เล่มที่ 17 ตอนที่ 22

Memorize

ตอนที่ 22 โดย ProjectZyphon

จัตุรัสแห่งโมนิก้าบัดนี้อัดแน่นไปด้วยผู้เล่นที่มารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากจนแทบไม่เหลือที่ให้ยืน

หนึ่งในภาพที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือภาพของแคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์ที่ยืนอยู่อย่างเรียบร้อยในจัตุรัส และท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ล้วนแสดงท่าทีไม่ธรรมดาออกมา ก็ยังมองเห็นฮันโซยองที่เตรียมพร้อมอยู่ในชุดเกราะแห่ง ‘ผู้ชำนาญสงคราม’ อยู่ด้วย

จ๊อกแจ๊ก จอแจ

ที่จัตุรัสมีแต่เสียงดังจนฟังดูโกลาหลวุ่นวาย แต่ทันทีที่รู้สึกได้ถึงแรงกระตุ้นของเวทแห่งเสียงจากใจกลาง ความวุ่นวายทั้งหมดก็เงียบลงในทันที

หลังจากการรุกรานของพวกเร่ร่อนและทวีปทางตะวันตกเริ่มขึ้น ทางฝั่งเหนือและฝั่งใต้ก็ไม่แสดงความสนใจใดๆ ในการเข้าร่วมการรุกราน เฉยเมยพอจะกล่าวได้ว่าพวกเขาได้หันหลังให้มันมาตั้งแต่แรกแล้ว

แต่ความจริงที่ว่าเผ่าตัวแทนของเมืองได้ก้าวออกมานำเองโดยตรงนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการรายงานสถานการณ์อย่างเป็นทางการไปด้วยในตัว

ดังนั้นสถานะในวันนี้จึงดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้เล่นได้เป็นประวัติการณ์

“แคลนลอร์ดอีสตัวเทลลอว์ ฮันโซยองค่ะ ฉันจะประกาศสถานะของโมนิก้าเกี่ยวกับการร้องขอกำลังเสริมจากเผ่าสิงโตทอง”

ฮันโซยองกวาดตามองรอบๆ ด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเริ่มพูดไปด้วย เพียงเท่านั้นความวุ่นวายที่ยังหลงเหลืออยู่ทุกหนทุกแห่งก็ถูกจัดการลงอย่างราบคาบ ความสามารถในการปกครองของหล่อนถูกแสดงออกมาให้เห็น

“ฉันคิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องของแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในช่วงนี้แล้วไม่มากก็น้อยนะคะ”

ในตอนนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่พุ่งตรงมา ถึงกระนั้นผมก็ยังตั้งใจฟังฮันโซยองต่อไปเพราะหล่อนยังพูดไม่จบ

“แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ได้ส่งพวกเร่ร่อนที่จับเป็นเชลยมายังอีสตันเทลลอว์ พร้อมกันนั้นยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหล่าผู้รุกรานอีกด้วย บางส่วนในนั้นได้ประกาศออกมาให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกันแล้วนะคะ”

หงึกหงัก

ท่ามกลางเสียงถอนหายใจและการพยักหน้าที่มีให้เห็น ราชินีแห่งเลือดและเหล็กก็ยังคงกล่าวต่อไป

“เมื่อไม่นานมานี้ อีสตันเทลลอว์ได้เข้าร่วมในการประชุมร่วมของทางภาคใต้และตะวันออก และที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่ายังเร็วไปที่เราจะตอบรับคำร้องขอของเผ่าสิงโตทองค่ะ ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยจนกว่าการเตรียมพร้อมทุกอย่างจะแล้วเสร็จ โมนิก้าจึงต้องตัดขาดการเชื่อมต่อของวาร์ปเกตที่เกี่ยวข้องกับเมืองทั้งหมดที่โมนิก้าอาจจะโดนรุกรานในอนาคตค่ะ”

เป็นการพูดตรงๆ ตามนิสัยของฮันโซยอง ไร้ซึ่งถ้อยคำสละสลวยสวยหรูใดๆ คำพูดของหล่อนทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ในหมู่ผู้เล่นที่รวมตัวกันอยู่กลางจตุรัส

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเราจะทิ้งบาร์บาร่าไว้เช่นนี้อย่างนั้นหรือครับ”

ผู้เล่นชายคนหนึ่งถามโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากกว่าความโกรธ

“ฉันไม่เคยพูดว่าจะทิ้งเลยนะคะ ทั้งหมดนั้นฉันหมายความว่าเราต้องการการปรับปรุงเท่านั้นเองค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะทำอย่างไรกันแน่…?”

“ตอนนี้ไม่เพียงโมนิก้าเท่านั้น แต่ในเมืองอื่นๆ เองก็จะมีประกาศออกมาเช่นกันและฉันก็คิดจะเปิดวาร์ปเกตทิ้งเอาไว้เป็นเวลาสิบวันหลังจากที่การประกาศรายงานสถานการณ์ได้จบลงค่ะ”

“…”

มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ออกจากปากของทุกคนในเวลานี้ แม้ว่าฮันโซยองจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เหล่าผู้เล่นที่รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ก็คงพอจะคาดเดากันได้ว่ามีบางเรื่องที่ถูกละไว้

ถึงแม้หล่อนจะพูดว่าต้องการ ‘การปรับปรุง’ แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็คือการบอกให้ทุกคนออกจากเมืองไปอยู่ดี และสิบวันที่ว่านั้นก็คือช่วงเวลาให้ได้ตัดสินใจกันนั่นเอง

การรายงานสถานการณ์อย่างเป็นทางการของฮันโซยองจบลงเพียงเท่านี้ แม้จะยังมีสิ่งที่ต้องพูดเหลืออยู่ แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดนั้นก็ได้ประกาศออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เหล่าผู้เล่นมีปฏิกิริยาหลากหลายแตกต่างกันออกไป บ้างแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย, บ้างถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย, บ้างก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผมคาดเดาไว้อยู่แล้ว ฝั่งตะวันออกและใต้คิดจะใช้โอกาสนี้กำจัดเผ่าที่เป็นมิตรกับเผ่าสิงโตทองให้หมดไป ดังเช่นในรอบแรก

นอกจากนั้นเหล่าผู้เล่นก็ยังถูกแบ่งแยกไปตามเมืองของตนตั้งแต่ที่เกิดความขัดแย้งขึ้นมา

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ชอบธรรมขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจะต้องมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย ด้วยความเคลือบแคลงใจว่าในรอบที่สองนี้สถานการณ์จะคลี่คลายลงได้อย่างไร

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่นำมาใช้บังหน้าก็ยังคงเป็นปัญหา ในแง่ที่ว่ามันเป็นเหตุผล ‘ที่แท้จริง’ หรือเหตุผล ‘ที่สร้างขึ้นมา’ กันแน่

เวลาล่วงเลยไปสักพัก ก่อนที่ผู้เล่นหญิงคนหนึ่งจะยกมือขึ้นถามอย่างระมัดระวัง

“แคลนลอร์ดอีสตันเทลลอว์บอกว่ามันคือการปรับปรุงนี่คะ ฉันขอทราบความหมายที่ชัดเจนจะได้หรือไม่คะ”

“ในตอนนี้นั้นยังมีสถานการณ์ภายในที่ซับซ้อนของทั้งทางตะวันออกและใต้ ซึ่งเรายังไม่สามารถเปิดเผยได้ และเราได้คิดที่จะรับสมัครผู้เล่นที่พำนักอาศัยอยู่ในแต่ละเมืองไปพร้อมๆ กับการแก้ปัญหานั้นค่ะ ผู้เล่นในระดับกลางและสูงสามารถเข้ารับการเกณฑ์ได้ ส่วนผู้เล่นระดับศูนย์หรือระดับหนึ่งก็สามารถเข้าเป็นกองหนุนได้ค่ะ”

“กะ…กองหนุนหรือคะ”

“ในฐานะผู้เล่นที่ได้เข้าเป็นสมาชิกของทวีปทางเหนือ ฉันเชื่อว่าหากคุณรู้สึกสนุกไปกับสิทธิของตนเองแล้วนั้น คุณจะได้รับมอบหมายภาระหน้าที่ตามที่คุณพึงจะได้อย่างแน่นอนค่ะ”

แม้ฮันโซยองจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คำพูดของหล่อนกลับบาดลึกลงไปในใจของเหล่าผู้เล่นทุกคนอย่างน่ากลัว

ความเงียบแผ่ปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัสโดยไม่ทันที่ใครจะได้รู้สึกตัว

“แน่นอนค่ะ ฉันขอสัญญาอย่างชัดเจน ณ ที่แห่งนี้ว่าเผ่าในสังกัดทั้งหลาย พร้อมด้วยอีสตันเทลลอว์จะเป็นผู้นำในภาระหน้าที่นั้นค่ะ”

เสียงของฮันโซยองแผ่ก้องไปทั่วทั้งจัตุรัส

“เมอร์เซนต์นารี่ก็จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้เช่นกันครับ”

ผมรีบรวบเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว และได้เห็นสีหน้าของเหล่าผู้เล่นที่มารวมตัวกันที่ห้องประชุมชั้นสาม เปลี่ยนไปทันทีที่ผมพูดจบ

“นี่พวกเราก็เป็นเป้าหมายในการเกณฑ์ด้วยอย่างนั้นหรือครับ”

“มีการเรียกร้องเข้ามาหรือคะ”

ชินซังยงและจองฮายอนโยนคำถามมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ผมส่ายหน้าอย่างใจเย็นและตอบออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด

“สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ไม่สามารถเข้ารับการเกณฑ์ได้ครับ ส่วนเรื่องการเรียกร้องนั้น…ผมคิดว่าเราคงจะได้รับในไม่ช้านี้นะครับ”

“แล้วถ้าหากไม่ได้…”

“ถึงแม้จะไม่ได้ขอมา เราก็จะไปช่วยอยู่แล้วครับ”

ทันทีที่ผมพูดว่าเราจะเข้าร่วมสงคราม สีหน้าของสมาชิกเผ่าก็ดูกังวลขึ้นมา

แน่นอนว่าเรายังมีทางเลือกอื่นนอกจากการเข้าร่วมสงครามหลงเหลืออยู่แม้จะน้อยมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสนับสนุนการป้องกันเมือง หรือแม้กระทั่งการเก็บตัวให้เงียบที่สุดเหมือนหนูตาย แต่ผมกลับคิดว่ามันคงน่าเสียดายมากหากจะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างผ่านเลยไปเฉยๆ

ถึงผมจะเข้าใจดีว่าเหล่าสมาชิกรู้สึกอย่างไร แต่ผมก็ไม่คิดจะล้มเลิกการตัดสินใจนี้แม้แต่เพียงนิด

“คุณจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยการทำตามที่ตนเองต้องการอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะครับ”

นั่นเพราะว่า

“เพราะแม้เราจะเรียกตัวเองว่าทหารรับจ้างอิสระ แต่เราก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ทวีปทางเหนือแห่งนี้ สงครามครั้งนี้สำคัญมากจนเราสามารถมองเห็นโชคชะตาของทวีปทางเหนือได้เลยนะครับ”

“…”

“ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อของเมอร์เซนต์นารี่ก็กำลังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และได้ก้าวเท้าเข้าไปในสงครามแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเราไม่เข้าร่วมสงครามล่ะก็…ไม่ว่าเราจะกระทำการอะไรกันในอนาคต เราก็จะไม่ได้รับความสนใจเช่นนี้อีกแล้วนะครับ”

ตอนนี้ดำเนินมาครึ่งทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป สงครามครั้งนี้จะต้องจบลงด้วยชัยชนะของทวีปทางเหนืออย่างแน่นอน และยังมีเรื่องที่ผมอยากจะทำให้สำเร็จเป็นการส่วนตัวผ่านกระบวนการนี้อยู่ด้วย ผมคิดว่าสงครามในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของเมอร์เซนต์นารี่เสียด้วยซ้ำ

พูดง่ายๆ ก็คือ ผมไม่คิดที่จะปล่อย ‘โอกาส’ นี้ให้หลุดมือไปเป็นอันขาด

แม้ว่าจะพาทุกคนไปด้วยไม่ได้ก็ตาม

ยังมีสมาชิกเผ่าบางคนที่ยังคงอ่อนประสบการณ์เกินกว่าจะเข้าร่วมในสงครามและบางคนที่ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งผมก็ไม่ได้นึกกังวลอะไรนัก เพราะคิดจะให้พวกเขาส่วนนั้นไปอยู่ในฝ่ายป้องกันเมืองอยู่แล้ว

“ก่อนอื่น ผมจะบอกรายละเอียดทั้งหมดก่อนนะครับ ในกรณีที่มีการติดต่อมานะครับ ถ้าหากว่าไม่มี…ไม่ว่ายังไงผมคิดว่าเราควรให้ความสนใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อนนะครับ ผู้เล่นโกยอนจู ผู้เล่นจองฮายอน”

“ค่ะ”

พวกหล่อนตอบออกมาพร้อมกันทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ ผมหันมองสมาชิกคนอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมจะเปิดคลังของเราอย่างเสรี ช่วยพาสมาชิกทุกคนไปที่นั่นแล้วแจกจ่ายอุปกรณ์ที่พวกเขาได้ทำเรื่องขอกันมาด้วยนะครับ สำหรับอุปกรณ์ที่มีการขอซ้ำให้ช่วยไกล่เกลี่ยด้วย ถ้าไม่ได้ก็มาบอกผมนะครับ”

“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วจะเปิดคลังเมื่อ…”

“ตอนนี้เลยครับ”

หลังจากพยักหน้าหนึ่งครั้ง จองฮายอนและโกยอนจูก็ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ผมมองดูเหล่าสมาชิกค่อยๆ ลุกตามพวกหล่อนไปทีละคนสองคน แต่ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งที่สะดุดตาผม ผมรีบเรียกหล่อนไว้เพราะความคิดหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในหัว

“ผู้เล่นอิมฮันนา”

“คะ?”

อิมฮันนาที่ลุกจากเก้าอี้ด้วยแววตาตื่นเต้น มองกลับมาที่ผมด้วยความสงสัย

“คุณอิมฮันนาช่วยอยู่ต่ออีกสักพักจะได้ไหมครับ”

อิมฮันนาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

หลังจากที่สมาชิกทุกคนออกจากห้องประชุมไปหมดแล้ว ผมก็มองไปที่อิมฮันนาที่นั่งอยู่ไม่ไกลก่อนจะพูดขึ้น

“ผมได้อ่านรายการอุปกรณ์ที่คุณขอมาในครั้งนี้เป็นอย่างดีแล้วนะครับ แสงแปลบปลาบส่องประกาย, เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล, รีซ่า บู๊ทส์, เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร ส่วนใหญ่ในนี้เป็นอุปกรณ์เฉพาะของนักธนูเท่านั้น ซึ่งมีเพียงพอที่จะให้คุณยืมได้นะครับ”

“ขอบคุณค่ะ แต่ว่า…”

“…?”

“คุณบอกว่าเวลาอยู่กันสองคนให้พูดแบบสบายๆ…”

อิมฮันนาหลุบตาลงพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ขณะเดียวกันกับที่ผมกำลังคิดว่า จู่ๆ ก็มาพูดถึงเรื่องอะไรกัน นั้น ผมก็สังเกตเห็นว่าหล่อนกำลังถูนิ้วตัวเองไปมา

การได้เห็นอิมฮันนาที่มีนิสัยอ่อนหวานและผ่อนคลายอยู่เสมอแสดงอาการเช่นนี้ออกมา นับเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ทีเดียว ผมควรจะพูดออกไปหรือไม่ว่าหล่อนมีเสน่ห์บางอย่าง

ผมลอบยิ้มอยู่ภายในใจก่อนจะพูดออกมาตามความปรารถนาของอิมฮานา

“เอาเถอะ สิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านั้นน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ว่าหญิงร่างทรงยามอัสดงต่างหากที่อาจจะเป็นปัญหาได้”

“ค่ะ”

อิมฮันนารีบตอบผมทันที หล่อนอาจจะคาดไว้อยู่แล้วว่าผมจะพูดเรื่องนี้ เพราะใบหน้าของหล่อนยังดูสบายๆ อยู่

หลังจากนั้นอิมฮันนาก็เริ่มพูดขึ้นช้าๆ