บทที่ 704 เป็นห่วงมู่เหมียน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 702 เป็นห่วงมู่เหมียน

“เรื่องในวังยังไม่จบ ท่านอ๋องทรงไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉัน คงจะวุ่นวายอีกสักสองสามวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านอ๋องคงจะไม่มีเวลามากพอ ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจหม่อมฉัน หม่อมฉันสามารถจัดการกับอาการป่วยของตนเองได้ รอให้ต้าเหลียงสงบลงแล้ว หม่อมฉันจะไปหาท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิม”

“……” หนานกงเย่มองไปที่ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นและเริ่มที่จะดื้อรั้น

“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์ถึงไม่พูด?” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ นางยกมือขึ้นจับใบหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋น เขาไม่ได้พูดอะไร

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ::“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงทำอะไรเพคะ?”

หนานกงเย่กดนางลง ฉีเฟยอวิ๋นนอนลงและยิ้ม:“ท่านอ๋อง นี่มันกลางวันแสก ๆ นะเพคะ?”

“ข้าไม่อยากพูด มีบุตรสาวให้ข้าเถอะ”

สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูงุนงง:“พระองค์ทรงกำลังพูดเหลวไหลอะไรเพคะ ลูก ๆ ทั้งห้าคนยังไม่พออีกหรือเพคะ?”

“ไม่พอ”

ฉีเฟยอวิ๋นดิ้นรน แต่นางไม่มีกำลังและไม่สามารถขยับข้อมือได้เลย

หลังจากที่เสร็จภารกิจแล้ว หนานกงเย่ก็นอนอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย ฉีเฟยอวิ๋นต้องพันผ้าพันแผลใหม่อีกครั้ง บาดแผลยังไม่หายดี และฉีเฟยอวิ๋นก็จนปัญญา

หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพันแผลเรียบร้อยแล้ว นางก็หันไปมองหนานหงเย่ หนานกงเย่หรี่ตาลงและการหายใจของเขาก็ค่อย ๆ คงที่ ดูเหมือนว่าเขาจะหลับ แต่เขาเอามือลงข้าง ๆ แล้วตบเบา ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“ไม่ได้หลับหรือ?”

“อวิ๋นอวิ๋น”

น้ำเสียงของหนานกงเย่ราบเรียบ

“อืม”

“หากเจ้าไม่เป็นไร ข้ารับปากว่าจะไม่สังหารผู้คนใต้หล้า” เมื่อหนานกงเย่กล่าวเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ยิ้ม

“ท่านอ๋องจะไปฆ่าใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับหม่อมฉัน?”

“เดิมทีข้าคิดว่ารอให้ใต้หล้ามั่นคง รอให้ต้าเหลียงมั่นคง ข้าก็จะสามารถเป็นนกกระเรียนป่าได้ แต่การมาของอวิ๋นอวิ๋นได้เปลี่ยนแปลงข้า ข้าเคยคิดที่จะให้อวิ๋นอวิ๋นเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าและยืนอยู่เคียงข้างข้า

ข้าหวั่นไหวในเรื่องที่ไม่ควรหวั่นไหว และทันใดนั้นข้าก็ตระหนักได้ว่าข้าก็เห็นแก่ตัวเช่นกัน

ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าควรเป็นของอวิ๋นอวิ๋น”

“……ท่านอ๋องพูดเหลวไหลอะไรเพคะ ท่านอ๋องต้องการที่จะกวาดล้างใต้หล้า หรือเป็นเพราะว่าอ่านหนังสือด้านนั้นมากเกินไป จึงอยากที่จะแข็งแกร่ง?”

“ไม่ใช่ ข้าต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับอวิ๋นอวิ๋น ตอนที่ข้าเข้าไปในวัง ข้าไม่ชอบให้อวิ๋นอวิ๋นคุกเข่าให้คนเหล่านั้น

แต่ข้ารู้ว่านี่คือทางรอด ดังนั้นข้าจึงอดทน

ข้ายินยอมที่จะติดตามอวิ๋นอวิ๋นในที่ที่สะดวกสบาย แต่หากข้าไม่มีอวิ๋นอวิ๋น ข้าก็อยากจะทำลายสถานที่แห่งนี้”

หนานกงเย่ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเปียกชื้นและโกรธเคือง

ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก ๆ:“ท่านอ๋อง พระองค์จะทำอะไรเพคะ?การเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา”

“ในเมื่อสวรรค์ส่งอวิ๋นอวิ๋นมา ก็ไม่สามารถจะเอาคืนไปได้ เขาเห็นข้าเป็นอะไร เขาถึงได้มาล้อกับข้า?”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จะพูดอะไร

ซาบซึ้งใจงั้นหรือ?

ก็ใช่นะ แต่เป็นกังวลมากกว่า เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

“ท่านอ๋อง พระองค์อย่าพูดจาเหลวไหล”

“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ในเมื่อมาแล้วก็ไม่สามารถจากไปได้ มิเช่นนั้นข้าจะใช้เลือดล้างใต้หล้า และทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า”

“ทำไม?หากไม่มีหม่อมฉัน พระองค์ก็จะไม่ใช่พระองค์หรือเพคะ?”

หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“ไม่ใช่”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นนอนลง:“ชีวิตของคนเราถูกลิขิตให้ได้พบกัน หากหม่อมฉันกลับไปแล้วไม่กลับมา พระองค์ก็จะไม่มีชีวิตอยู่แล้วหรือเพคะ?”

“อืม”

คำตอบของชายผู้นั้นดังก้องกังวานและทรงพลัง

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ และหนานกงเย่ก็พลิกตัวมากดฉีเฟยอวิ๋นไว้ แววตาของเขาลึกซึ้ง:“ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับข้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์ หากสวรรค์ต้องการที่จะเป็นปฏิปักษ์กับข้า ข้าก็จะใช้เลือดล้างใต้หล้า และทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ข้ารู้……”

“เปรี้ยง!”

ฟ้าร้องอยู่ที่ด้านนอก และทันใดนั้นก็ผ่าลงมา

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และรีบมองออกไปนอกประตู

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ ในเวลานี้มีฟ้าร้องได้อย่างไร

ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันได้ถาม หนานกงเย่ก็ลุกขึ้นจากบนตัวนางในทันที เขาสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป ประตูถูกผลักให้เปิดออก และลมหนาวก็พัดเข้ามาในห้อง

หลังจากออกไปแล้ว หนานกงเย่ก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าแจ่มใส

คนอื่น ๆ ก็เดินออกมาจากในบ้านเช่นกัน พวกเขาต่างมองดูสภาพอากาศภายนอกที่หน้าประตูห้องของตนเองและรู้สึกประหลาดใจ

ท้องฟ้าแจ่มใสทำไมถึงมีฟ้าร้อง ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปได้ยากที่จะมีฟ้าร้องในฤดูกาลนี้

หนานกงเย่สวมเสื้อคลุมสีแดงและเดินเท้าเปล่า

เมื่ออาอวี่เห็นหนานกงเย่ก็ตกใจ

เถาหงและลี่ว์หลิ่วก็ตกใจเช่นกัน เหตุใดท่านอ๋องถึงออกมาเช่นนี้

เฟิงอู๋ชิงออกมาจากเรือนจวินจื่อ เขาเห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ในลานบ้านและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

“ข้าไม่เคยเชื่อเจ้าเลย ข้าเชื่อเพียงแค่ตนเองเท่านั้น แต่วันนี้ข้าจะเชื่อท่านสักครั้ง หากท่านให้อวิ๋นอวิ๋นได้อยู่ต่อ ข้าก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย และปล่อยอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้าไป แต่หากท่านปล่อยให้อวิ๋นอวิ๋นจากไป ข้าสาบานว่าจะสังหารผู้คนใต้หล้าทั้งหมดภายในสามปี!”

อาอวี่และคนอื่น ๆ ตกตะลึง และยังคิดว่าหนานกงเย่บ้าไปแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป เดิมทีนางไม่ต้องการจะทำอะไร เพียงแค่ต้องการจะเรียกหนานกงเย่กลับมา แม้ว่าฟ้าร้องจะหายากในเวลานี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

แต่เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกไป ฟ้าก็ผ่าลงมาจนเสียงดังสนั่น

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจและเงยหน้าขึ้นมอง และฟ้าก็ผ่าลงมาตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนกรีดร้อง นางจับศีรษะไว้และตัวสั่น

หนานกงเย่หันกลับไปในทันที มีหลุมลึกอยู่ข้างหน้าเขา

ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือ ฝนตกลงมาจากท้องฟ้า

และทั้งสองคนลงก็เปียกโชก

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่ และหนานกงเย่ก็หันไปมองท้องฟ้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ:“หากมีความสามารถ ท่านก็ผ่าข้ามาเลย”

เปรี้ยง!

ท้องฟ้าเริ่มร้อง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หลุมลึกที่อยู่ข้างหน้า มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ

นางไม่เคยได้ยินว่าฟ้าสามารถผ่าผู้คนได้จริง ๆ แต่เวันนี้ถือว่านางได้เห็นแล้ว

หนานกงเย่เปียกโชกไป และเฟิงอู๋ชิงก็เดินออกมา เขาชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋นและชำเลืองมองหนานกงเย่:“เจ้ายังจะให้ฟ้าร้องอยู่อีกหรือไม่?”

ฟังดูน่าขบขัน แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะ

ฉีเฟยอวิ๋นข้ามหลุมลึกและเดินไปข้าง ๆ หนานกงเย่ จากนั้นก็ดึงแขนของเขา:“ไป”

ฉีเฟยอวิ๋นพาหนานกงเย่กลับเข้าไปให้ห้อง ปิดประตูแล้วไปอาบน้ำ

เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกฟ้าผ่าดึงดูดความสนใจจากเรือนจวินจื่อ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้นอนทั้งคืน และมานอนในตอนเช้า ตอนที่นางกำลังหลับ นางเริ่มรู้สึกปวดข้อมือ และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามันเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปลี่ยนยาใหม่อีกครั้ง นางถอนหายใจ สามารถช่วยผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ นางช่างไร้ประโยชน์เสียจริง

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปดูเด็ก ๆ และหนานกงเย่ก็ลืมตาขึ้น

เขาลุกขึ้นและเปลี่ยนใส่ชุดคลุมสีดำแดง จากนั้นก็ออกไปจากในห้อง

“อาอวี่”

“ท่านอ๋อง”

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น อาอวี่ก็หวาดกลัวหนานกงเย่ ใช้เลือดล้างใต้หล้า มันน่ากลัวมากเกินไป

“ทางด้านปีกใต้เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ยังสืบอยู่พ่ะย่ะค่ะ และไม่ได้เร็วเช่นนั้น” อาอวี่รู้สึกสับสน และฟังดูเหมือนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระชายา

“อืม ส่งคนไปที่แคว้นเฟิ่งและเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็ตรวจสอบว่าสตรีชุดแดงที่อยู่ข้างการหนานกงเซวียนเหอ เป็นคนของอคว้นเฟิ่งหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่สั่งการหลายอย่าง และอาอวี่รู้สึกเหมือนว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

อาอวี่หันหลังจากไป และหนานกงเย่ก็เดินออกไปด้านนอก

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินว่าเฉินอวิ๋นชูไปที่วัดฉือหนิง

ในตอนบ่ายอวิ๋นหลัวฉวนก็มาพร้อมกับอ๋องตวน

“ข้าไปดูมาแล้ว นางโกนผม และมีฉายาทางธรรมว่าฮุ่ยหนิง!”

อวิ๋นหลัวฉวนจับมือของเสี่ยวเฉียวกับฉีเฟยอวิ๋นและพูด

“เสนาบดีเฉินล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

“เสนาบดีเฉินก็ไปเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ร้องไห้หรือเศร้าโศก แต่เขากลับดูปล่อยวาง” อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้อย่างเสนาบดีเฉิน

“นางก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหนักใจ การสูญเสียของเล่นที่รักไป จักรพรรดิอวี้ตี้จะปฏิบัติต่อมู่เหมียนอย่างไร?