เมื่อพวกเขานำ คนอื่นๆจึงตอบรับ
จากนั้น ยี่สิบคนจาก นครพายุหิมะสีเงิน ก็ออกจากกระบวนทัพ และจากนั้น ยอดฝีมือจาก สกุลทรงอำนาจ ก็ตามพวกเขาไป เมื่อนั้น กระบวนทัพของจวินวูอี้ก็เหลือเพียงกรอบสี่เหลี่ยมที่มีบุรุษสามร้อย และ พวกเขาเหล่านั้นก็เพียงผู้ที่อยู่ด้านหลัง
อาจบอกได้ว่า วาจาปลุกระดมของ มณฑลฉือฮั่น นั้นค่อนข้างจริง พวกเขาจะมีชัยอย่างแน่นอนหากทหารแต่ละคนสามารถสังหารอสูรเวียนได้คนละสองตน แต่ พวกเขามีความแข็งแกร่งพอที่จักสังหารกองทัพศัตรูได้มากมายเช่นนั้นเลยหรือ ? พวกเขามียอดฝีมือเทพเชวียน หรือสวรรค์เชวียนมากเพียงใดกัน … ?
แต่ ยอมรับได้ว่าทหารกว่าสามพันที่วิ่งออกไปนั้นมีความเข้าใจในหมู่พวกเขาเอง คนของ มณฑลฉือฮั่น วิ่งออกไปก่อน พวกเขาเลี้ยวซ้ายทันทีและพยายามโจมตีอสูรเชวียนจากด้านข้าง และ คนจาก นครพายุหิมะสีเงินเลี้ยวขวาไปในเส้นทางเดียวกัน และพยายามจะโจมตีพวกมันจากด้านข้าง ผู้ที่อยู่หลังจากพวกเขานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นนั้น พวกเขาจึงเลี้ยวขวาไปเช่นกัน บางคนที่อยู่ด้านหลังเลี้ยวขวาไปอย่างลังเล และพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่ ไม่นานพวกเขาก็ได้เห็นคลื่นของ อสูรเชวียนพุ่งมาที่พวกเขา และถึงกับสะดุ้งตกใจ จากนั้นพวกเขากระโดดหลบไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่สนใจว่าจะหลบไปซ้ายหรือขวา … การรักษาชีวิตตัวเองไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนั้น
ดังนั้น ทหารสามร้อยของ แม่ทัพสูงสุด จวินวูอี้ ก็ตกเป็นเป้าของอสูรเชวียนที่พุ่งเข้ามา
อสูรเชวียนสี่พันพุ่งตรงเข้ามาและคำรามขณะที่พวกมันวิ่ง !
” ไร้ยางอาย ! ไร้ยางอายที่สุด ! ”
ตงฟางเหวินชิงตะโกนมีโทสะ นายบ้าน สกุลเดือนมู่ เดือนมู่โฉวเฟิน กำลังยืนอยู่ข้างเขา หนวดของเขาสั่นด้วยโทสะ และความสับสนขณะสถบตะกุกตะกัก
” นะ..นั่น …แม่…. เจ้า… ละ…..ลี….ลี่…จะ….จือ….จื้อ….”
อีกผู้นำสกุล ซิกงอันยี่ ที่ยืนอยู่ข้างเขา สีหน้าของเขานั้นเหมือผู้ที่ตกลงไปในน้ำ เขาคำรามมีโทสะ
“แม่เจ้า ! ข้าจักสังหารทุกผู้ที่อยู่ตรงหน้าข้า ! และ เจ้ายุดพูดตะกุกตะกัก ! เจ้ายังไม่โดนอสูรเชวียนกินเข้าไป เช่นนั้น หยุดเศร้าหมองได้แล้ว ! “
” เจ้าโง่ ขะ…ข้ายังดะ….ด่า….ไม่จบ …! ”
เดือนมู่โฉวเฟินมีโทสะอย่างมาก แต่ยังคงพยายามพูดให้ลื่นไหล โดดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “เจ้าโง่ ! ” คำนั้นพูดออกมาอย่างชัดถ้อยคำ และไม่ติดขัดเลย ดังนั้น เสียงของคำว่า เจ้าโง่นั้น ทรงพลัง กล้าหาญ และ ไม่ธรรมดา
” หยุดพูด ! ”
ซิกงอันยี่เหาะขึ้นไปด้วยโทสะและชักกระบี่ออกมาด้วยแววตาชั่วร้าย พยัคฆ์ทองกำลังพุ่งใส่พวกเขา เขี้ยวของ พยัคฆ์ สามารถฉีกได้ทุกสิ่งอย่าง หางของมันเป็นเหมือนแท่งโลหะ และสามาถทำลายทุกสิ่งเมื่อมันกระทบกับเป้าหมาย แต่กระนั้นการเคลื่อนไหวของ พยัคฆ์ เหล่านั้นแปลกประหลาด รูปแบบการต่อสู้ของพวกมันราวกับมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ดุร้าย แต่มีความสละสลวย เสียงลมหวีดหวิวขณะที่มันเคลื่อนไปข้างหน้า และเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความช่ำชองในศิลปะการต่อสู้เฉพาะตัว การเคลื่อนไหวของบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าบ่งบอกได้ถึงจังหวะ !
ผู้ใดจักเหลือโอกาสหากอสูรเชวียนเหล่านี้ใช้ วรยุทธ ?
ในเวลาต่อมาพวกเขาเกือบจะจมอยู่ในกระแสของอสูรเชวียน ตอนนี้ ตงฟางเหวินชิง และคนอื่นๆกำลังเผชิญหน้ากับอสูรเชวียนระดับแปดหรือเก้า จิตสัมผัสของเขาร้องเตือน แต่ พวกเขาประหลาดใจที่ อสูรเชวียนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งทำท่าเหมือนกับ คำนับ จากนั้นมันเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบพวกเขา และจากนั้น พวกมันเพียง …
เดินจากไป !
ใบหน้าของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่บนยอดเขานั้นหม่นหมอง
” นี่คือการจัดกระบวนทัพของท่านหรือ ลีจื้อเทียน ? เหล่ายอดฝีมือแตกออกไปคนละทิศละทาง พวกเขาเข้าสู่การต่อสู้โดยไร้ความรับผิดชอบ และปล่อยให้แม่ทัพสูงสุดอยู่กลางแจ้ง … ! พวกเขาทำลายกระบวนทัพตัวเอง ! คนก็ตามที่ปล่อยให้ผม่ทัพสูงสุดของพวกเขาอยู่ในอันตรายจักต้องพบกับ โทษทัณฑ์ หากเป็นการศึกทั่วไป คนทั้งสามพันนั้นต้องถูกสังหาร ! ”
ลีจื้อเทียนชี้นิ้วไปที่สนามรบ และถาม ลีจื้อเทียน ขณะหัวเราะและพยักหน้า
” ไม่แปลกใจที่เจ้าไม่อมรับข้อเสนอ เจ้าไม่เคยตั้งใจที่จักชนะการต่อสู่นี้ ! ข้าเชื่อว่าในท่ามกลางคน สี่พันเหล่านั้นมีศัตรูของเจ้าอยู่ … ? นั้นเป็นเลห์เหลี่ยมชั้นเลิศ ! “
จากนั้น ปู้กวงเฟิง ตัดบทและเอ่ย
” แม่ทัพสูงสุดผู้นั้นเป็นดั่งยอดฝีมือชั้นเลิศ เมื่อเป็นเรื่องของการ พิชัยยุทธ เริ่มแรกเขาจัดกระบวนทัพเป็นรูปใบมีด กระบวนทัพใบมีดจักป้องกันการโจมตีในตอนต้น ความจริง การป้องกันนั้นจักดูดซับความรุนแรง จากนั้นเขาจักสามารถรักษาสถานการณ์ได้ … แม้นว่าเขาจักไม่อาจเอาชนะเหล่าอสูรเชวียนได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้วางกับดักไว้ข้างหน้ามากมายเพื่อลดการบาดเจ็บและล้มตายของฝ่ายเดียวกัน จากนั้น พวกเขาจักสามารถที่จักสนับสนุนกับเพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อโจมตีต่อสู้กับเหล่าอสูรได้หากพวกเขารอดจากการโจมตีระรอกแรก นั้นเป็นการเตรียมการที่งดงาม ! ช่างเป็นเลิศยิ่งนัก ! น่าเสียดายที่พวกคนชั้นต่ำเหล่านั้นทำลายมันลงไป …. ! อืมมม ! ”
เห็นได้ชัดว่าคำว่าคนชั้นต่ำนั้นหมายถึง ลีจื้อเทียน ใบหน้าของ ยอดปรมาจารย์ลี่ เปลี่ยนสีม่วงในทันที เนื่องจากเขาอับอายและหงุดหงิด
เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง มิได้มีพื้นฐานทางทหาร แต่ด้วยความรอบรู้นับร้อยปี และสายตาที่เกินกว่าสามัญ และประสบการณ์ได้มอบปัญญาให้พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถมองเห็นกับดักนั้นได้
ชัดเจนว่า ลีจื้อเทียน โกธเคืองอย่างมากขณะที่ ปู้กวงเฟิงพักหน้า
” ยอดปรมาจารย์ลี่ กลายเป็นว่าท่านมิได้สนใจขาของลูกชายของท่านมากมายนัก เหตุใดท่านจึงรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวังหาท่านเป็นห่วงถึงความเป็นอยู่ของลูกชายจริงๆ ? ไม่อาจคาดถึง ! ”
สีหน้าของ ลีจื้อเทียน แดงก่ำด้วยความอับอาย เขาไม่รู้จักตอบกลับไปอย่างไร เขาจึงไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมา
ลีจื้อเทียนจักรู้ได้เช่นไรว่า โลกเซียนอมตะ จักส่งคนมาเฝ้าดูการต่อสู้นี้ ? ด้วยสถานะในโลกมนุษย์ของเขา ผู้ใดเล่าจักกล้าเอ่ยวาจาต่อต้าน … ? แม้นว่าพวกเขาจักไม่เห็นด้วยกับการจัดการของเขา …. ? ชัดเจนว่าผู้ใดก็ตามที่พูดจาต่อต้านเขาจักถูดทำให้หายไปหลังจากนั้นไม่ช้า และท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดอยากตายโดยการทำให้ ยอดปรมาจารย์อับดับสองขุ่นเคือง
แต่กระนั้น เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง ปรากฏตัว และ ลีจื้อเทียน มันทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล ครั้งนี้เขาเสียหน้าต่อ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความจริงเขาไม่เพียงเสียหน้า … เขายังทำให้ลูกชายตกในที่นั่งลำบาก …
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าคนจาก โลกเซียนอมตะ นั้นมิได้เพียงมาเฝ้าดูเท่านั้น …
จวินโม่เซี่ย วิตกอย่างมากในตอนนั้น เขาลืมนึกถึงสองคนนี้ไป เดือนมู่โฉวเฟิน และ ซิกงอันยี่ ! สถานการณ์ของลุงของเขานั้นน่ากลัว แต่มิได้อันตราย ความจริง มันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่หากเขาถูก อสูรเชวียนจำนวนมากล้อมเอาไว้ แต่ ผู้นำสกุล เดือนมู่และ ซิกงนั้นเป็นผู้นิยมความรุนแรง
ซิกงอันยี่ ถูกอสูรเชวียนห้าหรือหกตัวล้อมเอาไว้ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว เขาเริ่มมีอารมณ์และตื่นเต้น และ เดือนมู่โฉวเฟิน กำลังถูกรุมล้อมและกำลังจะหมดแรง ผู้นำ สกุลเดือนมู่ คำรามซ้ำๆขณะที่เขาฟันกระบี่ลงไป แต่ บ่อยครั้งที่เขายกมือซ้ายขึ้นและวางไว้บนปกเสื้อ
จวินโม่เซี่ยเหาะลงมา และรู้ว่ามีรูขนาดใหญ่อยู่บนเสื้อส่วนหลังของ เดือนมู่โฉวเฟิน เขาไม่รู้เลยว่า อสูรเชวียนทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่แก้มก้นที่หยาบกร้านนั้นเผยออกมาให้เห็นได้ ความจริง มันมีรอยข่วนบางๆอยู่ …
จวินโม่เซี่ยหัวเราะด้วยความพึงพอใจอย่างมาด และรีบโรยแป้งไปบนตัวของสองนคนนั้นทันที จากนั้น เขาก็รียล่าถอยออกไป
ซิกงอันยี่กำลังหม่นหมอง และร้องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าความกดดันลดลงอย่างผิดปกติ อสูรเชวียนที่ข่มขู่เขา และพุ่งเข้าโจมตีเขาอยู่เมื่อครู่ตอนนี้มันกำลังมองเขาด้วยสายตาที่สับสน อสูรเหล่านั้นทำจมูกฟุตฟิต กระดิกหางและจากไป
อสูรเชวียนนั้นแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม สามอสูรเชวียนพุ่งสั่งให้พวกเขาโจมตีจากทุกทิศทาง แต่มีเพียงน้อยนิดที่อยู่กับจวินวูอี้ แต่ อสูรเชวียนเหล่านั้นอยู่ในขั้นเก้า และมีความแข็งแกร่งอย่างมาก ความจริง พวกเขาสามารถกินคนไปได้หลายคนเพียงอ้าปากครั้งเดียว แต่ ดูเหมือนพวกเขาไม่ประสงค์จักโจมตีใส่กลุ่มคนเล็กๆนี้
ซิกงอันยี่ รู้สึกว่าตัวเองสับสน ตอนนี้มีเพียงอสูรเชวียนเพียงหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา และมันเป็นผู้ที่ฉลาดมากยิ่ง มันเผชิญหน้ากับเขา ขยิบตา และดึงหน้า ….
” ขยิบตา ? เจ้าเป็นอะไร ? ข้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้ เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำหน้าตาเช่นนั้น ?
ดวงตาของ ซิกงอันยี่เบิกกว้าง เขาไม่เข้าใจสิ่งใดในตอนที่ พยัคฆ์ทองตัวนั้น ยกกรงเล็บของมันขึ้นมาอย่างกระวนกระวายและชี้ไปรอบๆ จากนั้นอสูรตัวนั้นคำรามและพุ่งใส่เขา พลังอำนาจของมันนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก และดูเหมือนว่าชีวิตของ ซิกงอันยี่กำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
ซิกงอันยี่ รวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมด และเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยความไม่มั่นใจ แต่ เมื่อเขาปะทะกับคู่ต่อสู่ และได้รู้ว่า พลังและอำนาจของคู่ตอสู้นั้นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ไม่ใช่การโจมตีด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง ฝ่ายตรงข้าม กระดิกหางและขยิบตาอีกครั้ง !
ในที่สุด ซิกงอันยี่ จึงเข้าใจ
โอ้ว ! มันตั้งใจจักแสร้งต่อสู้กับข้า !
เขาหันไปและรู้ว่าคนอื่นๆก็เข้าใจสิ่งนั้นแล้ว สบายแต่ละคนของเขาตะโกนลั่นไปยังเหล่าอสูร และ อสูรเหล่านั้นก็คำรามกลับมา กระบี่ที่เคลื่อนไวรวดเร็วดั่งสายฟ้า แต่มันไร้ความแม่นยำและพลาดเป้า กรงเล็บที่เคลื่อนไหวดังสายลม แต่มันไร้วี่แววที่จักปะทะกับเป้าหมาย ….
แต่ ผู้ที่ตกอยู่บนที่นั่งลำบากที่สุดคือ แม่ทัพสูงสุดจวินวูอี้ เขาเขาถูกปิดล้อมด้วยสองอสูรเชวียนขั้นเก้าที่บ้าคลั่ง แต่เขานั่งอยู่บนรถเข็นของเขาอย่างปลอดภัย แม้แต่เส้นผมของเขาก็ไม่ได้รับอันครายท่ามกลางความสับสนนี้ สอง อสูรหมีฉีกปฐพี ที่แต่ละตัวมีน้ำหนักกว่าหนึ่งตัน กระโดดใส่เขาจากด้านข้างขณะที่มันคำรามลั่น อุ้งเท้าของมันกระทบพื้นและทำให้ฝุ่นกระจายไปทั่ว แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับกลาง หรือยอดฝีมือเทพเชวียนก็ต้องประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในในขณะที่ต้องเผชิญกับการโจมตีนี้ และทำได้เพียงพยายามหลบหนี้ แต่ เขาเห็นได้ว่า แม่ทัพสูงสุดจวินชูกระบี่ขึ้นไปอย่างเคร่งขรึม และสอง อสูรเชวียนฉีกปฐพี หลบมันไป การโจมตีด้วยกระบี่นั้นไม่ได้รับชัยอย่างแท้จริง มันเป็นเพียงการซ้อมกระบี่ที่หลักแหลม
หมีเหล่านั้นกระโจนใส่เขาเช่นเดิม และอีกฝ่ายก็ฟาดฟันกระบี่ และจากนั้น พวกมันก็ล่าถอยอีกครั้ง ….
เกิดอันใดขึ้น ?
ปากของ ซิกงอันยี่ อ้ากว้าง ดูราวกับขากรรไกรของเขากำลังจักเคล็ด จากนั้น เขาหันไปและพบว่า เดือนมู่โฉวเฟิน ก็ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายแล้ว แต่ เขาก็ยังคงอยู่ในจุดที่ยากลำบาก เขาเร่งรีบฉีกเสื้อผ้าของคนที่ตายแล้วออก และพับไว้รอบเอวเพื่อทำชุดคลุม แต่ มันคลุมเพียงด้านหลัง …
และจากนั้น เดือนมู่โฉวเฟินก็โยนกระบี่ของเขาลงไป และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อดึงผ้าคลุมนั้น แต่ คู่ต่อสู้ของเขานั้นคือ พยัคฆ์ทองขั้นเก้า อสูรพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุร้าย คำราม และสร้างฝุ่นขณะที่มันกระโดดใส่เขา จากนั้นมันหมุนตัว และกระโดดใส่เขาอีกครั้งอีกครั้ง แต่ ก็ดูเหมือนเป็นการซ้อมรบที่บ้าคลั่ง จากนั้น มันเงยหน้าขึ้นและคำราม …
มันโจมตีใส่อากาศ และโจมตีใส่พื้นเพื่อแสดงพลังของมัน แต่ มันไม่เคยปะทะกับ เดือนมู่โฉวเฟิน สักครั้งเดียว ดูเหมือน ผู้นำสกุลเตือนมู่จักมีปราณเชวียนวิเศษบางอย่างที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บได้ …
ให้ตายสิ !
ปากของ ซิกงอันยี่ อ้ากว้างยิ่งขึ้น จากนั้นเขาได้ยินเสียงแตกหัก ขากรรไกรของเขาเคล็ดจริงๆแล้ว ! เขาส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงออกมา
พยัคฆ์ทองเริ่มตกใจ และหยุดกระโจน จากนั้น มันเอียงคอหวาดระแวง และมองไปยังคู่ต่อสู้ของเขา
คนผู้นี้บอบบางนัก ข้ายังไม่โดนตัวเขาเลย แต่ เขาทำตัวเองบาดเจ็บเพราะอ้าปากกว้างไป ร่างกายของเขาบอบบางยิ่งนัก ! หรือ ข้าอาจมีเคล็ดลมปราณในตำนาน !
” เจ้ากำลังทำอะไร เฉาเฟิน ? พกเรากำลังอยู่ท้ามกลางสงคราม ! แล้วเจ้ายังมาใส่ผ้าคลุมอีกหรอ ! เจ้าต้องการกลายเป็นอาหารอย่างนั้นหรือ ? “
ดูเหมือนว่า ซิกงอันยี่ จักมีอารมณ์ขัน เนื่องจากภัยอันตรายดูเหมือนจักผ่านไปแล้ว ดงันั้น เขาจึงเอามือดันคางขณะกำลังพยายามพูด
จากนั้นเดือนมู่โฉวเฟิน เร่งรีบคลุมส่วนหลังของเขา และหยิบกระบี่ขึ้นมา เขาตอบด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
” นะ..น้อง…น้องซี่กง …ขะ..ข้า…ชื่อ…. เดือนมู่…ฉะ….ฉะ…ฉะ….โฉว… “