ตอนที่ 356 การต่อสู้ที่แปลกประหลาด

Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ

เมื่อพวกเขานำ คนอื่นๆจึงตอบรับ

 

จากนั้น ยี่สิบคนจาก นครพายุหิมะสีเงิน ก็ออกจากกระบวนทัพ และจากนั้น ยอดฝีมือจาก สกุลทรงอำนาจ ก็ตามพวกเขาไป  เมื่อนั้น กระบวนทัพของจวินวูอี้ก็เหลือเพียงกรอบสี่เหลี่ยมที่มีบุรุษสามร้อย และ พวกเขาเหล่านั้นก็เพียงผู้ที่อยู่ด้านหลัง

 

อาจบอกได้ว่า วาจาปลุกระดมของ มณฑลฉือฮั่น นั้นค่อนข้างจริง  พวกเขาจะมีชัยอย่างแน่นอนหากทหารแต่ละคนสามารถสังหารอสูรเวียนได้คนละสองตน  แต่ พวกเขามีความแข็งแกร่งพอที่จักสังหารกองทัพศัตรูได้มากมายเช่นนั้นเลยหรือ ?  พวกเขามียอดฝีมือเทพเชวียน หรือสวรรค์เชวียนมากเพียงใดกัน … ?

 

แต่ ยอมรับได้ว่าทหารกว่าสามพันที่วิ่งออกไปนั้นมีความเข้าใจในหมู่พวกเขาเอง คนของ มณฑลฉือฮั่น วิ่งออกไปก่อน  พวกเขาเลี้ยวซ้ายทันทีและพยายามโจมตีอสูรเชวียนจากด้านข้าง  และ คนจาก นครพายุหิมะสีเงินเลี้ยวขวาไปในเส้นทางเดียวกัน และพยายามจะโจมตีพวกมันจากด้านข้าง  ผู้ที่อยู่หลังจากพวกเขานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น  เช่นนั้น พวกเขาจึงเลี้ยวขวาไปเช่นกัน  บางคนที่อยู่ด้านหลังเลี้ยวขวาไปอย่างลังเล และพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก  แต่ ไม่นานพวกเขาก็ได้เห็นคลื่นของ อสูรเชวียนพุ่งมาที่พวกเขา และถึงกับสะดุ้งตกใจ  จากนั้นพวกเขากระโดดหลบไปอย่างรวดเร็ว   พวกเขาไม่สนใจว่าจะหลบไปซ้ายหรือขวา … การรักษาชีวิตตัวเองไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนั้น

 

ดังนั้น ทหารสามร้อยของ แม่ทัพสูงสุด จวินวูอี้ ก็ตกเป็นเป้าของอสูรเชวียนที่พุ่งเข้ามา

 

อสูรเชวียนสี่พันพุ่งตรงเข้ามาและคำรามขณะที่พวกมันวิ่ง !

 

” ไร้ยางอาย !  ไร้ยางอายที่สุด ! ”

ตงฟางเหวินชิงตะโกนมีโทสะ นายบ้าน สกุลเดือนมู่ เดือนมู่โฉวเฟิน กำลังยืนอยู่ข้างเขา  หนวดของเขาสั่นด้วยโทสะ และความสับสนขณะสถบตะกุกตะกัก

” นะ..นั่น …แม่…. เจ้า… ละ…..ลี….ลี่…จะ….จือ….จื้อ….”

 

อีกผู้นำสกุล  ซิกงอันยี่ ที่ยืนอยู่ข้างเขา  สีหน้าของเขานั้นเหมือผู้ที่ตกลงไปในน้ำ  เขาคำรามมีโทสะ

“แม่เจ้า !  ข้าจักสังหารทุกผู้ที่อยู่ตรงหน้าข้า !  และ เจ้ายุดพูดตะกุกตะกัก !  เจ้ายังไม่โดนอสูรเชวียนกินเข้าไป  เช่นนั้น หยุดเศร้าหมองได้แล้ว ! “

 

” เจ้าโง่  ขะ…ข้ายังดะ….ด่า….ไม่จบ …! ”

เดือนมู่โฉวเฟินมีโทสะอย่างมาก แต่ยังคงพยายามพูดให้ลื่นไหล  โดดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “เจ้าโง่ ! ” คำนั้นพูดออกมาอย่างชัดถ้อยคำ และไม่ติดขัดเลย  ดังนั้น เสียงของคำว่า เจ้าโง่นั้น ทรงพลัง กล้าหาญ และ ไม่ธรรมดา

 

” หยุดพูด ! ”

ซิกงอันยี่เหาะขึ้นไปด้วยโทสะและชักกระบี่ออกมาด้วยแววตาชั่วร้าย  พยัคฆ์ทองกำลังพุ่งใส่พวกเขา  เขี้ยวของ พยัคฆ์ สามารถฉีกได้ทุกสิ่งอย่าง  หางของมันเป็นเหมือนแท่งโลหะ และสามาถทำลายทุกสิ่งเมื่อมันกระทบกับเป้าหมาย  แต่กระนั้นการเคลื่อนไหวของ พยัคฆ์ เหล่านั้นแปลกประหลาด  รูปแบบการต่อสู้ของพวกมันราวกับมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ดุร้าย แต่มีความสละสลวย  เสียงลมหวีดหวิวขณะที่มันเคลื่อนไปข้างหน้า และเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความช่ำชองในศิลปะการต่อสู้เฉพาะตัว  การเคลื่อนไหวของบั้นท้ายที่เปลือยเปล่าบ่งบอกได้ถึงจังหวะ !

 

ผู้ใดจักเหลือโอกาสหากอสูรเชวียนเหล่านี้ใช้ วรยุทธ ?

 

ในเวลาต่อมาพวกเขาเกือบจะจมอยู่ในกระแสของอสูรเชวียน  ตอนนี้ ตงฟางเหวินชิง และคนอื่นๆกำลังเผชิญหน้ากับอสูรเชวียนระดับแปดหรือเก้า  จิตสัมผัสของเขาร้องเตือน  แต่ พวกเขาประหลาดใจที่ อสูรเชวียนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งทำท่าเหมือนกับ คำนับ  จากนั้นมันเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบพวกเขา  และจากนั้น พวกมันเพียง …

 

เดินจากไป !

 

ใบหน้าของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่บนยอดเขานั้นหม่นหมอง

 

” นี่คือการจัดกระบวนทัพของท่านหรือ ลีจื้อเทียน ?  เหล่ายอดฝีมือแตกออกไปคนละทิศละทาง  พวกเขาเข้าสู่การต่อสู้โดยไร้ความรับผิดชอบ และปล่อยให้แม่ทัพสูงสุดอยู่กลางแจ้ง … ! พวกเขาทำลายกระบวนทัพตัวเอง !  คนก็ตามที่ปล่อยให้ผม่ทัพสูงสุดของพวกเขาอยู่ในอันตรายจักต้องพบกับ โทษทัณฑ์ หากเป็นการศึกทั่วไป  คนทั้งสามพันนั้นต้องถูกสังหาร ! ”

 

ลีจื้อเทียนชี้นิ้วไปที่สนามรบ และถาม ลีจื้อเทียน ขณะหัวเราะและพยักหน้า

” ไม่แปลกใจที่เจ้าไม่อมรับข้อเสนอ  เจ้าไม่เคยตั้งใจที่จักชนะการต่อสู่นี้ !  ข้าเชื่อว่าในท่ามกลางคน สี่พันเหล่านั้นมีศัตรูของเจ้าอยู่ … ?  นั้นเป็นเลห์เหลี่ยมชั้นเลิศ ! “​

 

จากนั้น ปู้กวงเฟิง ตัดบทและเอ่ย

” แม่ทัพสูงสุดผู้นั้นเป็นดั่งยอดฝีมือชั้นเลิศ เมื่อเป็นเรื่องของการ พิชัยยุทธ  เริ่มแรกเขาจัดกระบวนทัพเป็นรูปใบมีด  กระบวนทัพใบมีดจักป้องกันการโจมตีในตอนต้น  ความจริง  การป้องกันนั้นจักดูดซับความรุนแรง  จากนั้นเขาจักสามารถรักษาสถานการณ์ได้ … แม้นว่าเขาจักไม่อาจเอาชนะเหล่าอสูรเชวียนได้  ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้วางกับดักไว้ข้างหน้ามากมายเพื่อลดการบาดเจ็บและล้มตายของฝ่ายเดียวกัน  จากนั้น พวกเขาจักสามารถที่จักสนับสนุนกับเพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อโจมตีต่อสู้กับเหล่าอสูรได้หากพวกเขารอดจากการโจมตีระรอกแรก  นั้นเป็นการเตรียมการที่งดงาม !  ช่างเป็นเลิศยิ่งนัก !  น่าเสียดายที่พวกคนชั้นต่ำเหล่านั้นทำลายมันลงไป …. !  อืมมม ! ”

 

เห็นได้ชัดว่าคำว่าคนชั้นต่ำนั้นหมายถึง ลีจื้อเทียน  ใบหน้าของ ยอดปรมาจารย์ลี่ เปลี่ยนสีม่วงในทันที เนื่องจากเขาอับอายและหงุดหงิด

 

เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง มิได้มีพื้นฐานทางทหาร  แต่ด้วยความรอบรู้นับร้อยปี และสายตาที่เกินกว่าสามัญ และประสบการณ์ได้มอบปัญญาให้พวกเขา  ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถมองเห็นกับดักนั้นได้

 

ชัดเจนว่า ลีจื้อเทียน โกธเคืองอย่างมากขณะที่ ปู้กวงเฟิงพักหน้า

” ยอดปรมาจารย์ลี่ กลายเป็นว่าท่านมิได้สนใจขาของลูกชายของท่านมากมายนัก  เหตุใดท่านจึงรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวังหาท่านเป็นห่วงถึงความเป็นอยู่ของลูกชายจริงๆ ?  ไม่อาจคาดถึง ! ”

 

สีหน้าของ ลีจื้อเทียน แดงก่ำด้วยความอับอาย  เขาไม่รู้จักตอบกลับไปอย่างไร  เขาจึงไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมา

 

ลีจื้อเทียนจักรู้ได้เช่นไรว่า โลกเซียนอมตะ จักส่งคนมาเฝ้าดูการต่อสู้นี้ ?  ด้วยสถานะในโลกมนุษย์ของเขา ผู้ใดเล่าจักกล้าเอ่ยวาจาต่อต้าน … ?  แม้นว่าพวกเขาจักไม่เห็นด้วยกับการจัดการของเขา …. ?  ชัดเจนว่าผู้ใดก็ตามที่พูดจาต่อต้านเขาจักถูดทำให้หายไปหลังจากนั้นไม่ช้า  และท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดอยากตายโดยการทำให้ ยอดปรมาจารย์อับดับสองขุ่นเคือง

 

แต่กระนั้น เล่ยเปายู่ และ ปู้กวงเฟิง ปรากฏตัว และ ลีจื้อเทียน มันทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล  ครั้งนี้เขาเสียหน้าต่อ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความจริงเขาไม่เพียงเสียหน้า … เขายังทำให้ลูกชายตกในที่นั่งลำบาก …

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าคนจาก โลกเซียนอมตะ นั้นมิได้เพียงมาเฝ้าดูเท่านั้น …

 

จวินโม่เซี่ย วิตกอย่างมากในตอนนั้น  เขาลืมนึกถึงสองคนนี้ไป เดือนมู่โฉวเฟิน และ ซิกงอันยี่ !  สถานการณ์ของลุงของเขานั้นน่ากลัว แต่มิได้อันตราย  ความจริง มันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่หากเขาถูก อสูรเชวียนจำนวนมากล้อมเอาไว้  แต่ ผู้นำสกุล เดือนมู่และ ซิกงนั้นเป็นผู้นิยมความรุนแรง

 

ซิกงอันยี่ ถูกอสูรเชวียนห้าหรือหกตัวล้อมเอาไว้ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว  เขาเริ่มมีอารมณ์และตื่นเต้น  และ เดือนมู่โฉวเฟิน กำลังถูกรุมล้อมและกำลังจะหมดแรง  ผู้นำ สกุลเดือนมู่ คำรามซ้ำๆขณะที่เขาฟันกระบี่ลงไป  แต่ บ่อยครั้งที่เขายกมือซ้ายขึ้นและวางไว้บนปกเสื้อ

 

จวินโม่เซี่ยเหาะลงมา และรู้ว่ามีรูขนาดใหญ่อยู่บนเสื้อส่วนหลังของ เดือนมู่โฉวเฟิน เขาไม่รู้เลยว่า อสูรเชวียนทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่แก้มก้นที่หยาบกร้านนั้นเผยออกมาให้เห็นได้  ความจริง มันมีรอยข่วนบางๆอยู่ …

 

จวินโม่เซี่ยหัวเราะด้วยความพึงพอใจอย่างมาด และรีบโรยแป้งไปบนตัวของสองนคนนั้นทันที  จากนั้น เขาก็รียล่าถอยออกไป

 

ซิกงอันยี่กำลังหม่นหมอง และร้องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จากนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าความกดดันลดลงอย่างผิดปกติ  อสูรเชวียนที่ข่มขู่เขา และพุ่งเข้าโจมตีเขาอยู่เมื่อครู่ตอนนี้มันกำลังมองเขาด้วยสายตาที่สับสน  อสูรเหล่านั้นทำจมูกฟุตฟิต กระดิกหางและจากไป

 

อสูรเชวียนนั้นแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม  สามอสูรเชวียนพุ่งสั่งให้พวกเขาโจมตีจากทุกทิศทาง แต่มีเพียงน้อยนิดที่อยู่กับจวินวูอี้   แต่ อสูรเชวียนเหล่านั้นอยู่ในขั้นเก้า และมีความแข็งแกร่งอย่างมาก  ความจริง พวกเขาสามารถกินคนไปได้หลายคนเพียงอ้าปากครั้งเดียว  แต่ ดูเหมือนพวกเขาไม่ประสงค์จักโจมตีใส่กลุ่มคนเล็กๆนี้

 

ซิกงอันยี่ รู้สึกว่าตัวเองสับสน  ตอนนี้มีเพียงอสูรเชวียนเพียงหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา  และมันเป็นผู้ที่ฉลาดมากยิ่ง  มันเผชิญหน้ากับเขา ขยิบตา และดึงหน้า ….

 

” ขยิบตา ?  เจ้าเป็นอะไร ?  ข้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้  เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำหน้าตาเช่นนั้น ?

ดวงตาของ ซิกงอันยี่เบิกกว้าง เขาไม่เข้าใจสิ่งใดในตอนที่ พยัคฆ์ทองตัวนั้น ยกกรงเล็บของมันขึ้นมาอย่างกระวนกระวายและชี้ไปรอบๆ  จากนั้นอสูรตัวนั้นคำรามและพุ่งใส่เขา  พลังอำนาจของมันนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก และดูเหมือนว่าชีวิตของ ซิกงอันยี่กำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ

 

ซิกงอันยี่ รวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมด และเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยความไม่มั่นใจ  แต่ เมื่อเขาปะทะกับคู่ต่อสู่ และได้รู้ว่า พลังและอำนาจของคู่ตอสู้นั้นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ไม่ใช่การโจมตีด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง  ฝ่ายตรงข้าม กระดิกหางและขยิบตาอีกครั้ง !

 

ในที่สุด ซิกงอันยี่ จึงเข้าใจ

โอ้ว !  มันตั้งใจจักแสร้งต่อสู้กับข้า !

เขาหันไปและรู้ว่าคนอื่นๆก็เข้าใจสิ่งนั้นแล้ว  สบายแต่ละคนของเขาตะโกนลั่นไปยังเหล่าอสูร  และ อสูรเหล่านั้นก็คำรามกลับมา  กระบี่ที่เคลื่อนไวรวดเร็วดั่งสายฟ้า แต่มันไร้ความแม่นยำและพลาดเป้า  กรงเล็บที่เคลื่อนไหวดังสายลม แต่มันไร้วี่แววที่จักปะทะกับเป้าหมาย ….

 

แต่ ผู้ที่ตกอยู่บนที่นั่งลำบากที่สุดคือ แม่ทัพสูงสุดจวินวูอี้  เขาเขาถูกปิดล้อมด้วยสองอสูรเชวียนขั้นเก้าที่บ้าคลั่ง  แต่เขานั่งอยู่บนรถเข็นของเขาอย่างปลอดภัย  แม้แต่เส้นผมของเขาก็ไม่ได้รับอันครายท่ามกลางความสับสนนี้  สอง อสูรหมีฉีกปฐพี ที่แต่ละตัวมีน้ำหนักกว่าหนึ่งตัน กระโดดใส่เขาจากด้านข้างขณะที่มันคำรามลั่น  อุ้งเท้าของมันกระทบพื้นและทำให้ฝุ่นกระจายไปทั่ว  แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับกลาง หรือยอดฝีมือเทพเชวียนก็ต้องประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในในขณะที่ต้องเผชิญกับการโจมตีนี้ และทำได้เพียงพยายามหลบหนี้ แต่ เขาเห็นได้ว่า แม่ทัพสูงสุดจวินชูกระบี่ขึ้นไปอย่างเคร่งขรึม และสอง อสูรเชวียนฉีกปฐพี หลบมันไป  การโจมตีด้วยกระบี่นั้นไม่ได้รับชัยอย่างแท้จริง มันเป็นเพียงการซ้อมกระบี่ที่หลักแหลม

 

หมีเหล่านั้นกระโจนใส่เขาเช่นเดิม และอีกฝ่ายก็ฟาดฟันกระบี่  และจากนั้น พวกมันก็ล่าถอยอีกครั้ง ….

 

เกิดอันใดขึ้น ?

 

ปากของ ซิกงอันยี่ อ้ากว้าง ดูราวกับขากรรไกรของเขากำลังจักเคล็ด  จากนั้น เขาหันไปและพบว่า เดือนมู่โฉวเฟิน ก็ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายแล้ว  แต่ เขาก็ยังคงอยู่ในจุดที่ยากลำบาก  เขาเร่งรีบฉีกเสื้อผ้าของคนที่ตายแล้วออก และพับไว้รอบเอวเพื่อทำชุดคลุม  แต่ มันคลุมเพียงด้านหลัง …

 

และจากนั้น เดือนมู่โฉวเฟินก็โยนกระบี่ของเขาลงไป และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อดึงผ้าคลุมนั้น  แต่ คู่ต่อสู้ของเขานั้นคือ พยัคฆ์ทองขั้นเก้า  อสูรพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุร้าย คำราม และสร้างฝุ่นขณะที่มันกระโดดใส่เขา จากนั้นมันหมุนตัว และกระโดดใส่เขาอีกครั้งอีกครั้ง  แต่ ก็ดูเหมือนเป็นการซ้อมรบที่บ้าคลั่ง  จากนั้น มันเงยหน้าขึ้นและคำราม …

 

มันโจมตีใส่อากาศ และโจมตีใส่พื้นเพื่อแสดงพลังของมัน  แต่ มันไม่เคยปะทะกับ เดือนมู่โฉวเฟิน สักครั้งเดียว  ดูเหมือน ผู้นำสกุลเตือนมู่จักมีปราณเชวียนวิเศษบางอย่างที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บได้ …

 

ให้ตายสิ !

ปากของ ซิกงอันยี่ อ้ากว้างยิ่งขึ้น  จากนั้นเขาได้ยินเสียงแตกหัก  ขากรรไกรของเขาเคล็ดจริงๆแล้ว !  เขาส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงออกมา

 

พยัคฆ์ทองเริ่มตกใจ และหยุดกระโจน  จากนั้น มันเอียงคอหวาดระแวง และมองไปยังคู่ต่อสู้ของเขา

คนผู้นี้บอบบางนัก  ข้ายังไม่โดนตัวเขาเลย  แต่ เขาทำตัวเองบาดเจ็บเพราะอ้าปากกว้างไป  ร่างกายของเขาบอบบางยิ่งนัก !  หรือ ข้าอาจมีเคล็ดลมปราณในตำนาน !

 

” เจ้ากำลังทำอะไร เฉาเฟิน ?  พกเรากำลังอยู่ท้ามกลางสงคราม !  แล้วเจ้ายังมาใส่ผ้าคลุมอีกหรอ !  เจ้าต้องการกลายเป็นอาหารอย่างนั้นหรือ ? “

ดูเหมือนว่า ซิกงอันยี่ จักมีอารมณ์ขัน เนื่องจากภัยอันตรายดูเหมือนจักผ่านไปแล้ว  ดงันั้น เขาจึงเอามือดันคางขณะกำลังพยายามพูด

 

จากนั้นเดือนมู่โฉวเฟิน เร่งรีบคลุมส่วนหลังของเขา และหยิบกระบี่ขึ้นมา  เขาตอบด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

” นะ..น้อง…น้องซี่กง …ขะ..ข้า…ชื่อ…. เดือนมู่…ฉะ….ฉะ…ฉะ….โฉว… “