จากนั้น ปู้กวงเฟิงเอ่ยชั่วร้าย
“ดูเหมือน ประสกเหมย จักสนใจในการฝึกฝนของเรา เหตุใดเขาไม่มารับด้วย …. ? ข้าเชื่อว่าพวกเขาจักเปลี่ยนไปเช่นกัน อย่างน้อยพวกเขาคงไม่ต่างจากเราสองพี่น้อง”
วาจาที่พวกเขาเอ่ยดูเหมือจักมีความหมายบางอย่าง แม้แต่ ลีจื้อเทียน ก็ไม่อาจเข้าใจได้
ประสกเหมยตอนนี้กำลังลอยอยู่ในอากาศ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกเขามีโทสะอย่างมาก ชุดคลุมของเขาก็ลอยขึ้นท่ามกลายสายลมและดูเหมือนว่าเขากำลังเตรียมโจมตี แต่จากนั้น พวกเขาก็หยุดแลสงบลง จากนั้นพวกเขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
” ข้าจักไปยัง โลกเซียนอมตะ และแสดงให้ จักรพรรดินีเห็นว่าจุดจบของคนไม่จริงใจเป็นเช่นไร ! “
เล่ยเปายู่กำลังจะเอ่ยขึ้นในตอนที่เขาถูกขัดจังหวะโดย ประสกเหมย
” เข้ามาสิ หากพวกเจ้าทั้งสองต้องการมีส่วนในสงครามใจวันนี้ แต่ จงหลึกทางไปหากพวกเจ้าเพียงต้องการมาเฝ้าดู ข้าไม่ต้องการจักวิวาทกับเจ้าทั้งสอง ถอยไป ! ”
” เอาละพวกเรามาเพื่อเฝ้าดู เช่นนั้น ท่านเหมย อาจให้ความกระจ่างแก่เราได้ ”
เล่ยเปายู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียง เยือกเย็น
” ง่ายมาก พวกเรามีสามการประลองเพื่อตัดสินผู้ชนะ กองกำลังที่มีการจัดกระบวนทัพจักเข้าต่อสู้ในศึกแรก ศึกครั้งที่สองจักเกิดขึ้นระหว่างผู้นำของแต่ละฝ่าย และ ศึกที่สามและศึกตัดสินจักเกิดขึ้นโดดยยอดฝีมืออันดับสูง ! “
ประสกเหมยคำรามทางจมูก
” พวกเราจักกลับไปยังเทียนฟาหากเจ้าชนะ และ อสูรเชวียน จักไม่ปรากฏตัวออกมาอีกหลังจากนั้น แต่ พวกเรามีสามข้อแม้หากเจ้าแพ้ อย่างแรก ลีจื้อเทียนจักต้องคืน แกนเชวียนของราชันเสือดำ อย่างที่สอง ห้ามยอดฝีมือเชวียนเข้าไปยังป่าเทียนฟา ข้าจักเอาชีวิตคนหนึ่งหมื่นจากแผ่นดินใหญ่หากมีใครคนหนึ่งเข้าไป ข้าจักเอาชีวิตคนสองหมื่นหากเข้าไปสองคน และ สังหารเก้ชั่วโครตหากเป็นเช่นนั้น ! สาม … ข้าจักหักขาทั้งสองของลูกชายของ ลีจื้อเทียน ! สงครามนี้เริ่มขึ้นเพราะเขา มันจักต้องจบลงที่เขาเช่นกัน ”
” นั่นไม่ยุติธรรม ! ”
ปู้กวงเฟิงคำรามทางจมูก
” หากเจ้าแพ้เจ้าเพียงแค่ล่าถอย แต่พวกเรากลับต้องผูกมัดกับสามเงื่อนไข ? ท่านไม่คิดว่ามันมากไปหรือ ประสกเหมย ? “
” จักมีปัญหาอันใดหรือหากพวกเจ้าเข้าไปในป่าไม่ได้ ? และ เหตุใด แกนเชวียนราชันเสือดำจึงอยู่ในท้องของ ลีจื้อเทียน ? เจ้าไม่อาจแยกความผิดถูกอย่างนั้นหรือ ปู้กวงเฟิง ? “
ท่านเหมยตะโกนกลับไปด้วยโทสะ
ลีจื้อเทียนเดินขึ้นหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
” ปัญหานี้เกิดขึ้นมากจากเทียนฟาของท่าน ! จักมาโทษพวกเราพ่อลูกได้อย่างไร ? วันนี้ท่านเป็นผู้ที่สับสนในความผิดถูก มิเช่นนั้นท่านจักโยนความผิดทั้งหมดมาให้เราอย่างนั้นหรือ ? ผู้ที่ไม่แยกความผิดถูกนั้นมีเพียงแค่ท่านเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ชี้ชะตานี้จักเกิดขึ้นเพราะลูกชายของข้าได้อย่างไรกัน ? เหตุใดเงื่อนไขข้อที่สามจึงต้องหักขาของลูกชายข้า ? ลูกชายข้าได้ทำสิ่งใดถึงต้องพบเจอเรื่องนี้ ? ท่านไม่คิดว่ามันจักรุนแรงเกินไปหรือ ท่านเหมย ? สิ่งที่ท่านเอ่ยนั้นไร้สาระมาก ! ”
ยอดปรมาจารย์ลี่ มีโทสะอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกเหมือนทำหินหล่นใส่เท้าของตัวเอง เขาบังคับให้ จวินวูอี้ ไปสนามรบเนื่องจากคำขอของลูกชาย เขาส่งทหารไปเพียงสี่พันแม้นว่าเขาควรจักแสดงความแข็งแกร่งมากกว่านี้ อาจบอกได้ว่าคนเหล่านั้นถูกส่งไปตายอ่างไร้ประโยชน์ หรือเอ่ยอีกนัย นี่เป็นความพ่ายแพ้อย่างที่สุด ไม่มีโอกาสที่สำเร็จได้เลย ผู้ใดที่ดวงตามีแววก็สามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ประสกเหมยตอนนี้ได้ยกเงื่อนไขที่จักหักขาของลูกชายเขา และมันขึ้นอยู่กับผลของการต่อสู้ ดังนั้น เขาจักไม่เสียอารมณ์ได้อย่าไร ลี่เติ้งหยวนจักใช้อุบายกับ จวินวูอี้อย่างนั้นหรือ หากขาของเขาขึ้นอยู่กับผลนี้ ?
การตายของจวินวูอี้จักสำคัญเช่นไรหากเป็นเช่นนี้ ?
” ข้าได้มอบตัวเลือกที่ดี ก็เป็นการดีหาก ยอดปรมาจารย์ลี่ไม่เห็นด้วย ข้าก็จักเพียงนำกองทัพของข้าเข้าโจมตีดินแดนที่เหลือ เจ้าไม่อาจโทษข้าได้ในความทุกข์ทรมาณแสนสาหัสของโลกมนุษ นอกจากนี้ ข้าก็ได้มอบข้อเสนอที่สันติที่สุด เช่นนั้น ข้าก็จักไม่ว่าอันใดหากเจ้าไม่เห็นด้วย ”
ประสกเหมยมองไปยัง ลีจื้อเทียน แววตาของเขาบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจักเห็นด้วยหรือไม่ ….
ชัดเจนว่าข้อเสนอเหล่านี้เชื่อโยงกับชื่อเสียงของเทียนฟา และนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น
” ไม่ว่าจักอย่างไรข้าก็ไม่เปลี่ยนข้อเสนอทั้งสาม ไม่ว่าเจ้าจักเห็นด้วยหรือไม่ ? “
เขาไม่เชื่อว่า ลีจื้อเทียน จักปล่อยให้ทั้งโลกถูกทำลาย …. แม้นว่าเขาจักเป็นยอดปรมาจารย์ที่สอง และ พวกเขาจักบังคับเขาให้ยินยอมแม้ว่าเขาจักปฏิเสธ
” ข้าไม่เห็นด้วย ! ”
” ข้าเห็นด้วย ! ”
สองสองคำตอบที่แตกต่างมาจาก ลีจื้อเทียน และ เล่ยเปายู่
” ประมุขเล่ย…. เราต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ”
ลีจื้อเทียนอยากกระอักเลือดด้วยโทสะ แต่ เขารู้ว่าเขาไม่อาจยั่วโทสะโลกเซียนอมตะได้ เขานั้นโดดเด่นในการเป็นยอดปรมาจารย์อันดับสอง และได้รับความนับถือในความสำเร็จของโลก แต่ เขารู้ว่า สถานะของเขานั้นไร้ค่าในสายตาของ โลกเซียนอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้ว่าอาจตัวเองอาจไม่เทียบชั้นได้กับสองยอดปรมาจารย์ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง แม้นว่าเขาจักต่อสู้ตัวต่อตัวกับพวกเขา
” ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนี้ มันมีค่าเท่ากับ รับสั่งของ องค์จักรพรรดินี ”
เล่ยเปายู่ หยุดเขา จากนั้น เขายิ่ม และเอ่ยต่อเสียงเบา
” น้องลี่ ใจเย็นก่อน เจ้าคิดว่า สถานะของคนอย่างประสกเหม่ยจักลำบากใจที่จักจัดการกับลูกชายของเจ้าหากเราแพ้การต่อสู้หรือ ? จงกลับไปคิด ชีวิตของลูกชายเจ้าไม่อยู่ในอันตราย อย่างมากเขาก็แค่ถูกหักขา แต่ สาม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จักต้องหาผู้ที่ต้องมารับผิดชอบในหายนะจาก กบฏอสูรเชวียน หากเราไม่ยอมรับในเงื่อนไขของ ท่านเหมย ในตอนนี้ ลีจื้อเทียน …เจ้า …ฮี่ ฮี่ …..”
” แต่ …. ”
ลีจื้อเทียนกำลังจักเอ่ยขึ้น
ข้าได้กลืน แกนเชวียนของ ราชันเสือดำเข้าไปแล้ว แล้วข้าจักคายมาออกมาได้อย่างไร ?
เขากำลังจักเอ่ยวาจานี้ แต่กลับกลืนมันลงไป เขาได้กลืนแกนเชวียนเข้าไปแต่มันยังคนอยู่ในท้องของเขา ลีจื้อเทียน กำลังรอเพื่อจักกินแกนเชวียนของ ราชันหมีใหญ่ แต่ แกนเชวียนของ ราชันเสือดำ ก็ยังคงอยู่จนกว่าสิ่งนั้นจักเกิดขึ้น แต่ เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง จักคิดอย่างไรหากพวกเขารู้ว่าแกนเชวียนยังคงไม่เสียหาย ?
ลีจื้อเทียนประเมินสถานการณ์ จากนั้นเขาถามตัวเอง
” ข้าจักทำอย่างไรหากเป็นพวกเขา ? ข้าคงอยากบังคับเพื่อเอาสมบัติชิ้นนั้นไป ..แต่ข้าจักมีความหวังที่จักต่อสู้กับสองยอดปรมาจารย์ได้ออย่างไรหากพวกเขาร่วมมือกัน ?
ลีจื้อเทียน ยังคงเงียบ เช่นนั้น ทั้งสองจึงคิดว่าเขายอมรับแล้ว จากนั้น พวกเขาหันไปยัง ประสกเหมย
” ท่านเหมยเราจักเริ่มการต่อสู้ได้แล้วยัง ? “
ประสกเหมยพยักหน้าช้าๆ พวกเขายังไม่ทันเอ่ยจบและยื่นมืออกไป และจากนั้น กระบี่ทองเล่มเล็กลอยขึ้นมา และตามมาด้วยลมพายุที่รุนแรง และเสียงกรีดร้องดังก้องมากจากด้ามกระบี่
อาจคิดได้ว่ากระบี่เคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงที่ทรงพลัง ความจริง มันก็สมเหตุผลที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วของเสียง แต่มันก็เคลื่อนที่ช้ามาก ความจริงมันช้าดั่งเช่น เกาทัณฑ์ ธรรมดา
แต่ แสงที่อยู่ด้านหลังกระบี่ค่อยๆหนาขึ้นเรื่อยๆ ราวกับ มังกรหนุ่มจากสวรรค์ชั้นเก้าที่กำลังยืดมือข้ามหุบเขา มันยังคงส่งเสียงเช่นนั้นต่อไปจนถืออีกฝากของหุบเขา
นี่คือคำสั่ง !
ลีจื้อเทียนยกมือขึ้น และจากนั้น ธงที่ทำจากดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นราวดอกไม้บาน สีหน้าของเขาโหดร้าย
หมีใหญ่คำรามชั่วร้าย ความจริง มันเกือบจะคล้ายดั่งเสียงฟ้าผ่าที่สั่นเทือนสวรรค์ชั้นเก้า จากนั้น ราชันหมีใหญ่กระโดดนไปข้างหน้า ตามมาด้วยอสูรเชวียนสามชนิด หมี เสือ และ ราชสีห์ สามราชันอสูรเชีวยนนำกองกำลังของเขา และพุ่งออกมาจากป่าราวพายุ
พวกเขานั้นมีอยู่ไม่มากนัก …. เพียงสี่พัน
จวินวูอี้โบกมือเพื่อโบกธงสัญญาณอย่างรวดเร็วจากด้านข้าง จากนั้น คนสี่พับแปรขบวนเป็นสามเหลี่ยมอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นพวกเขายังคงอยู่นิ่งๆ
จวินวูอี้ไม่คิดถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของคนสี่พันนั่นด้วยกว่า ความแข็งแกร่งของ อสูรเชวียนสี่พันที่พวกเขาต้องเผชิญมากนัก เขารู้ว่า พวกเขาเสียเปรียบอย่างมาก ความแข็งแกร่งที่แตกต่างของทั้งสองฝ่ายนั้นมีอยู่อย่างน้อย สามถึงสี่เท่า หรือมากกว่านั้น ดังนั้น พวกเขาต้องใช้กลยุธท์ที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญนี้ นอกจากนี้ การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้กับ อสูรเชวียน .. มันเหมือนการไล่สังหารฝ่ายเดียว
แผนการของเขาเริ่มด้วยการวางกับดัก จากนั้น พวกเขารอให้การโจมตีเข้ามาใกล้ คนทั้งสี่พันของเขาจักโจมตีด้วยอาวุธลับเมื่อ ศัตรูเข้ามาใกล้พอ นี่จักเป็นการลดกำลังของกองทัพฝ่ายตรงข้ามโดยการกำจัดอสูรเชวียนที่อ่อนแอ เขาได้จัดให้ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานที่ ที่อสูรเชวียนที่แข็งแกร่งจะฝ่าเข้ามา เขาแบ่งคนของเขาเป็น สิบเจ็ด สิบแปดกลุ่ม เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามจากทุกด้าน คนที่เหลื่อทำการปิดช่องว่าง และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสนับสนุนการต่อสู้
ต้องมีการเสียสละที่ไม่อาจเลี้ยงได้ในแผนการสี้ แต่ โอกาสที่จักสำเร็จจักเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากพากทุกอย่างเป็นไปตามแผน และ อย่างน้อยพวกเขาจักได้มอบการต่อสู้ที่ดีให้กับศัตรู แต่ จวินวูอี้ มิได้คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาตายในการต่อสู้นี้ … พวกเขาจักได้ตายในการต่อสู้ที่กล้าหาญ !
มันบอกได้ว่า กลยุทธ์ของจวินวูอี้นั้นมีประสิทธิภาพอย่างมากในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของ อสูรเชวียน พวกเขาทั้งหมดจักตายหากทำตามแผนการนี้ แต่ พวกเขาก็ไม่สร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ความจริง พวกเขาสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับ เหล่าอสูรเชวียน หากคาดการในแง่ดี อย่างน้อยพวกเขาอาจทำให้อสูรเชวียนครึ่งหนึ่งตายไปพร้อมกับพวกเขา !
พวกเขามีจำนวนเพียงสี่พัน และกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูในจำนวนเท่ากัน แต่ ความแข็งแกร่งของอสูรเชวียนนั้นมากเกินกว่าพวกเขา เช่นนั้น การต่อสู้นี้ถือได้ว่าเป็นชัยชนะของมนุษย์ แม้นว่าศัตรูจักตายไปเพียงครึ่งหนึ่ง
แต่แผนการนี้จักเป็นเพียงทฤษฎีหากมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าแผนการจักดีเพียงใด จัดคาดหวังได้อย่างแท้จริงว่าผู้คนจำนวนมากเช่นนั้นจักเชื่อฟังคำสังของ จวินวูอี้ ? หลายคนจักได้นับคำสังให้ไปดูผู้อื่นตาย และ และยอดฝีมือเหล่านั้นถูกสังหารเพื่อยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่า
การสังหารที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง .. หรืออาจล่าช้า … ก็มาถึง …
” การอยู่ในกระบวนทัพนี้ไม่เหมือนกันการเอาชีวิตไปทิ้งอย่างนั้นหรือ ? พี่น้อง อย่าไปฟังคำสั่งของแม่ทัพขี้ขลาดผู้นั้น ! ไปสังหารพวกมันกับข้า ! พวกเราสามารถสังหารอสูรเชวียนขั้นหกและเจ็ดได้อย่างง่ายดาย ! เราจักไม่ชนะหรอกหรือ หากพวกเราแต่ละคนสามารถสังหารศัตรูได้คนละหนึ่งหรือสอง ? “
เสียงโห่งร้องดังขึ้นจากด้านหลังของสมาชิกของ มณฑลฉือฮั่น ที่ก้าวขึ้นไปข้างหน้า พวกเขาถูกจัดให้อยู่ข้างหลัง แต่ตอนนี้ได้วิ่งขึ้นไปข้างหน้า และ ไม่ช้าพวกเขาก็มาอยู่ข้างหน้าของกระบวนของ จวินวูอี้ การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้น แต่กระบวนได้แตกไปแล้ว และ คนเจ็ดร้อยของ มณฑลฉือฮั่น ยังคงวิ่งตรงไปยังอันตรายข้างหน้าง ภายใต้การนำของสามยอดฝีมือเทพเชวียนของพวกเขา