ฮอนและชานพยักหน้าพร้อมกัน เป็นคำที่ออกมาอย่างคาดไม่ถึงแต่ว่าในขณะเดียวกันก็เห็นด้วย หากพูดถึงฮูหยินของมหาเสนาบดี ชื่อของนางเป็นที่เลื่องลือ อีกทั้งยังเป็นคู่ชีวิตของมหาเสนาบดีที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ เป็นคนมีความสามารถที่คลอดและเลี้ยงดูรยูฮามา และยิ่งถ้าบอกว่านางเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปก็คงจะยิ่งตกใจกันเข้าไปใหญ่

 

 

“ไม่ตกใจหรือเพคะ”

 

 

รยูฮาตาเบิกกว้างกับท่าทางของสองคนที่ดูสงบกว่าที่คิด เป็นท่าทางที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ สำหรับฮอนใบหน้าเช่นนั้นดูน่ารัก เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมที่เลื่อนลงมาตรงหน้าผากให้อีกครั้ง

 

 

“แค่คิดว่าเจ้าอาจจะคล้ายกับฮูหยินของท่านเสนาบดีก็เป็นได้”

 

 

“…หมายความว่าอย่างไรเพคะ”

 

 

ตาของรยูฮาหรี่ลงเล็กน้อย ฮอนผู้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติเพราะคำพูดที่พูดออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรได้มินอาที่เดินเข้ามาใกล้พอดีช่วยชีวิตไว้ แม้จะแน่นอนว่าหญิงสาวก็แค่เข้ามาอย่างไม่ได้คิดอะไร

 

 

“คุยอะไรกันสนุกขนาดนั้นเพคะ”

 

 

“กำลังคุยเรื่องที่เรียนศิลปะป้องกันตัวจากท่านแม่ของข้า”

 

 

ท่านแม่ของข้า ไม่รู้ทำไมคำนั้นถึงได้กดทับลงบนใจของฮอนอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มสดใสที่แทบจะไม่เคยเห็นของมินอาที่อยู่ตรงข้ามกับฮอน แค่เห็นอย่างนั้นก็รู้ว่ามินอาคิดว่าฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีเป็นเหมือนแม่ของตน

 

 

“อ้า ตอนนั้นลำบากจริงๆ เพคะ มัดถุงทรายไว้ที่ขาแล้ววิ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขา เท่านั้นยังไม่พอยังต้องปีนขึ้นต้นไม้ในสภาพแบบนั้นด้วย ในหนึ่งวันยิงธนูสามร้อยดอก หากพลาดเป้าก็ต้องผ่าฟืนตามจำนวนนั้น ฟืนในเรือนท่านมหาเสนาบดีอาจจะเป็นข้าผ่าไว้หมดก็ได้เพคะ”

 

 

“ผ่ากับข้าไง ท่านพ่อมาจับได้ด้วยไม่ใช่หรือ”

 

 

ชานและฮอนที่ฟังอยู่นิ่งไป ธนูสามร้อยหรือ มันคือการฝึกอย่างหนักชนิดที่ว่าแม้แต่ทหารชั้นดีก็ทำได้ยากไม่ใช่หรือ สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่มาเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มได้ด้วยหรือ ในหัวของชานที่มองไปยังสองสาวมีหนึ่งคำถามลอยขึ้นมา

 

 

“พระชายาเป็นลูกสาวเลยอาจจะเป็นไปได้ แต่มินอาทำไมเจ้าต้องเรียนต่อสู้อย่างตั้งใจจริงขนาดนั้น”

 

 

“ตั้งใจจริงหรือเพคะ ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะลำบากเพราะความตั้งใจของตนเองงั้นหรือเพคะ”

 

 

มินอามีสีหน้าบูดเบี้ยวและไม่พอใจ รยูฮายิ้มและตอบแทนมินอา

 

 

“หม่อมฉันบอกอ้อนวอนท่านแม่เองเพคะ หม่อมเคยมีความคิดว่าต่อไปอาจจะเกิดเรื่องได้ ดูสิเพคะ สอนไว้แล้วก็ได้เอามาใช้ประโยชน์เช่นนี้”

 

 

“ข้าล่ะอยากเห็นสีหน้าของเจ้าตอนอ้อนวอนฮูหยิน…”

 

 

ฮอนที่กำลังพูดนั้นชะงักไป แล้วปิดปากแน่น เพราะตอนที่กำลังพูดถึงแม่ของรยูฮาก็มีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งผ่านไป แน่ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นคือฮูหยินของท่านมหาเสนาบดีที่เขารู้จัก แต่ภาพนั้นกลับดูเด็กกว่าและใส่ชุดเครื่องแบบสีดำ ใช่แล้ว ถ้ารยูฮาที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้อายุเพิ่มขึ้นอีกสองสามปีก็จะมีท่าทางแบบนั้นแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นที่นึกถึงขึ้นมา…

 

 

“ทำไมหรือเพคะ”

 

 

 เสียงของรยูฮาทำให้ความคิดหรือความทรงจำที่เหมือนจะลอยขึ้นมาอย่างชัดเจนบินจากไป

 

 

“มะ ไม่มีอะไร เสด็จพี่บอกว่าอยากยิงธนูไม่ใช่หรือ”

 

 

ชานมองฮอนที่ทำหน้าประหลาดอย่างนึกแปลกใจ แต่แทนที่เขาจะเอ่ยถามเขากลับหยุด แล้วเบนสายตาไปทางมินอา

 

 

“ใช่แล้ว มินอา ข้าขอยืมธนูหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“ไหนๆ จะยิงธนูแล้ว อยากแข่งกับหม่อมฉันไหมเพคะ”

 

 

เดิมพันอีกแล้วหรือ ชานยิ้มแล้วรับคำนั้นอย่างง่ายดาย

 

 

ทั้งคู่เริ่มเลือกธนูภายใต้ความตึงเครียด ตรงหูของฮอนที่มองไปยังพวกเขาด้วยสายตากระตือรือร้นมีเสียงกระซิบของรยูฮาลอยเข้ามา

 

 

“หม่อมฉันลงเงินข้างมินอาสิบนยาง[1]เพคะ”

 

 

“ข้างเสด็จพี่สิบนยางเช่นกัน”

 

 

“รับที่สิบนยางแล้วเพิ่มอีกยี่สิบนยาง”

 

 

“ไม่เยอะไปหรือ”

 

 

“ยิ่งลงมากยิ่งสนุก ไม่ใช่ว่าคนที่จะกลายไปเป็นกษัตริย์กำลังกลัวหรอกนะเพคะ”

 

 

ฮอนขมวดคิ้วเพราะคำพูดคุกคามของรยูฮา

 

 

“ดี งั้นยี่สิบนยาง!”

 

 

“หม่อมฉันก็ยี่สิบนยาง”

 

 

พอปรึกษาเรื่องเงินเดิมพันกับเงียบๆ แล้วมองไปรอบๆ เหล่าทหารตรงนั้นตรงนี้ก็ยุ่งกับการควักเงินออกมา ชานกลายเป็นจุดสนใจอย่างคาดไม่ถึงจนรู้สึกประหม่า แต่ในขณะที่เหล่าทหารแบ่งกันนั่งเป็นสองฝ่ายแล้วถุงมือยาวก็ถูกยื่นออกมา ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว

 

 

“ยิงก่อนเลยเพคะ”

 

 

มินอาจงใจแกล้งเสียสละลำดับให้ก่อน ชานหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วยืนอยู่หน้าเป้า คบเพลิงที่สว่างสดใสเหมือนตอนกลางวันกระเพื่อมไหวไปมาตรงนั้นตรงนี้จนรบกวนสายตา เขาทำใจให้สงบแล้วดึงสายธนูจนตึง พอความคิดวุ่นวายในหัวหายใจก็มองเห็นเป้าขยายเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเสียงโห่ร้องจากฝ่ายเหล่าทหารที่มารวมกันทางชานก็ระเบิดขึ้น ธงสีน้ำเงินถูกสะบัดขึ้นอย่างแรง

 

 

“วงสีฟ้า!”

 

 

ต่อมาเป็นมินอาดึงสายธนู แน่นอนก็มีเสียงโห่ร้องและธงสีฟ้าที่ถูกสะบัดขึ้นเช่นกัน พวกเขาทยอยยิงลูกธนูไปแปดลูกอย่างไม่มีพลาดเลย สายตาของชานสบเข้ากับมินอาที่ง้างลูกธนูดอกที่เก้าบนคันธนูและกำลังมองมาที่เขา

 

 

“ทำไมมองเช่นนั้นเพคะ”

 

 

“คิดว่าช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งจริงๆ อยู่น่ะ”

 

 

มินอาไม่ตอบโต้หันไปด้วยสีหน้าเฉยเมยและดึงสายธนู แต่ว่ารอบนี้มีเสียงถอนหายใจอย่างเสียดายออกมาจากทางฝั่งของมินอา ในทางตรงกันข้ามทางฝั่งชานกลับเป็นเสียงโห่ร้องเพราะรู้สึกได้ถึงชัยชนะระเบิดขึ้น ต่อให้ต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอายกับชื่อเรียกที่ว่าเป็นนักแม่นธนู แต่ว่าลูกธนูดอกนั้นก็ลอยเข้าไปปักอยู่กลางเป้าแล้วสั่นไปมา

 

 

“วงสีแดง!”

 

 

สีหน้าของรยูฮาที่เห็นธงสีแดงถูกสะบัดขึ้นดูสงสัยแล้วก็มืดมนลง แต่ว่าก็อมยิ้มเล็กๆ ลูกธนูของชานที่ลอยไปปักอยู่ตรงกลางเป้าอย่างไม่มีพลาด ฮอนผู้ซึ่งดูการแข่งขันอย่างประหม่าจนถึงขั้นกำมือแน่นก็ยิ้มออกมาแล้วยื่นมือไปทางรยูฮา

 

 

“ยี่สิบนยาง เอามา”

 

 

“โธ่เว้ย!”

 

 

“เมื่อกี้ว่าอย่างไรนะ”

 

 

“ไม่ได้ว่าอะไรเพคะ”

 

 

ยูฮาหุบยิ้มและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจก่อนจะลุกขึ้นจากที่ เหล่าทหารที่นั่งกระจัดกระจายกันมารวมตัวอยู่ข้างหน้าอย่างเรียบร้อย

 

 

“วันนี้ฝึกแค่นี้ กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่”

 

 

“ขอรับ ท่านอาจารย์”

 

 

พระชายาก็ไม่ใช่ ท่านแม่ทัพก็ไม่ใช่แต่เรียกว่าท่านอาจารย์ ฮอนคิดว่าชื่อเรียกช่างสมกับที่เป็นรยูฮา และออกเดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาว จนออกจากลานฝึกมาถึงหน้าห้องบรรทมของรยูฮา แต่ว่าแทนที่รยูฮาจะเข้าไปกับเขา นางกลับหยุดเดินแล้วขวางฮอนไว้

 

 

“เข้ามาแบบนี้ทำไมเพคะ”

 

 

คำพูดคือถามว่ามาทำไม แต่สายตากลับมีความหมายให้รีบกลับไป ฮอนไม่ยอมแพ้ย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับรยูฮาแล้วยิ้ม

 

 

“ข้าจะอยู่ด้วย”

 

 

หางตาเรียวยาวโน้มลงไปทางฝ่ายตรงข้ามอย่างน่ารัก แต่รยูฮาไม่ได้จะปล่อยไปเพราะเพียงเท่านี้

 

 

“หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว ฝ่าบาททรงกลับไปพักผ่อนเถอะเพคะ”

 

 

ทำเกินไปแล้ว ฮอนพึมพำเบาๆ ยืนตัวตรงอีกครั้งแล้วหันกลับไป แน่นอนว่าแสร้งหันกลับไป

 

 

“อ๊ะ ฝ่าปาท!”

 

 

“อยู่อย่างนี้สักครู่เถอะ”

 

 

ฮอนเข้ามาสวมกอดในขณะที่หญิงสาวเผลอแล้วกระซิบอย่างมีเลศนัย เขารู้ไม่ทันว่ารยูฮาแกล้งทำทีเป็นเผลอ สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็นแต่อากาศที่ห้อมล้อมทั้งสองคนอยู่ร้อนขึ้น หัวใจของฮอนที่อยู่ชิดเริ่มเต้นรัวขึ้น ตอนที่การเคลื่อนไหวนั้นมันเร็วมากจนยากที่จะทนได้ รยูฮาก็ดันเขาออกนิ่งๆ แล้วออกมาจากอ้อมกอดกว้าง

 

 

“มากเกินไปแล้วเพคะ”

 

 

“เจ้าทำเกินไปแล้ว”

 

 

“หม่อมฉันรู้เพคะ คราวนี้ก็กลับไปได้แล้วเพคะ”

 

 

ไม่แน่ว่าถ้าไม่ไล่อย่างเย็นชาก็อาจจะต้องอยู่ตรงนี้ทั้งคืนก็เป็นได้ คำพูดของรยูฮาจึงยิ่งเฉียบขาดมากขึ้น รยูฮาที่เอาตัวรอดจากการต่อรองฮอนมาได้อย่างหวุดหวิดปัดผมไปด้านหลังแล้วจึงกลับเข้ามานั่งในห้องบรรทม

 

 

“นานจังเพคะ”

 

 

มินอาที่เข้ามาก่อนแล้วรออยู่จับผิด รยูฮายิ้มแทนคำตอบ แต่มินอาก็ไม่ได้พูดเพื่อจะเอาคำตอบอยู่แล้ว นางรับเอาเสื้อที่รยูฮาถอดยื่นมาให้ไว้แล้วจัดการอย่างเรียบร้อย รยูฮาจมอยู่ในความคิดสักครู่ตอนมองดูเบื้องหลังของมินอาที่เดินออกไปเพราะว่าบอกว่าจะไปเตรียมน้ำให้อาบ ความคิดนั้นตอนที่ประตูถูกปิดลงแล้วก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยอยู่สักพัก

 

 

“พระชายา เตรียมน้ำพร้อมแล้วเพคะ”

 

 

 

 

[1] นยาง หน่วยเงินของเกาหลีในสมัยโบราณ