เจ็ดยอดฝีมือร่วมมือและโจมตีร่วมกัน แต่พวกเขาทำได้เพียงต่อต้านการโจมตีของ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ได้เท่านั้น เหม่ยผู้น่าเกรงขามอาจจะใช้เคล็ดง่ายๆ แต่ มันสำคัญที่ต้องรู้ว่าสียอดปรมาจารย์และ สามยอดฝีมือเชวียนนั้นร่วมมือกัน
วรยุทธของ ท่านเหมยนั้นอยู่ในขั้นที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวนี้เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นสูงสุดในโลก
ฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจาย ลีจื้อเทียน ฉีฉางเซี่ยว เล้ยวูเบ้ย และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนยอดเขาที่เหลืออยู่ครึ่งเดียว เซี่ยวปู้หยู และคนอื่นๆ นั่งคุกเข่าลงหน้าฉีดเผือก จากนั้นพวกเขาพยายามเคลื่อนลมปราณเชวียนเพื่อทำให้ลมหายใจคงที่ และฟื้นกำลัง
สามคนที่เหลือนั้นโชคร้าย พวกเขาเป็นเพียงยอดฝีมือเทพเชวียน ดังนั้น ขั้นเชวียนของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่า ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บภายใน การบาดเจ็บภายในนี้มิได้รุนแรง การขาดความแข็งแกร่งนั้นส่งผลกระทบในทางร้ายในการปะทะกัน พวกเขาพวกเขาตอบสนองได้ช้ากว่าในช่วงเวลาการระเบิดเนื่องจากการฝึกฝนที่อ่อนแอของเขา และ นี่ทำให้พวกเขายืนอยู่บนเส้นด้ายและทำใหพวกเขาต้องเผชิญความเลวร้ายต่างๆ ความแข็งแกร่งนั้นสำคัญในช่วงเวลาสำคัญ และการขาดแคลนมันนั้นจักนำไปสู่สถานการณ์เป็นตายได้ เช่นนั้น พวกเขาจึงใช้ทุกโอกาสเพื่อทำให้มีสมาธิและ ฟื้นฟูตัวเอง
อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นมิได้โชคร้ายที่สุด
จวินโม่เซี่ยได้หลบซ่อนตัวเองอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์หลังจากที่เขาเตรียมการเสร็จแล้ว เขาตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็น … ราชันแห่งเทียนฟาดูถูด ลีจื้อเทียน คุณชายน้อยจวินรู้สึกอยากจะเต้นและร้องตะโกนยินดี จากนั้น เขายินดีมากขึ้นเมื่อทั้งสองยอดฝีมือเริ่มต่อสู้กัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาอันน่าตื่นตาตื่นใจและเป็นสุดนั้นกลับกลายเป็นความโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว การระเบิดของลมปราณนั้นเกิดขึ้นข้างใต้เขา และเขาก็มิได้อยู่ในขั้นเทพเชวียนเลย เขานึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใต้และตกใจ จากนั้น คลื่นที่รุ่นแรงก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับก้อนหินขนาดใหญ่อย่างนั้นสามเมตร จู่ๆหินก้อนนี้ก็พุ่งใส่หลังของเขา และนำพาเขาขึ้นไปสูงเสียฟ้า … ราวกับจะไปยังสวรรค์ชั้นเก้า …
ในตอนนี้ ก้นของเขาดูเหมือนจาก ความจริง มันเหมือนจานที่กลายเป็นสีแดงด้วยความร้อน หินยังคงติดอยู่ขณะที่ลอยขึ้นไป จวินโม่เซี่ยรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนเกิบกรีดร้อง เขามองขึ้นไป และรู้สึกราวกับกำลังจะตายและไปสู้โลกหน้า
อ้าาา …. อะไรกำลังเกิดขึ้น ! ข้าเพียงแค่กำลังเฝ้าดูอยู่เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น !
ข้ายังคงใช้เคล็ดอิสระหยินหยางอยู่
ในที่สุดจวินโม่เซี่ยก็คิดที่จะหลบหนีเมื่อเขาขึ้นไปสูงมาก แจ่เขาก็ไม่อาจปล่อยหินมันไปได้เนื่องจากมันทำร้ายเขา เช่นนั้น เขาจึงเตะมันอย่างรุนแรงและทำให้มันแตกออก จากนั้น จวินโม่เซี่ยก็ใช้โอกาสนั้น เข้าไปยัง เจดีย์หงส์จวิน
เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างมาก !
ทุกคนได้เห็นหินก้อนใหญ่ที่ลอยสูงขึ้นไปในอากาศแต่มันไม่ตกลงมา นี่เพราะ จวินโม่เซี่ย เตะมันอย่างไร้ปราณี และทำให้มันกลายเป็นชิ้นๆ ….
ท่านเหมยมองขึ้นไปและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมความสงสัย จากนั้นเขาก็กลับมามุ่งความสนใจไปยัง สี่ยอดปรมาจารย์ จากนั้น ราชันแห่งเทียนฟาขบฟันขณะที่ชุดคลุมสีดำของเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหม่ยผู้น่าเกรงขาม เตรียมการโจมตีอีกครั้ง
” ช้าก่อน ท่านเหมย ! ”
เสียตะโกนดังขึ้นห่างไกล ยอดฝีมือเชวียนผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นต้องแข็งแกร่งอย่างมาก เสียงนั้นกระหึ่มและก้องสะท้อนลั่น มันทำให้โลกสะเทือน เสียงนี้ดังขึ้นใกล้ๆ ลีจื้อเทียน และสองบุรุษชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาใส่เข็มขัดสีม่วงทองที่เอว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็มีกระบี่ขนาดมหึมาอยู่ที่เอวเช่นกัน และ กระบี่ของพวกเขาก็มีฝักและด้ามจับสีม่วงทอง
บุรุษทั้งสองนั้นเปล่งประกายและหล่อเหลา พวกเขาอยู่ในวัยกลางคนที่มีความสง่างาม ชุดคลุมสีดำที่พอดีตัวทำให้พวกเขาดูกล้าหาญและเฉียบขาดมากขึ้น บุรุษทั้งสองพุ่งตัวขึ้นกลางอากาศและมุ่งตรงไปยัง ท่านเหมย พวกเขาป้องมือและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
” พวกเราห่างหายกันไปหลายปี ข้าเชื่อว่าท่านนั้นสบายดีหลังจากที่เราได้เจอกันครั้งก่อน ท่านเหมย จำเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้วได้หรือไม่ ? “
ท่านเหมย พุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่าไร้น้ำหนักก่อนที่จะหยุดลง ดวงตาที่เจิดจ้าตรวจสอบผู้ที่มาใหม่ และจากนั้น ราชันแห่งทเียนฟาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเจือจาง
” เป็นเจ้า! ข้าจะไม่สบายดีได้อย่างไรหากเจ้าสบายดี ? “
ตอนนี้ ลีจื้อเทียนอยู่ด้านหลังพวกเขา เขาเริ่มเศร้ามองและกรอกตา สองบุรุษนี้ถามคำถามว่า “ข้าเชื่อว่าท่านสบายดีตั้งแต่ที่เราได้พบกันครั้งก่อน ” แต่ … เหม่ยผู้น่าเกรงขาม มิได้มีโทสะในตอนที่พวกเขาถาม เช่นนั้น เหตุใดข้าจึงเกือบตายเมื่อข้าถามคำถามเดียวกัน ?
บุรุษวัยกลางคนยิ้มและเอ่ย
” ท่านเหมย สามารถท้องไปในโลกกว้างได้อย่างอิสระและไร้ผู้ขัดขวาง และ พวกเราได้เห็น ขั้นเชวียนของท่านเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ! เช่นนั้น ยิ่นดีกับท่านด้วย ! ”
” ยินดีกับข้า ? พวกเจ้าควรเป็นผู้ได้รับการยกย่อง ! เจ้าสองยอดขุนศึกที่มีชื่อได้หายไปโดยไม่บอกกล่าว และมิได้แสดงตัวในโลกนี้นับสิบปี แต่ แสดงว่าเจ้าได้เป็น ประมุขของสำนักภายใต้จักกระพรรดินีของ โลกเซียนอมตะแล้ว ! ”
ท่านเหมย เอ่ยอย่างเยือกเย็น แต่เสียงของเขาเบาลงหลังจากได้ตรวจสอบทั้งสองอีกครั้ง
” เล่ยเปายู่ ปู้กวงเฟิง … สองอดีตยอดกระบี่สะเทือนโลกา ! เป่าหยู กวงเฟิง …สองยอดปรมาจารย์มายังเทียนฟา เหม่ยผู้นี้ได้รับเกียรติอันใด ? “
คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจวาจาเหล่านั้น สองชื่อนั้น ไม่ค้นหูคนส่วนใหญ่ แต่ ลีจื้อเทียน รวมถึงยอดปรมาจารย์คนอื่นๆ ผู้อาวูโสแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน และ ผู้นำของสกุลทรงอำนาจจำนวนหนึ่งมีสีหน้าที่ตกตะลึง
คนส่วนใหญ่จำชื่อของพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว แต่ ชื่อของพวกเขานั้นทำให้คนเมื่อหกสิบปีที่แล้วหวาดกลัว ความจริง เพียงแค่ชื่อของพวกเขาก็เพียงพอที่จะทำให้วิญญาณของคนหลุดออกจากร่างแล้ว ทุกคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งรู้จักชื่อเหล่านี้ และสั่นกลัว
ทั้งสองเป็นคู่ของพี่น้องร่วมสาบานในแปดยอดปรมาจารย์ในอดีต และพวหเขาก็ไม่เคยแยกจากกัน แต่ ทั้งสองก็มิได้ชอบกัน และก็มีความรู้สึกที่เชื่อมโยงกัน พวกเขาจักต่อสู้กันเมื่อพบเจอ และการต่อสู้นั้นสั่นสะเทือนโลกาเสอ
ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของทั้งสี่ก็ชั่วร้ายยิ่งนัก พวกเขานั้นจะทำแต่สิ่งที่พึงพอใจ ทั้งสี่มีส่วนที่สร้างความโกลาหลไปทั่วดินแดน แต่จากนั้น วันหนึ่งทั้งสี่ได้หายตัวไปในเวลาเดียวกัน ทุกคนคิดว่าพวกเขาถูกสังหารไปแล้ว คนจำนวนมากผ่อนคลาย และปรบมืออย่างสำราญ และ ตำนานของทั้งสี่ก็ได้หายไปตามกาลเวลา หกสิบปีผ่านไปจากวันนั้น ดังนั้น จึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องราว
แต่ หนึ่งในคู่พี่น้องได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาในเวลานี้
สองมือกระบี่สะเทือนโลกา สายฝน และพายุ ! และพวกขวกเขาทั้งสองเป็นยอดปรมาจารย์ !
ชื่อจริงของพวกเขาคือ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง !
นอกจากพี่น้องร่วมสาบาน …พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ และพวกเขานั้นมีชื่ออย่างมาก ความจริง พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความโง่เขาล
ซานโป้เฟิงหยุน และ ซานโป้เทียน ทำตัวไร้สามาระมาทั้งชีวิต !
พวกเขาเป็นเช่นนั้น และพวกเขายังเป็นเช่นนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิต และพวกเขาก็เป็นยอดปรมาจารย์
ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะได้ยินชื่ออันน่าสยดสยองของ ยอดปรมาจารย์สายฝน และ ยอดปรมาจารย์พายุก่อนการต่อสู้ที่เทียนฟา … น้อยคนยิ่งนักที่จะได้เห็นพวกเขาด้วยตัวเอง !
แต่ยังมีอีกสิ่งที่น่าสับสนมากกว่านั้น พวกเขามิได้เป็นเด็กหนุ่มในตอนที่หายไป ความจริง พวกเขามีอายุเกือบแปดสิบปี เช่นนั้น พวกเขาจะยังคงดูเด็กหลังจากผ่านไปหกสิบปีได้อย่างไร ? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจักฝึกฝนเคล็ดเยาว์วัย ?
“เจ้าประจบเรา ”
ผู้ที่ตอบมีใฝอยู่ใกล้ดวงตาข้างหนึ่งของเขา คนที่มีอายุรู้จักสิ่งนี้ มันชัดเจนว่าคือใบหน้าของ ยอดปรมาจารย์สายฝน เล่ยเปายู่ จากนั้นพวกเขาได้ยินเขาหัวเราะและเอ่ยต่อ
” พี่ข้า และข้า ไม่ใส่ใจสิ่งนั้น เราจะกล้าให้เกียรติ ท่านเหมย ได้อย่างไร ? เพียงแค่เราถูก โลกเซียนอมตะส่งมาเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างเทียนฟาและดินแดนที่เหลือ ”
” โอ้ว ? สิ่งเล็กน้อยแค่นี้รบกวนโลกเซียนอมตะอย่างนั้นหรือ ? เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่ ? “
เหม่ยผู้น่าเกรงขามคำรามทางจมูก เย้ย และหัวเราะ มันไม่สำคัญหากเขาต้องสู้และสังหารสองยอดปรมาจารย์ ชัดเจนว่ามีไพ่ตายซ่อนอยู่
” และอีกครั้งที่เจ้ายกยอเรา พวกเราสองพี่น้องเพียงแค่นำพาสารขององจักรพรรดินีมามอบให้ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ”
ปู้กวงเฟิงตอบ
” โปรดเอ่ย … ข้าไม่รู้ว่าคนปากว่าตาขยิบผู้นั้นจะเสนอสิ่งใด นางบอกว่าอันใด ? “
ท่านเหมยด้วยความกระหายใคร่รู้
เล่ยเปายู่ ชะงักเมื่อได้ยินคำว่า ปากว่าตาขยิบ แต่ เขาก็ฝืนกลืนโทสะและเอ่ย
” องค์จักรพรรดินีเอ่ยว่า …ดีแล้วที่เทียนฟาเกิดสงคราม พวกเราศัทธาในการกระทำของ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ความขัดแย้งระหว่างยอดฝีมือเชวียนก็ดี สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีการแย่งชิงอำนาจกันเอง แต่ เราขอ เหม่ยผู้น่าเกรงขามผ่อนปรนต่อสามัญชน ”
” ฮ่า ฮ่า ! นางมักจะคร่ำควรญถึงโลกและดูถุกพวกมนุษย์ด้วยน้ำเสียงของนางเสมอ ! “
เหม่ยผู้น่าเกรงขามหัวเราะ
” แต่ เทียนฟาของข้าไม่เคยอ่อนข้อต่อดินแดนใด แม้นว่าดินแดนนั้นจะเป็น โลกเซียนอมตะ อย่าบอกว่านางคิดว่านางสามารถบงการเทียนฟาของข้าได้ ? เรื่องตลกอันใดกัน ! “
” ท่านเหมยสามารถทำตามใจตัวเองได้ พวกเราไม่ก้าวก่าย พวกเราไม่มีอำนาจไปยุ่งเกี่ยว ความจริง พวกเราจักไม่ทำอันใด ไม่ว่าผลจักเป็นเช่นไร พวกเราเพียงจักไปรายงงานสิ่งที่ได้เห็น และ องค์จักรพรรดินีจักตัดสินใจ ”
เล่ยเปายู่ยิ้ม
ท่านเหมย พ่นลมทางจมูกและเอ่ย
” สองอดีตมือกระบี่สะเทือนโลกา ยอดปรมาจารย์สายฝน และ พายุ เคยทำตัวอย่างเป็นอิสระ พวกเขามีนิสัยที่ง่ายๆ และ ชั่วร้าย ข้าไม่เคยคาดว่าพวกเขาจักมีศีลธรรมเมื่อได้เป็น ประมุขของสำนักแห่ง โลกเซียนอมตะ ข้าชื่นชมการฝึกฝนที่ องค์จักรพรรดินีมอบให้จริงๆ ความจริง ข้าแปลกใจเลยหากเจ้าทั้งสองจักพ่ายแพ้หากได้พบกับศัตรูที่ชื่นชอบพวกเจ้า ”
ชัดเจนว่าคำนี้มีความหมายว่า ปรมาจารย์พายุ และสายฝนนั้นเป็น ทาศ คำนี้ไม่ได้มีความหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังนั้นเหลืออดนัก ยิ่งไปหว่านั้น พวกเขายังถูกเปรียบเทียบกับตัวตนในอดีต จากนั้น มันก็ยังสื่อได้ว่า ปราณชเวียนของพวกเขามิได้เพิ่มขึ้นแม้พวกเขาจักหนุ่มขึ้นในตอนนี้ ความจริง มันบอกเป็นนัยๆ ว่าพวกเขาไม่อาจตามคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งที่สุดของพวกเขาได้
ใบหน้าของ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิงบิดเบี้ยว ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยโทสะขณะที่พวกเขาเอามือวางไปบนด้ามกระบี่ และเดิมขึ้นหน้า
ใบหน้าของ ลีจื้อเทียน เต็มไปด้วยความสำราญในทันที
พวกเจ้าทั้งสองจะร่วมแจมหรือไม่ ? โอกาสที่จะสำเร็จของเราจะเพิ่มสูงขึ้นมากนัก ….
แต่กระนั้น เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง ล่าถอยหลังจากก้าวขึ้นหน้า … และสิ่งนี้เกิดขึ้นในตอนที่ ลีจื้อเทียน กำลังคิดถึงการแทรกแซงของพวกเขา จากนั้นเล่ยเปายู่ เอ่ยท่าทีสงบ
” เหม่ยผู้น่าเกรงขามเป็นผู้ที่มีความสามารถนัก วันนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เราขุ่นเคือง ไม่เหมาะสมสำหรับพวกเราที่จะต่อสู้ในวันนี้ แต่ะนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำเช่นนี้ในวันข้างหน้า ความจริงพวกเราสองพี่น้องจักหาหนทางหาก เหม่ยผู้น่าเกรงขาม รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่พลาดโอกาสที่ดีไป ! ”
เสื้อคลุมยาวของ เหม่ยผู้น่าเกรงขามส่งเสียงขึ้นท้ามกลางสายลม พวกเขาดูเหมือนกำลังยิ้มขณะเอ่ย
” โอ้ จริงหรือ ? “