหร่

การที่เฝิงหยู่เป็นนักธุรกิจและนิตยสารฟอร์บส์ไม่สามารถหาข้อมูลมาเขียนเกี่ยวกับเขาได้ถือเป็นการล้มเหลวหรือไม่? สิ่งนี้จะทำให้แฟนๆผู้ติดตามอ่านนิตยสารฟอร์บส์รู้สึกผิดหวังหรือเปล่านะ? นิตยสารฟอร์บส์เป็นหนังสือรายปักษ์และมันเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับสตีฟที่ไม่สามารถตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเฝิงหยู่ลงในฉบับที่จะออกถัดไปได้

สตีฟลังเลว่าตัวเองจะรอเขียนประเด็นต่อไปดีหรือเปล่า? เฝิงหยู่เป็นชาวจีนและฟอร์บส์เองก็ไม่มีสำนักงานในประเทศจีน นี่ก็ถือเป็นข้อแก้ตัวที่ดีเช่นกัน

ใช่แล้ว! ฟอร์บส์มีสำนักงานประจำเอเชียนี่นา? พนักงานสาขานั้นจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเฝิงหยู่มาได้แน่ๆและเขาจะใช้มันในการขุดหาข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ได้

.

.

“คุณบิลครับ”

เฝิงหยู่เรียกบิล เกตส์เอาไว้ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป

“ระเบียบของบริษัทต้องให้ผมเข้ามาทำงานทุกวันหรือเปล่าครับ?”

บิล เกตส์หันไปมองเฝิงหยุ่ด้วยความสับสน

“ไม่หรอกครับ คุณเป็นถึงผู้อำนวยการ..คุณสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานของตัวเองได้เลย ตราบใดที่คุณทำงานในส่วนของคุณเสร็จก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“ตกลงครับ ผมอาจอยู่เคลียร์งานสักพักและก็ตั้งใจจะหยุดพักร้อนสักหน่อย”

บิล เกตส์ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ‘นี่คุณเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วันแต่จะหยุดพักแล้วรึ?’ แต่บิล เกตส์นึกขึ้นได้ว่าเฝิงหยู่ไม่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทหากเขาจะขอหยุดพักก็ถือเป็นเรื่องปกติเช่นกัน

“คุณมีธุระหรือครับ? ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า?”

บิล เกตส์เอ่ยถาม

เฝิงหยู่รู้ว่าบิล เกตส์ไม่ได้ตั้งใจแสดงความไม่สุภาพเมื่อเอ่ยถามสิ่งนี้ มันคือความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมจีนและตะวันตก ในประเทศจีนแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการที่จะช่วยเหลือแต่ก็ต้องเอ่ยปากถามออกไปตามมารยาท หากอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือจากคุณจริงๆ คุณก็ต้องหาทางปฏิเสธพวกเขาให้ได้

แต่ในอเมริกามันต่างออกไป พวกเขาหมายความตามสิ่งที่พูดออกมาจริงๆ หากพวกเขาเอ่ยปากว่าจะช่วยพวกเขาก็จะทำเช่นนั้นจริงๆ แต่ถ้าพวกเขาไม่คิดที่จะช่วยแล้วล่ะก็ นอกจากจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วแม้แต่เอ่ยปากถามก็ไม่มีให้ได้ยิน!

“ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ก็ต้องพักที่โรงแรมโดยตลอด ผมเลยคิดที่จะซื้อบ้านสักหลังนะครับ”

แม้ว่าไมโครซอฟท์จะมีสวัสดิการให้ที่พักแก่พนักงานแต่เฝิงหยู่ก็ไม่ต้องการไปพักในอพาร์ทเมนเดียวกับโปรแกรมเมอร์ วิศวกรและพนักงานคนอื่นๆ

เมื่อบิล เกตส์ได้ยินสิ่งนี้ก็อดตื่นเต้นไมได้

“คุณต้องการที่จะสร้างบ้านเป็นของคุณเองหรือครับ? ถ้าเช่นนั้นก็สร้างคฤหาสน์สักหลักไปเลยแล้วกัน ผมพอรู้จักกับสถาปนิกดังๆอยู่บ้าง ผมสามารถติดต่อพวกเขาให้กับคุณได้”

เฝิงหยู่จำได้ว่าคฤหาสน์ของบิล เกตส์ถือเป็นคฤหาสน์ที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกเมื่อชีวิตก่อนหน้าของเขา การก่อสร้างเริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2533 และใช้เวลาในการสร้างถึง 7 ปี แม้ว่าการก่อสร้างภายนอกจะเสร็จลงแล้วแต่การตกแต่งภายในยังมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง มีรายงานว่าเขาใช้เงินทุนในการก่อสร้างคฤหาสน์หลังนี้ถึง 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ซื้อที่ดินในราคาที่น้อยกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แน่นอนว่าเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดก็มีราคาที่สูงมาก บางคนถึงกับบอกว่าหากคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ในนิวยอร์กหรือลอสแองเจลิสมันจะดูคุ้มกว่านี้ถึง 10 เท่า! อุปกรณ์และการตกแต่งภายในก็มีราคาที่แพงเช่นกัน เฝิงหยู่ได้ยินมาว่าภาพติดฝาผนังมีมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!

เฝิงหยู่เองก็ชอบคฤหาสน์อันหรูหราแต่เขาไม่ต้องการที่จะสร้างมันที่อเมริกา ถ้าเขาจะสร้างคฤหาสน์สักหลังก็ต้องสร้างที่ประเทศจีน หากทำเช่นนี้สมาชิกในครอบครัวของเขาก็จะอาศัยอยู่กับเขาได้ ส่วนที่ตั้งของคฤหาสน์ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ มันจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยและห่างไกลจากภัยธรรมชาติ

เฝิงหยู่ต้องการซื้อบ้านธรรมดาๆสักหลังในอเมริกา ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่แต่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน เฝิงหยู่ได้ว่าจ้างอดีตนายทหารและบอดี้การ์ดมืออาชีพไว้คอยคุ้มกันเป็นจำนวนมากแต่พวกเขาก็มักจะพกอาวุธหนักๆติดตัวอยู่เสมอทำให้เฝิงหยู่รู้สึกถึงอันตรายได้เช่นกัน

หากบอดี้การ์ดรู้ว่ามีคนลอบทำร้ายเฝิงหยู่พวกเขาก็จะชักปืนออกมาจัดการกับคนพวกนั้นทันที! แล้วถ้าบังเอิญเขาโดนลูกหลงล่ะ? ใครจะมารับผิดชอบ!

แม้ว่าบอดี้การ์ดที่เฝิงหยู่จ้างมาจะน่าเชื่อถือแต่เฝิงหยู่ก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเขาอย่างเต็มที่ ในที่สาธารณะที่เฝิงหยู่จำเป็นต้องเข้าร่วมงานบอดี้การ์ดเหล่านี้อาจมีส่วนร่วมในการปกป้องเฝิงหยู่ แต่ถ้ามีใครสักคนในกลุ่มของพวกเขาคิดร้ายขึ้นมา พวกเขาก็อาจวางแผนฆ่าเฝิงหยู่ให้เน่าตายคาบ้านพักก็เป็นได้!

เฝิงหยู่รู้สึกไม่ปลอดภัยในประเทศที่สามารถหาซื้ออาวุธปืนได้อย่างง่ายดาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีปืนอยู่ใกล้ตัว ทั้งๆที่ความจริงแล้วการเป็นเจ้าของปืนก็ใช่ว่าจะปลอดภัยในเมื่อคนอื่นๆก็มีปืนไว้ในครอบครองเช่นกัน

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เฝิงหยู่มาที่อเมริกาเขาจะไม่เดินทางไปยังจุดที่เสี่ยงอันตรายโดยเด็ดขาด เขาไม่ต้องการเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับสถานที่ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้นได้

“คุณบิลครับ..หากสร้างเองมันจะใช้เวลานานเกินไป ผมแค่ต้องการจะซื้อบ้านดีๆสักหลัง คุณพอจะมีคำแนะนำหรือเปล่าครับ?”

 

[1]ตระกูลรอธส์ไชลด์ (อังกฤษ: Rothschild family) เป็นตระกูลอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก สืบเชื้อสายมาจากไมเออร์ อัมส์เชล รอธส์ไชลด์ ชาวยิวที่อพยพไปยังเยอรมนี และได้เริ่มจัดตั้งธนาคารขึ้นที่นั่นในทศวรรษที่ 1760 ต่อมาเขาให้บุตรชายทั้ง 5 คนช่วยบุกเบิกธนาคารของครอบครัวไปยังต่างประเทศ ซึ่งตั้งสาขาอยู่ใน 5 เมืองใหญ่ได้แก่ ลอนดอนปารีสแฟรงก์เฟิร์ตเวียนนา และเนเปิลส์ ในปีค.ศ. 2016 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Oxfam International ได้มีการประเมินว่า มูลค่าทรัพย์สินที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ครอบครองอยู่ มีมูลค่าอยู่ที่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 5 เท่าของทรัพย์สินของมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุด 8 อันดับแรกของโลกคนรวมกัน