“ไปลากตัวมา”

 

 

ขจัดศัตรูภายนอกแล้วคราวนี้ถึงคราวลงโทษศัตรูภายใน

 

 

เจ้าเมืองกีที่หมอบตัวหลบอยู่ถูกลากตัวมาตรงหน้าลานบ้านตามคำสั่งของฮอน และถูกโยนลงบนพื้น น้ำเสียงเย็นชาของฮอนทิ่มแทงลงเหมือนคมมีด

 

 

“ดูอย่างไรรายการของที่ถูกปล้นและที่มีอยู่เดิมก็ไม่ตรงกัน ที่เหลือหายไปไหน”

 

 

“ระ เรื่องนั้นกระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ สิ่งของที่ถูกปล้นไป ได้กลับคืนมาหมดแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“นับจำนวนศพกับคนที่ถูกพามาเป็นทาสทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานเรื่องการใช้งานสิ่งของ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ที่เหลือไปไหน”

 

 

“ลอง…ลองตรวจสอบอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ”

 

 

“แค่ตรวจสอบพวกนี้ข้าก็อดหลับอดนอนไปสามคืนแล้ว!”

 

 

เล่นละครได้ยอดเยี่ยมมาก แสร้งเล่นละครได้เข้าถึงจิตวิญญาณด้วยการตีหน้าเศร้าตั้งแต่หัวจรดเท้าจนทำให้สติที่พยายามข่มไว้ระเบิดออกมาเหมือนภูเขาไฟ

 

 

ม้วนกระดาษที่ฮอนขว้างไปอย่างแรงปะทะเข้าหน้าผากของเจ้าเมืองกีแล้วร่วงลง

 

 

“ชาวบ้านถูกปล้นหมด แต่ทำไมในบ้านเจ้าถึงไม่เป็นไรและปลอดภัยอยู่ที่เดียวได้!”

 

 

เลือดสีแดงเข้มไหลมาบดบังสายตาแล้วค่อยๆ ไหลลงพื้นโคลน แต่เจ้าเมืองกีไม่สามารถแม้แต่จะเช็ดออกได้ ได้แต่ตัวสั่นราวกับต้นหลิวและทรุดลงพื้น

 

 

“กระ…กระ…กระหม่อม…”

 

 

“ยังกล้าพูดว่ากระหม่อมอีก ทั้งเพิ่มภาษีทั้งลักลอบเอาเงินที่ใช้ปกป้องประเทศไปจนไม่พอใช้ ไอ้คนชั่ว”

 

 

พอโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ก็ลืมคำที่ตัวเองจะพูดไปจนหมดสิ้น ฮอนหัวเราะเยาะพร้อมกับด่าออกมา ก่อนจะลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปหาเจ้าเมืองกี

 

 

“จะเพิ่มภาษีก็มีข้อจำกัดอยู่เลยกลัวว่าจะเรื่องจะแดงขึ้นมา เลยร่วมมือกับคนป่าให้เข้ามาปล้นเพื่อรักษาทรัพย์สินของตัวเองไว้ แล้วรับเอารายการของที่ปล้นไปเอาไว้เพื่อให้พวกเจ้าได้อิ่มท้อง ถ้าที่ข้าพูดมันผิดก็แย้งมา”

 

 

เจ้าเมืองของหัวเมืองชายแดนที่ต้องปกป้องเขตแดนอย่างดีที่สุดเปิดประตูให้ฝ่ายตรงข้าม แล้วเอาของที่ถูกปล้นมาเป็นของตัวเอง เป็นสาเหตุให้เหล่าคนป่าเข้ามาถึงตัวเมืองที่ตั้งอยู่ข้างในและปล้นได้แม้จะเป็นมีกำแพงเป็นเส้นข้ามเขตแดน และแม้จะปล้นสิ่งของไปหมดแล้วพวกเขาก็ไม่พอใจ ยังใช้แรงที่เหลือไปปล้นเมืองถัดไปอีก

 

 

“หลักฐาน…มีหลักฐานไหมพ่ะย่ะค่ะ! อย่างไรเสีย…อึก!”

 

 

ฮอนเหยียบเท้าลงบนลิ้นปี่ของเจ้าเมืองกีที่ร้องขอหลักฐานอย่างแม่นยำ เหล่าทหารที่มองเจ้าเมืองกีเอามือกุมท้องแล้วร้องครวญครางทั้งๆ ที่เป็นบริวาร แต่กลับไม่มีใครนึกสงสารเขาสักคน ตรงกันข้ามในรอยยิ้มที่ยกยิ้มกลับปรากฏความหมายที่แสดงถึงความสบายใจอย่างชัดเจน แต่ดูสีหน้าพวกเขาไม่ว่าใครก็รู้ว่าใช้ชีวิตแบบถูกขูดรีดมากแค่ไหน

 

 

“ไอ้เจ้านี่ไม่มีทางได้เกิดใหม่แน่ จับตัวมันขึ้นมา”

 

 

คำว่าจับตัวมันขึ้นมาน่าหวาดกลัวยิ่งกล้าการลงโทษอย่างกะทันกันเสียอีก พอเจ้าเมืองกีตั้งสติได้ก็เข้าไปจับขาของฮอนอย่างรวดเร็วแล้วเกาะไว้แน่น แต่แล้วก็กลิ้งลงไปบนพื้นเหมือนขยะ

 

 

“ฝ่าบาท! ได้โปรดขอโอกาสให้กระหม่อมแค่เพียงครั้งเดียว!”

 

 

“ปิดปากมันซะ”

 

 

เหล่าทหารที่เคยเป็นบริวารของเขาโฉบเข้ามาจับตัวเจ้าเมืองไว้อย่างรวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ ไม่นานประตูของที่ว่าการซึ่งถูกปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก แล้วเจ้าเมืองที่ตอนนี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ถูกลากตัวออกมา เหล่าทหารที่รออยู่ข้างนอกโห่ร้องเสียงดังยิ่งกว่าตอนที่เกวียนบรรทุกเสบียงมาถึง แล้วต้อนรับเขาด้วยก้อนหินที่ถืออยู่ในมือ

 

 

 

 

* * *

 

 

 

 

เจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งใหม่จากวังหลวงนั้นกว่าจะเดินทางมาถึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันขึ้นไป ในระหว่างนั้นรยูฮาและมินอาไม่สามารถปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปได้ จึงช่วยซ่อมแซมหัวเมืองในช่วงกลางวัน และพอตกลางคืนก็ช่วยสอนศิลปะป้องกันตัวให้เหล่าทหาร

 

 

ทางด้านฮอนและชานที่กำลังยุ่งก็เช่นเดียวกัน พวกเขาพาคนที่มีกำลังไปจนถึงผู้หญิงมาช่วยกันซ่อมแซมกำแพงแล้วก็สลับกันดูแลกำกับงานตรงหน้างาน พอพระอาทิตย์ตกดินก็กินข้าวร่วมกันกับชาวบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาต่อสู้กับเอกสารในห้องทำงาน

 

 

ในพื้นที่ชายแดนถึงจะที่มีแนวป้องกันชั้นแรกเพื่อป้องกันศัตรูภายนอก แต่กษัตริย์ก็ดูแลได้ยาก ผู้ดูแลที่ทุจริตทำรายงานตกหล่นอย่างตั้งใจปกครองดูแลพื้นที่มาเป็นเวลานานยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ การหาบันทึกที่เป็นไปตามจริงและถูกต้องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ตัวเลขในสมุดบัญชีไม่ตรงกันเลยแม้แต่ตัวเดียว ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือยุ่งเหยิงไปหมด

 

 

“โอ๊ย นึกว่าจะตายเสียแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ เสด็จพี่”

 

 

ฮอนผละสายตาออกจากเอกสารพร้อมด้วยเสียงร้องเจ็บปวดและบีบนวดลงไปบนคอ จากนั้นก็นึกถึงตอนที่เจอกับรยูฮาครั้งแรกขึ้นมา ท่าทางของนางตอนที่ถอดชุดอันหนักอึ้งและทบซ้อนเป็นชั้นๆ ออกก่อนจะบีบนวดตรงนั้นตรงนี้ยังคงติดตา ฮอนหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางความเหนื่อยล้า สายตาสงสัยของชานส่งไปทางฮอนเพราะเขาหัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

 

 

“หัวเราะทำไมกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“คืนเข้าหอหลังงานอภิเษกสมรส พระชายาก็เป็นแบบนี้ ส่งเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมกับบอกว่า ‘นึกว่าจะตายเสียแล้ว’ ข้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยหัวเราะ”

 

 

ในมุมของเขาผู้ซึ่งแอบหลงรักภรรยาของน้องชายตัวเอง การได้ยินเรื่องคืนวันเข้าหอไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสนใจ ฮอนอ่านความอยากรู้อยากเห็นในสายตาของชานออก

 

 

“พระชายาบอกว่า ‘ไม่ใช่สัญญากับจินซึงฮวีไว้ว่าจะไม่แตะต้องหรอกหรือ’ แล้วก็ถอดชุดแต่งงานขว้างทิ้งด้วยมือตัวเองและบีบนวดตรงคอสองสามครั้ง นางดื่มเหล้าแต่งงานจนหมดแม้แต่ในส่วนของข้า จากนั้นก็นอนทั้งอย่างนั้น ถึงจะมาพูดเอาตอนนี้แต่ข้าคิดว่าพระชายาเป็นผู้หญิงบ้าบิ่นน่ะถูกต้องแน่แล้ว”

 

 

คำพูดสุดท้ายทำให้ความทรงจำบางอย่างของชานผุดขึ้นมา วันที่เขาพบพระชายาครั้งแรก เขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ในคืนนั้นที่พระชายาปรากฏตัวในชุดสีขาวงดงามอย่างมาก ในหัวใจอันแห้งแล้งของชานที่ไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนของสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ สิ่งนั้นช่างมีค่ามาก

 

 

“น่าจะเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างถ้าลองคิดถึงนิสัยของพระชายาในตอนนี้ กระหม่อมคิดว่าพระชายาทรงอดทนมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สายตาของชานที่พูดเช่นนั้นอบอุ่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ฮอนมองพี่ชายที่มีท่าทีแบบนั้นแล้วพยายามปลอบใจตัวเองที่ดำมืดลง สำหรับเขาชานคือพี่น้องที่หวงแหนและหาที่ไหนไม่ได้อีก ต่อให้มีความลับอันน่าหวาดเสียงชนิดที่ว่าถ้าไปจับต้องก็อาจจะแตกสลายได้ ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ถูกส่งไปยังชานก็เก็บซ่อนความหึงหวงและเป็นกังวลไว้จนลึก

 

 

“ไหนๆ แล้วดื่มเหล้ากับน้องชายหน่อยดีไหม เสด็จพี่”

 

 

“ถ้าวันนี้ดื่ม พรุ่งนี้จะไม่แย่เอาหรือพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าพระชายากับมินอากำลังฝึกซ้อมทหารอยู่ที่ลานฝึก บางทีอาจจะไปซ้อมยิงธนูด้วยก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถึงจะเคยเห็นรยูฮาคือดาบมาแล้ว แต่ฮอนก็อยากเห็นท่าทางของนางตอนสอนเหล่าทหาร ยิ่งไปกว่านั้นถ้าว่ากันตามจริง เขาก็ไม่มีทางพอใจที่ชานจะไปเจอรยูฮาคนเดียว ในที่สุดหลังจากทั้งสองคนจัดการเอกสารกองใหญ่เสร็จก็พากันลุกขึ้นเดินเรียงกันไปยังลานฝึก ต่อให้เป็นเวลาดึกแต่พอได้ยินเสียงที่เกิดจากการรวมพลังของร่างกายและจิตใจลอยมาแต่ไกลก็ทำให้ฮึกเหิม ต่อให้ไม่ดูว่ารยูฮาเข้มงวดกับเหล้าทหารมากแค่ไหนก็พอจะรู้ได้

 

 

“องค์รัชทายาทเสด็จ!”

 

 

พอฮอนและชานไปถึงลานฝึก น้ำเสียงก้องกังวานก็ดังลั่นท้องฟ้ายามค่ำคืน ตอนที่ไปถึง ทหารที่เคยไม่ได้เรื่องได้ราวนั้นเหมือนจะล้มหายตายจากไปแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ไม่แพ้ทหารชั้นดีของพระราชวัง เวลาที่ใช้สร้างผลงานขนาดนี้ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน ทั้งคู่ทำได้แค่ปรบมือให้กับความสามารถของรยูฮา

 

 

“ลำบากพวกเจ้าแล้ว อย่าใส่ใจข้าเลยฝึกซ้อมให้เสร็จเถอะ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

 

เหล่าทหารที่ตอบอย่างแข็งขันยืนประจันหน้ากันแล้วเริ่มประลองฝีมือกันอีกครั้ง ระหว่างนั้นรยูฮาในชุดเครื่องแบบสีดำที่ผมเผ้าพันกันยุ่งก็มานั่งลงข้างฮอน

 

 

“มาถึงที่นี่ทำไมเพคะ งานเสร็จแล้วก็ไม่ยอมพัก”

 

 

“พระชายายังไม่พัก ข้าจะพักได้อย่างไรกัน”

 

 

ทั้งที่อากาศตอนกลางคืนหนาวจนเย็นยะเยือกแต่หยาดเหงื่อตรงหน้าผากก็ไหลลงมาตามใบหน้าด้านข้าง ชานยิ้มแห้งพยายามหันหน้าไปเพื่อจะไม่มองฮอนที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อนั้น พอดีว่าตรงทางนั้นเหล่าทหารส่วนหนึ่งกำลังฝึกยิงธนูอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

“ยิงธนู มินอาเป็นคนสอนหรือพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”

 

 

สายตาของรยูฮาที่มองฮอนอยู่หันไปทางชานแล้วก็หันไปตามทางที่เขามองอยู่

 

 

“ใช่เพคะ มินอาเป็นนักแม่นธนูที่ไม่เคยแพ้ผู้ใดเพคะ”

 

 

“ทั้งสองคนคุ้นเคยกับศิลปะป้องกันตัวในร่างสตรีแบบนี้ได้อย่างไร”

 

 

คำถามของฮอนเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจ รยูฮายิ้มอย่างสดใสแล้วนึกถึงช่วงวัยเด็กที่ยังคงชัดเจนในความทรงจำขึ้นมา

 

 

“ฟันดาบ หม่อมเรียนจากท่านพ่อ ส่วนธนูและตำรา หม่อมฉันเรียนจากท่านแม่ อย่างที่ทรงทราบญาติฝ่ายท่านแม่ของหม่อมฉันเป็นทหารที่มีความดีความชอบต่อการสร้างชาติไม่ใช่หรือเพคะ”