องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 703 เรื่องราวเนินสิบลี้ที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้
อวิ๋นหลังฉวนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่าจะพาเสี่ยวเฉียวกับอามู่ไปอยู่ด้วยทำให้ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “ท่านกลับไปที่จวนอ๋องตวนแล้วหรือ?”
อ๋องตวนยังอยู่เสียงของฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ดังนัก
อวิ๋นหลัวฉวนก็ไม่ได้ห้าม: “ข้าไม่คิดที่จะกลับไป เมื่อวานอาศัยอยู่ในวังเสด็จแม่ก็ทรงเห็นด้วยที่ข้าควรจะกลับไปอาศัยอยู่ที่จวนกั๋วกงช่วงหนึ่ง ส่วนอ๋องตวนนั้นเขาไม่ยอมอาศัยอยู่ด้วยกับข้าแล้วจะดื้อดึงไม่หยุดก็ไม่ได้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลต่อทารกในครรภ์”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปยังอ๋องตวนแล้วรู้สึกจนปัญญาแทนอ๋องตวน คราซวย!
อ๋องตวนนั้นกลับเป็นปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นยังไงยังงั้น
“มู่เหมียนหล่ะ? เห็นหรือไม่?” ผู้ที่ฉีเฟยอวิ๋นเป็นห่วงที่สุดก็ยังเป็นมู่เหมียน
อวิ๋นหลัวฉวนถอนหายใจ: “ได้ยินมาว่านางไม่ยอมเป็นฮองเฮาและโยนพระราชโองการแต่งตั้งฮองเฮาทิ้งไปจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เดิมทีข้าอยากจะไปดูแต่เสด็จแม่ทรงขวางเอาไว้และส่งออกจากวังมาเลยโดยตรง”
“มู่เหมียนนิสัยดื้อรั้น เรื่องเช่นนี้นางไม่ยอมที่จะยอมรับซึ่งนางเองก็ด้านชาเสียแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วออกไปด้านนอก
อวิ๋นหลัวฉวนเดินตามออกไปและทั้งสองคนก็เดินไปโดยรอบลานของเรือนจวินจื่อ
อวิ๋นหลัวฉวนถามว่า: “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองสองสามครั้ง ขณะนี้ไม่มีผู้ใดอยู่โดยรอบจึงก้มศีรษะลงพูดคุยกับอวิ๋นหลัวฉวนขึ้นมา
อวิ๋นหลัวฉวนถามว่า: “เช่นนั้นก็ต้องถามมู่เหมียนแล้ว”
“ข้าไม่สามาถไปพบมู่เหมียนอย่างเปิดเผยได้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถกระทำเรื่องนี้ได้ จะต้องหาผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เต็มใจที่จะจัดการเรื่องให้ข้า” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าคนผู้นี้หายากในเวลานี้ หวังฮวายอันเป็นผู้หนึ่งแต่หวังฮวายอันไม่เหมาะ
“หวาชิงหล่ะ?” อวิ๋นหลัวฉวนกระตือรือร้นนัก ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแล้วส่ายศีรษะไปมาและปล่อยทิ้งไปเลย นางเคยเจอเหตุการณ์แล้วครั้งหนึ่งจึงรู้สึกกลัวและไม่กล้าไปยั่วหวาชิงแล้วด้วย
“มีเรื่องอันใดหาข้าหรือ?” หวาชิงเข้ามาจากด้านนอกประตูแล้วเดินไปหาพวกเขาเลยโดยตรง เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามอวิ๋นหลัวฉวน
อวิ๋นหลัวฉวนรู้จักหวาชิงดี นางจึงไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยแล้วลาจากไปก่อน
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำข้าจะกลับก่อนแล้ว อามู่กับเสี่ยวเฉียวค่อยไปวันอื่นนะ แม่ทัพน้อยข้าไปก่อนแล้ว” อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกว่าสถานที่ที่พูดจานินทากันไม่ควรอยู่นานจึงได้รีบจากไป
อวิ๋นหลังฉวนจากไปผู้ที่ทำสิ่งใดไม่ถูกก็คือฉีเฟยอวิ๋นซึ่งนางก็ต้องการจากไปเช่นกัน
“ท่านจะไปที่ใด?” ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะหันกลับมาก็ถูกหวาชิงขวางเอาไว้ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงหยุด
“วันนี้ข้าไม่ค่อยสบายจะกลับไปพักผ่อนเสียก่อน แม่ทัพน้อยตามสบาย” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายว่ากำลังจะไปจากนั้นหวาชิงก็เดินไปดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นโดยตรงแล้วเปิดบาดแผลออกดู
รอยแผลเป็นรอยกัดแต่ว่าเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว ยาผงทาภายนอกก็ไร้ประโยชน์และดูแล้วก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
“ท่านเป็นหมอรักษาตนเองไม่ได้หรือ?” หน้าตาของหวาชิงเย็นชาและไม่พอใจยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหวาชิงไม่ได้เจตนาร้ายเพียงแค่เห็นนางได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกปวดใจจึงไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่ดึงข้อมือกลับแล้วพันเอาไว้จากนั้นก็ไปยังสวนดอกกล้วยไม้โน่น
หวาชิงตามฉีเฟยอวิ๋นอย่างคุ้นเคยและเดินไปยังสวนดอกกล้วยไม้โน่น
เข้าประตูแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งลงและหวาชิงก็นั่งลงด้วย
“หมอเทวดาอยู่ในเรือนของท่านท่านเรียกหมอเทวดามา” หวาชิงหน้าตาซื่อๆ
“อาการป่วยของข้าต้องค่อยๆ ไม่มีผู้ใดเป็นเทพเซียนโดยที่บาดแผลแผลหนึ่งไม่กี่วันก็หายแล้ว แม่ทัพน้อยไม่ต้องกังวลอีกไม่นานก็จะหายดี”
“หากว่าสามารถหายได้ก็จะไม่หมองคล้ำ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่หมอแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ หายหรือไม่ก็ยังคงดูออก” หวาชิงใจร้อนเล็กน้อย
“จะค่อยๆหายดีไม่ต้องเป็นห่วง” ฉีเฟยอวิ๋นให้คนนำชามาให้และไม่มีสิ่งใดที่จะคุยกับหวาชิงจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หวาชิงลุกขึ้นก็เดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น: “ข้าดูหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาทำสิ่งใดไม่ถูก: “แม่ทัพน้อย ข้า……”
“ท่านเรียกชิงเอ๋อร์เถอะ ท่านพ่อของข้าเรียกข้าเช่นนี้” หวาชิงยื่นมือไปจับมือของฉีเฟยอวิ๋น เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นต้องการหลบแต่หวาชิงเกิดมาในตระกูลแม่ทัพ นางต้องการหลบก็ใช่ว่านางจะสามารถหลบได้
มือของฉีเฟยอวิ๋นถูกจับเอาไว้ หวาชิงกุมมือของนางด้วยใบหน้าวิตกกังวล: “หนานกงเย่ก็ไร้ประโยชน์เรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่ได้ ท่านลุกขึ้นมาข้าจะพาท่านไปให้คนดู หมอนั้นรักษาตนเองไม่ได้ท่านควรจะรู้”
หวาชิงดูบาดแผลแล้วก็พาฉีเฟยอวิ๋นไป ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการไปหวาชิงก็ไม่พอใจขึ้นทันที: “หรือว่าท่านคิดที่จะให้ข้าอุ้มท่าน?”
“อา?” ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจอันเย็นพร้อมใบหน้าเขียวปรี๊ดขึ้นเสียแล้ว
“เช่นนั้นข้าจะอุ้มท่าน” หวาชิงก้มตัวลงจะอุ้มฉีเฟยอวิ๋นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจไม่น้อยจนรีบถอยหลังไปสองก้าว
เช่นไรยุคก่อนนางก็เป็นแพทย์ทหารมาก่อนถูกกระทำเช่นนี้ช่างน่าอายยิ่งนัก
แต่เป็นความจริงที่ฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้สึกหวาดกลัวต่อหวาชิงจริงๆ
“แม่ทัพน้อยข้าเดินเอง ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บนี้ต้องดูจริงๆ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หวาชิงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นและเห็นว่านางหวาดกลัวเช่นนี้จึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และกล่าวว่า: “ในเมื่อท่านพูดเช่นนั้นก็ดี งั้นท่านเรียกข้าว่าชิงเอ๋อร์ ข้าจะเรียกท่านว่า…… ”
หวาชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “เรียกท่านว่าอะไรนะ?”
“อ้อ? แม่ทัพน้อยเป็นวีรบุรุษไร้ซึ่งศัตรูและทำเพื่อบ้านเมือง ข้าจะเรียกแม่ทัพน้อยว่าชิงเอ๋อร์ได้เช่นไร ไม่งั้นเรียกว่าท่านแม่ทัพ”
“ไม่ดี หากท่านไม่เรียกข้าว่าชิงเอ๋อร์เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะอุ้มท่าน ข้ามีเรี่ยวแรงที่ใช้ไม่หมด” หวาชิงกล่าวแล้วก็เดินไปยังตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นโดยที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกบีบให้ถอยหลังไป
“ก็ได้ งั้นก็เรียกว่าชิงเอ๋อร์ เช่นนี้เป็นอย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นวีรบุรุษผู้พ่ายจากนั้นยกมือขึ้นเช็ดหน้าผาก
หวาชิงยิ้ม: “อืม งั้นข้าเรียกว่าเสี่ยวอันดีกว่า”
“หือ? เรียกว่าอวิ๋นอวิ๋นเถอะ” ได้ยินเสี่ยวอันฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หวาชิงนั้นรีบร้อนจะไป จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับแล้วเดินไป ฉีเฟยอวิ๋นถูกจูงออกจากห้องนอนและคนอื่นๆในเรือนกำลังจะตามไป หวาชิงแววตาหมองหม่นกวาดตามองไปราวกับมีดตกลงบนตัวผู้คนเหล่านั้นแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า: “พวกเจ้าอยากตายก็ตามมา”
หงเถากับลี่ว์หลิ่วไม่กล้าตามไปรีบถอยออกแต่อาอวี่นั้นไม่สนใจและตามไปทันที
“ทางที่ดีท่านควรปล่อยพระชายาเย่ ที่นี่เป็นจวนอ๋องเย่” อาอวี่ขวางหวาชิงไว้ หวาชิงคลายมือของฉีเฟยอวิ๋นแล้วผลักออกจากนั้นก็เดินไปหาอาอวี่
“วันนี้ข้าจะหักขาทั้งสองข้างของเจ้าให้เจ้าได้ขวางไว้” หวาชิงเตรียมลงมือแต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นขวางเอาไว้
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ทำพลการ อาอวี่……”
หวาชิงหันกลับมา ดวงตาดังหงส์ปะปนไปด้วยความรู้สึกเขินอายแต่นางก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็นชัดเจน เพียงแค่พยักหน้า: “เห็นแก่เสี่ยวอันเรื่องวันนี้นั้นช่างเถอะ เจ้าหลีกไป”
อาอวี่โมโหจึงพุ่งเข้า สุดท้ายแล้วหวาชิงเขวี้ยงออกไปในสองสามจังหวะ
อาอวี่ล้มลงบนพื้นม้วนไปมาด้วยความเจ็บปวด หวาชิงปัดๆมือ: “เจ้านี่แค่ครู่เดียวเช่นนี้ยังอยู่คุ้มครองข้างกายเสี่ยวอันช่างน่าขำสิ้นดี หากข้าเป็นเจ้าจะชนกำแพงตายจะได้ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ให้อับอายผู้คน”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ ส่งสัญญาณทางสายตาให้ลี่ว์หลิ่วและหงเถาไปดูอาอวี่
หวาชิงหันกลับมา: “ไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าเฉยเมย: “ไปกันเถอะ”
ย่างก้าวไปฉีเฟยอวิ๋นเดินไปตรงหน้าประตูก่อนเพื่อไม่ให้หวาชิงนั้นลากจูงทำให้นางตกใจแทบตาย
หวาชิงตามหลังออกไป ทั้งสองคนออกจากประตูฉีเฟยอวิ๋นนั้นหวังว่าจะได้เห็นหนานกงเย่กลับมา สุดท้ายไม่เห็นจึงทำได้เพียงตามหวาชิงไปหาท่านหมอ
หวาชิงพาฉีเฟยอวิ๋นวกไปวนมาออกนอกเมืองหลวงไป ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาเป็นกังวล: “นี่พวกเราจะไปที่ใดกัน?”
“ออกนอกเมืองหลวง ตอนข้ายังเด็กได้รับบาดเจ็บจากสุนัขกัด บาดแผลเป็นหนองเน่าเปื่อยจนน่าตกใจ ท่านพ่อของข้าส่งข้าไปเมืองหลวงแล้วท่านป้าก็พาข้าไปยังเนินเขาสิบลี้นอกเมืองหลวง ที่เนินเขาสิบลี้มีครอบครัวหนึ่งตระกูลของพวกเขาเป็นหมอมาหลายชั่วอายุคนคิดว่าสามารถช่วยท่านได้ ตอนนั้นแขนของข้ากำลังจะเน่าเปื่อยหมอตั้งเท่าไหร่ดูแล้วก็บอกว่าไม่ได้การแล้ว ไม่ก็ตัดแขนทิ้งรักษาชีวิตของข้าเอาไว้หรือไม่ก็เน่าเปื่อยอยู่เช่นนี้รอจนเสียชีวิต”
“ท่านหายดีแล้วหรือ?”
“ท่านไม่เห็นหรอกหรือ?” หวาชิงมองตาขาวใส่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยความขุ่นเคือง ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่สะดวกที่จะกล่าวสิ่งใด ในเมื่อมีโอกาสที่จะหายก็ต้องลองดู
แต่ว่านางกลับแปลกใจมากกว่าเรื่องที่เนินเขาสิบลี้นี้มีหมออยู่
เนินเขาสิบลี้นางก็เคยมา เหตุใดนางถึงไม่รู้?