ตอนที่ 354 สองยอดกระบี่สะเทือนโลกา ยอดปรมาจารย์สายฝนและพายุ !

Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ

เจ็ดยอดฝีมือร่วมมือและโจมตีร่วมกัน  แต่พวกเขาทำได้เพียงต่อต้านการโจมตีของ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ได้เท่านั้น  เหม่ยผู้น่าเกรงขามอาจจะใช้เคล็ดง่ายๆ  แต่ มันสำคัญที่ต้องรู้ว่าสียอดปรมาจารย์และ สามยอดฝีมือเชวียนนั้นร่วมมือกัน

 

วรยุทธของ ท่านเหมยนั้นอยู่ในขั้นที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก

 

ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวนี้เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นสูงสุดในโลก

 

ฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจาย  ลีจื้อเทียน ฉีฉางเซี่ยว เล้ยวูเบ้ย และ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนยอดเขาที่เหลืออยู่ครึ่งเดียว  เซี่ยวปู้หยู และคนอื่นๆ นั่งคุกเข่าลงหน้าฉีดเผือก  จากนั้นพวกเขาพยายามเคลื่อนลมปราณเชวียนเพื่อทำให้ลมหายใจคงที่ และฟื้นกำลัง

 

สามคนที่เหลือนั้นโชคร้าย  พวกเขาเป็นเพียงยอดฝีมือเทพเชวียน  ดังนั้น ขั้นเชวียนของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่า  ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บภายใน  การบาดเจ็บภายในนี้มิได้รุนแรง  การขาดความแข็งแกร่งนั้นส่งผลกระทบในทางร้ายในการปะทะกัน  พวกเขาพวกเขาตอบสนองได้ช้ากว่าในช่วงเวลาการระเบิดเนื่องจากการฝึกฝนที่อ่อนแอของเขา  และ นี่ทำให้พวกเขายืนอยู่บนเส้นด้ายและทำใหพวกเขาต้องเผชิญความเลวร้ายต่างๆ ความแข็งแกร่งนั้นสำคัญในช่วงเวลาสำคัญ และการขาดแคลนมันนั้นจักนำไปสู่สถานการณ์เป็นตายได้  เช่นนั้น พวกเขาจึงใช้ทุกโอกาสเพื่อทำให้มีสมาธิและ ฟื้นฟูตัวเอง

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นมิได้โชคร้ายที่สุด

 

จวินโม่เซี่ยได้หลบซ่อนตัวเองอยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์หลังจากที่เขาเตรียมการเสร็จแล้ว  เขาตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็น … ราชันแห่งเทียนฟาดูถูด ลีจื้อเทียน  คุณชายน้อยจวินรู้สึกอยากจะเต้นและร้องตะโกนยินดี  จากนั้น เขายินดีมากขึ้นเมื่อทั้งสองยอดฝีมือเริ่มต่อสู้กัน

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาอันน่าตื่นตาตื่นใจและเป็นสุดนั้นกลับกลายเป็นความโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว การระเบิดของลมปราณนั้นเกิดขึ้นข้างใต้เขา และเขาก็มิได้อยู่ในขั้นเทพเชวียนเลย  เขานึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใต้และตกใจ  จากนั้น คลื่นที่รุ่นแรงก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับก้อนหินขนาดใหญ่อย่างนั้นสามเมตร  จู่ๆหินก้อนนี้ก็พุ่งใส่หลังของเขา และนำพาเขาขึ้นไปสูงเสียฟ้า … ราวกับจะไปยังสวรรค์ชั้นเก้า …

 

ในตอนนี้ ก้นของเขาดูเหมือนจาก ความจริง มันเหมือนจานที่กลายเป็นสีแดงด้วยความร้อน  หินยังคงติดอยู่ขณะที่ลอยขึ้นไป  จวินโม่เซี่ยรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนเกิบกรีดร้อง  เขามองขึ้นไป และรู้สึกราวกับกำลังจะตายและไปสู้โลกหน้า

 

อ้าาา ….​ อะไรกำลังเกิดขึ้น !  ข้าเพียงแค่กำลังเฝ้าดูอยู่เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น !

 

ข้ายังคงใช้เคล็ดอิสระหยินหยางอยู่

ในที่สุดจวินโม่เซี่ยก็คิดที่จะหลบหนีเมื่อเขาขึ้นไปสูงมาก  แจ่เขาก็ไม่อาจปล่อยหินมันไปได้เนื่องจากมันทำร้ายเขา  เช่นนั้น  เขาจึงเตะมันอย่างรุนแรงและทำให้มันแตกออก  จากนั้น จวินโม่เซี่ยก็ใช้โอกาสนั้น เข้าไปยัง เจดีย์หงส์จวิน

 

 

 

เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างมาก !

 

ทุกคนได้เห็นหินก้อนใหญ่ที่ลอยสูงขึ้นไปในอากาศแต่มันไม่ตกลงมา  นี่เพราะ จวินโม่เซี่ย เตะมันอย่างไร้ปราณี และทำให้มันกลายเป็นชิ้นๆ ….

 

ท่านเหมยมองขึ้นไปและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมความสงสัย  จากนั้นเขาก็กลับมามุ่งความสนใจไปยัง สี่ยอดปรมาจารย์  จากนั้น ราชันแห่งเทียนฟาขบฟันขณะที่ชุดคลุมสีดำของเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า  เหม่ยผู้น่าเกรงขาม เตรียมการโจมตีอีกครั้ง

 

” ช้าก่อน ท่านเหมย ! ”

เสียตะโกนดังขึ้นห่างไกล  ยอดฝีมือเชวียนผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นต้องแข็งแกร่งอย่างมาก  เสียงนั้นกระหึ่มและก้องสะท้อนลั่น  มันทำให้โลกสะเทือน  เสียงนี้ดังขึ้นใกล้ๆ ลีจื้อเทียน และสองบุรุษชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา  เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาใส่เข็มขัดสีม่วงทองที่เอว  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็มีกระบี่ขนาดมหึมาอยู่ที่เอวเช่นกัน  และ กระบี่ของพวกเขาก็มีฝักและด้ามจับสีม่วงทอง

 

บุรุษทั้งสองนั้นเปล่งประกายและหล่อเหลา  พวกเขาอยู่ในวัยกลางคนที่มีความสง่างาม  ชุดคลุมสีดำที่พอดีตัวทำให้พวกเขาดูกล้าหาญและเฉียบขาดมากขึ้น  บุรุษทั้งสองพุ่งตัวขึ้นกลางอากาศและมุ่งตรงไปยัง ท่านเหมย  พวกเขาป้องมือและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

” พวกเราห่างหายกันไปหลายปี  ข้าเชื่อว่าท่านนั้นสบายดีหลังจากที่เราได้เจอกันครั้งก่อน ท่านเหมย จำเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้วได้หรือไม่ ? “

 

ท่านเหมย พุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่าไร้น้ำหนักก่อนที่จะหยุดลง  ดวงตาที่เจิดจ้าตรวจสอบผู้ที่มาใหม่  และจากนั้น ราชันแห่งทเียนฟาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเจือจาง

” เป็นเจ้า!  ข้าจะไม่สบายดีได้อย่างไรหากเจ้าสบายดี ? “

 

ตอนนี้ ลีจื้อเทียนอยู่ด้านหลังพวกเขา  เขาเริ่มเศร้ามองและกรอกตา  สองบุรุษนี้ถามคำถามว่า “ข้าเชื่อว่าท่านสบายดีตั้งแต่ที่เราได้พบกันครั้งก่อน ” แต่ … เหม่ยผู้น่าเกรงขาม มิได้มีโทสะในตอนที่พวกเขาถาม  เช่นนั้น เหตุใดข้าจึงเกือบตายเมื่อข้าถามคำถามเดียวกัน ?

 

บุรุษวัยกลางคนยิ้มและเอ่ย

” ท่านเหมย สามารถท้องไปในโลกกว้างได้อย่างอิสระและไร้ผู้ขัดขวาง  และ พวกเราได้เห็น ขั้นเชวียนของท่านเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด !  เช่นนั้น ยิ่นดีกับท่านด้วย ! ”

 

” ยินดีกับข้า ?  พวกเจ้าควรเป็นผู้ได้รับการยกย่อง !  เจ้าสองยอดขุนศึกที่มีชื่อได้หายไปโดยไม่บอกกล่าว และมิได้แสดงตัวในโลกนี้นับสิบปี  แต่ แสดงว่าเจ้าได้เป็น ประมุขของสำนักภายใต้จักกระพรรดินีของ โลกเซียนอมตะแล้ว ! ”

ท่านเหมย เอ่ยอย่างเยือกเย็น แต่เสียงของเขาเบาลงหลังจากได้ตรวจสอบทั้งสองอีกครั้ง

” เล่ยเปายู่ ปู้กวงเฟิง … สองอดีตยอดกระบี่สะเทือนโลกา ! เป่าหยู กวงเฟิง …สองยอดปรมาจารย์มายังเทียนฟา  เหม่ยผู้นี้ได้รับเกียรติอันใด ? “

 

คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจวาจาเหล่านั้น  สองชื่อนั้น ไม่ค้นหูคนส่วนใหญ่ แต่ ลีจื้อเทียน รวมถึงยอดปรมาจารย์คนอื่นๆ ผู้อาวูโสแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน และ ผู้นำของสกุลทรงอำนาจจำนวนหนึ่งมีสีหน้าที่ตกตะลึง

 

คนส่วนใหญ่จำชื่อของพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว  แต่ ชื่อของพวกเขานั้นทำให้คนเมื่อหกสิบปีที่แล้วหวาดกลัว  ความจริง เพียงแค่ชื่อของพวกเขาก็เพียงพอที่จะทำให้วิญญาณของคนหลุดออกจากร่างแล้ว  ทุกคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งรู้จักชื่อเหล่านี้ และสั่นกลัว

 

ทั้งสองเป็นคู่ของพี่น้องร่วมสาบานในแปดยอดปรมาจารย์ในอดีต  และพวหเขาก็ไม่เคยแยกจากกัน  แต่ ทั้งสองก็มิได้ชอบกัน และก็มีความรู้สึกที่เชื่อมโยงกัน พวกเขาจักต่อสู้กันเมื่อพบเจอ และการต่อสู้นั้นสั่นสะเทือนโลกาเสอ

 

ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของทั้งสี่ก็ชั่วร้ายยิ่งนัก  พวกเขานั้นจะทำแต่สิ่งที่พึงพอใจ  ทั้งสี่มีส่วนที่สร้างความโกลาหลไปทั่วดินแดน  แต่จากนั้น วันหนึ่งทั้งสี่ได้หายตัวไปในเวลาเดียวกัน  ทุกคนคิดว่าพวกเขาถูกสังหารไปแล้ว  คนจำนวนมากผ่อนคลาย และปรบมืออย่างสำราญ  และ ตำนานของทั้งสี่ก็ได้หายไปตามกาลเวลา  หกสิบปีผ่านไปจากวันนั้น  ดังนั้น จึงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องราว

 

แต่ หนึ่งในคู่พี่น้องได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาในเวลานี้

 

สองมือกระบี่สะเทือนโลกา สายฝน และพายุ ! และพวกขวกเขาทั้งสองเป็นยอดปรมาจารย์ !

 

ชื่อจริงของพวกเขาคือ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง !

 

นอกจากพี่น้องร่วมสาบาน …พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ  และพวกเขานั้นมีชื่ออย่างมาก ความจริง พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความโง่เขาล

 

ซานโป้เฟิงหยุน และ ซานโป้เทียน ทำตัวไร้สามาระมาทั้งชีวิต !

 

พวกเขาเป็นเช่นนั้น  และพวกเขายังเป็นเช่นนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิต  และพวกเขาก็เป็นยอดปรมาจารย์

 

ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะได้ยินชื่ออันน่าสยดสยองของ ยอดปรมาจารย์สายฝน และ ยอดปรมาจารย์พายุก่อนการต่อสู้ที่เทียนฟา … น้อยคนยิ่งนักที่จะได้เห็นพวกเขาด้วยตัวเอง !

 

แต่ยังมีอีกสิ่งที่น่าสับสนมากกว่านั้น  พวกเขามิได้เป็นเด็กหนุ่มในตอนที่หายไป  ความจริง พวกเขามีอายุเกือบแปดสิบปี  เช่นนั้น พวกเขาจะยังคงดูเด็กหลังจากผ่านไปหกสิบปีได้อย่างไร ?  เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจักฝึกฝนเคล็ดเยาว์วัย ?

 

“เจ้าประจบเรา ”

ผู้ที่ตอบมีใฝอยู่ใกล้ดวงตาข้างหนึ่งของเขา  คนที่มีอายุรู้จักสิ่งนี้  มันชัดเจนว่าคือใบหน้าของ ยอดปรมาจารย์สายฝน เล่ยเปายู่ จากนั้นพวกเขาได้ยินเขาหัวเราะและเอ่ยต่อ

” พี่ข้า และข้า ไม่ใส่ใจสิ่งนั้น  เราจะกล้าให้เกียรติ ท่านเหมย ได้อย่างไร ?  เพียงแค่เราถูก โลกเซียนอมตะส่งมาเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างเทียนฟาและดินแดนที่เหลือ ”

 

” โอ้ว ?  สิ่งเล็กน้อยแค่นี้รบกวนโลกเซียนอมตะอย่างนั้นหรือ ?  เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่ ? “

เหม่ยผู้น่าเกรงขามคำรามทางจมูก เย้ย และหัวเราะ  มันไม่สำคัญหากเขาต้องสู้และสังหารสองยอดปรมาจารย์ ชัดเจนว่ามีไพ่ตายซ่อนอยู่

 

” และอีกครั้งที่เจ้ายกยอเรา  พวกเราสองพี่น้องเพียงแค่นำพาสารขององจักรพรรดินีมามอบให้ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ”

ปู้กวงเฟิงตอบ

 

” โปรดเอ่ย … ข้าไม่รู้ว่าคนปากว่าตาขยิบผู้นั้นจะเสนอสิ่งใด  นางบอกว่าอันใด ? “

ท่านเหมยด้วยความกระหายใคร่รู้

 

เล่ยเปายู่ ชะงักเมื่อได้ยินคำว่า  ปากว่าตาขยิบ แต่ เขาก็ฝืนกลืนโทสะและเอ่ย

” องค์จักรพรรดินีเอ่ยว่า …ดีแล้วที่เทียนฟาเกิดสงคราม  พวกเราศัทธาในการกระทำของ เหม่ยผู้น่าเกรงขาม ความขัดแย้งระหว่างยอดฝีมือเชวียนก็ดี  สามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีการแย่งชิงอำนาจกันเอง แต่ เราขอ เหม่ยผู้น่าเกรงขามผ่อนปรนต่อสามัญชน ”

 

” ฮ่า ฮ่า !  นางมักจะคร่ำควรญถึงโลกและดูถุกพวกมนุษย์ด้วยน้ำเสียงของนางเสมอ ! “

เหม่ยผู้น่าเกรงขามหัวเราะ

” แต่ เทียนฟาของข้าไม่เคยอ่อนข้อต่อดินแดนใด แม้นว่าดินแดนนั้นจะเป็น โลกเซียนอมตะ อย่าบอกว่านางคิดว่านางสามารถบงการเทียนฟาของข้าได้ ?  เรื่องตลกอันใดกัน ! “​

 

” ท่านเหมยสามารถทำตามใจตัวเองได้  พวกเราไม่ก้าวก่าย  พวกเราไม่มีอำนาจไปยุ่งเกี่ยว  ความจริง พวกเราจักไม่ทำอันใด ไม่ว่าผลจักเป็นเช่นไร  พวกเราเพียงจักไปรายงงานสิ่งที่ได้เห็น และ องค์จักรพรรดินีจักตัดสินใจ ”

เล่ยเปายู่ยิ้ม

 

ท่านเหมย พ่นลมทางจมูกและเอ่ย

” สองอดีตมือกระบี่สะเทือนโลกา ยอดปรมาจารย์สายฝน และ พายุ เคยทำตัวอย่างเป็นอิสระ  พวกเขามีนิสัยที่ง่ายๆ และ ชั่วร้าย  ข้าไม่เคยคาดว่าพวกเขาจักมีศีลธรรมเมื่อได้เป็น ประมุขของสำนักแห่ง โลกเซียนอมตะ ข้าชื่นชมการฝึกฝนที่ องค์จักรพรรดินีมอบให้จริงๆ  ความจริง ข้าแปลกใจเลยหากเจ้าทั้งสองจักพ่ายแพ้หากได้พบกับศัตรูที่ชื่นชอบพวกเจ้า ”

 

ชัดเจนว่าคำนี้มีความหมายว่า ปรมาจารย์พายุ และสายฝนนั้นเป็น ทาศ  คำนี้ไม่ได้มีความหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังนั้นเหลืออดนัก  ยิ่งไปหว่านั้น พวกเขายังถูกเปรียบเทียบกับตัวตนในอดีต จากนั้น มันก็ยังสื่อได้ว่า ปราณชเวียนของพวกเขามิได้เพิ่มขึ้นแม้พวกเขาจักหนุ่มขึ้นในตอนนี้  ความจริง มันบอกเป็นนัยๆ ว่าพวกเขาไม่อาจตามคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งที่สุดของพวกเขาได้

 

ใบหน้าของ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิงบิดเบี้ยว  ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยโทสะขณะที่พวกเขาเอามือวางไปบนด้ามกระบี่ และเดิมขึ้นหน้า

 

ใบหน้าของ ลีจื้อเทียน เต็มไปด้วยความสำราญในทันที

พวกเจ้าทั้งสองจะร่วมแจมหรือไม่ ?  โอกาสที่จะสำเร็จของเราจะเพิ่มสูงขึ้นมากนัก ….

 

แต่กระนั้น เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง ล่าถอยหลังจากก้าวขึ้นหน้า … และสิ่งนี้เกิดขึ้นในตอนที่ ลีจื้อเทียน กำลังคิดถึงการแทรกแซงของพวกเขา จากนั้นเล่ยเปายู่ เอ่ยท่าทีสงบ

” เหม่ยผู้น่าเกรงขามเป็นผู้ที่มีความสามารถนัก  วันนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เราขุ่นเคือง ไม่เหมาะสมสำหรับพวกเราที่จะต่อสู้ในวันนี้ แต่ะนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำเช่นนี้ในวันข้างหน้า  ความจริงพวกเราสองพี่น้องจักหาหนทางหาก เหม่ยผู้น่าเกรงขาม รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่พลาดโอกาสที่ดีไป ! ”

 

เสื้อคลุมยาวของ เหม่ยผู้น่าเกรงขามส่งเสียงขึ้นท้ามกลางสายลม  พวกเขาดูเหมือนกำลังยิ้มขณะเอ่ย

” โอ้ จริงหรือ ? “