ตอนที่ 282 หลงจนโงหัวไม่ขึ้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางคิดจะใช้มือเปล่าถอนออกมา!

 

 

พอเห็นภาพตรงหน้า ผู้คนก็พากันสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว

 

 

พวกเขาต่างก็รู้ว่า หากว่าโดนปลายหนามเกี่ยวเข้า ต่อให้เป็นเพียงการสะกิดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะโดนพิษของมัน บาดแผลจะเกิดต้นหนามงอกออกมา

 

 

สตรีผู้นั้นไยจึงโง่เง่า จนถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา

 

 

หรือนางคิดว่า แค่บ่งเอายอดหนามออกมาจากบาดแผลบนมือของหยวนเฟยก็จบแล้วหรือ?

 

 

คิดเช่นนั้นมันไร้เดียงสาไปแล้ว!

 

 

ฝ่าบาทมิได้ขัดขวาง แต่สายพระเนตรของพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบก็ไม่ได้คลาดไปจากตัวนาง

 

 

แม้ว่าพี่ชายทั้งสองคนจะเชื่อมั่นในความสามารถของผู้เป็นน้องสาว แต่ตอนนี้ก็มีเหงื่อเย็นๆ ออกมาเหมือนกัน

 

 

นับตั้งแต่ที่น้องเล็กฟื้นขึ้นมาจากการฆ่าตัวตาย ก็มักจะทำอะไรเกินความคาดหมาย พวกเขาล้วนไม่เข้าใจ

 

 

อู๋เจินนับว่าเป็นคนที่สงบนิ่งที่สุดแล้ว เขาละอยากจะไปหาเก้าอี้มานั่งดูงิ้วฉากนี้ด้วยซ้ำไป

 

 

อย่างไทเฮาน้อยนะรึ? ……นั่นน่ะเป็นท่านเซียนใหญ่เลยนะ

 

 

ขนาดท่านเจ้าอารามอู๋เทียนของพวกเขา ก็อาจจะเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำไป จะไปกังวลทำไมกัน?

 

 

ส่วนพวกนักพรตที่มาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานเหล่านั้น……เฮอะ ไม่อยู่ในสายตาเลยเสียด้วยซ้ำ

 

 

อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันจับยอดหนามเอาไว้โยกไปโยกมา ก็โคลงศีรษะ “เจ้าสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะหยั่งรากลึก ถอนยากพอควร”

 

 

หยวนเฟย “……” ไทเฮาเพคะ เวลาแบบนี้อย่าพึ่งล้อเล่นกับนางจะได้ไหม?

 

 

“หยวนเฟยเพคะ ทรงอดทนสักหน่อยนะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้าจริงจัง จับปลายหนามเอาไว้แน่นแล้วก็ออกแรงกระชาก

 

 

เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้ามันบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ไม้หนามนั่นงอกออกมาจากเลือดและกระดูก เจ้ายังคิดว่าจะถอนมันออกมาได้หรือ?”

 

 

“ข้าถึงบอกแล้วไง ว่าเจ้าน่ะอยากให้หยวนเฟยตายเร็วๆ ใช่หรือไม่?”

 

 

เหยียนเฉียวหลัวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสตรีที่โง่เง่าขนาดนี้ ไปเข้าตาจีเฉวียนได้อย่างไร?

 

 

หรือว่าเขาชอบคนโง่ๆ เช่นนี้หรือ?

 

 

หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวยิ่งไม่สงบกว่าเดิม

 

 

ผู้อื่นต่างก็พากันมองมาที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่โง่งมไปหมดแล้ว เดิมทียังคิดว่านางคงจะมีดีอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกที่ดีแต่ชิงดีชิงเด่นเท่านั้น

 

 

คนที่น่าสงสารที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบก็คือหยวนเฟย

 

 

นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งหนานเจียง พระสนมแห่งต้าโจว แต่ภายใต้การอนุญาตของฮ่องเต้ นางถึงกับถูกนางกำนัลผู้หนึ่งรังแก ไม่รู้ว่าหนานเจียงอ๋องที่ยอมเสียสละตนเองจนตายไปอยู่ในปรโลกพอรู้เข้า เขาจะรู้สึกเช่นไร

 

 

“เจ้าปล่อยหยวนเฟยไปเถอะ ต่อให้ไม่มีนาง ก็ยังมีพระสนมคนอื่นๆ อีก เจ้าไม่มีทางฆ่าได้หมดทุกคนหรอก”

 

 

มีเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวออกมาจากกลางฝูงชน

 

 

โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้รับความทรมานจากไม้หนามไปก่อนหน้านี้ พอเห็นการกระทำของตู๋กูซิงหลันต่างก็พากันรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งร่าง

 

 

“จริงด้วย ตอนนี้นางยังเป็นเพียงแค่นางกำนัล ก็ยังร้ายกาจถึงขนาดนี้ หรือจะต้องให้ฮ่องเต้มีแต่นางเพียงผู้เดียวไปทั้งชีวิตหรืออย่างไร?”

 

 

จีเฉวียนลองคิดๆ ดู ก็ถูกแล้วนี่สตรีที่เขาจะอยู่ร่วมด้วยในชาตินี้ก็มีแต่ตู๋กูซิงหลันเพียงผู้เดียว

 

 

ขณะที่เสียงจากฝูงชนยังไม่ทันจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็ร้องออกมาคำหนึ่ง “อ้ายย่าห์ ในที่สุดก็เอาออกมาได้แล้ว”

 

 

เหยียนเฉียวหลัว “?”

 

 

แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้คนทั้งหมดหันกลับไปมอง

 

 

ต่างก็เห็นว่าบนใจกลางฝ่ามือของนางมีรากหนามสองสามนิ้ววางอยู่ พอรากหนามนั้นอยู่อย่างว่างเปล่าในอากาศก็บิดตัวด้วยความเจ็บปวด

 

 

ส่วนหลังพระหัตถ์ของหยวนเฟยนั้น กลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว ปากแผลที่ถูกดึงเอาหนามออกมา ก็สมานตัวเข้าหากันด้วยความรวดเร็วในทันที

 

 

เป็นไปได้อย่างไร? สตรีผู้นี้ถึงกับสามารถถอนรากไม้หนามออกมาได้จริงๆ หรือนี่?

 

 

นางทำได้อย่างไรกัน?

 

 

หยวนเฟยรู้สึกว่าเมื่อครู่ตอนที่ใจลอยไปเล็กน้อย อยู่ๆ ไม้หนามนั่นก็ถูกตู๋กูซิงหลันถอนออกไปในทันที นางรู้สึกแค่ว่ามีบางสิ่งในร่างกายถูกดึงออกไป หลังจากนั่น ร่างกายที่หนักอึ้งก็เบาสบายขึ้นมา

 

 

พอมองดูหลังมือของตนเอง ก็กลับเป็นเรียบลื่นเหมือนดังเดิม

 

 

ว่ากันตามจริง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตัวนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก

 

 

คล้ายกับว่าในพระหัตถ์ของไทเฮาน้อยจะมียันต์อยู่ใบหนึ่ง ยันต์ใบนั้นถูกนางซุกเอาไว้ในมือ จึงไม่มีใครมองเห็น

 

 

หลังจากนั้น….ไม้หนามที่งอกออกมาจากเลือดเนื้อและกระดูกก็ถูกนางถอนออกมา

 

 

พอถอนหนามให้ทางนี้เสร็จแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เอารากไม้หนามแท่งนั้นวิ่งไปหาจีเฉวียน กล่าวกับเขาว่า “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบว่า บรรพบุรุษของข้านั้นชอบปลูกต้นไม้ เรื่องการปลูกๆ ถอนๆ อะไรเนี่ย บ่าวชำนาญที่สุดแล้ว ต้นไม้หนามนี้ก็งามดีไม่เลว ไยเราจึงไม่เอามันกลับไปปลูกไว้ในวังละเพคะ?”

 

 

จีเฉวียนมองดูนาง อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า บรรพบุรุษของนางยังชำนาญการตบหน้ารักษาพิษอีกด้วย

 

 

พระองค์ทรงรู้สึกว่า เมื่อครู่นางสมควรจะถอดรองเท้ามาตบๆ หน้าหยวนเฟยสักชุดหนึ่ง ไม่แน่ว่ายอดหนามนั่นก็อาจจะหลุดออกมาเองก็เป็นได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นนางจึงมองดูเขาอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกล่าววาจาร้ายกาจออกมา

 

 

“ท่าจะให้ดีที่สุดก็ปลูกเอาไว้ในพระตำหนักตี้หัวกงของพระองค์ หากว่ามีศัตรูที่เซ่อซ่าบุกเข้ามา เฮอะ ฝ่าบาทก็ทรงใช้สิ่งนี้ทิ่มตำเขา! ทิ่มๆๆ เอาให้ตายไปเลย!

 

 

ฝูงชน “!!!” สวรรค์ทรงโปรด ทำไมในโลกนี้ถึงได้มีสตรีที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้!

 

 

แค่ได้ฟังที่นางพูดออกมา หัวใจของพวกเขาก็เกิดอาการชาแล้ว

 

 

จีเฉวียนทรงพระสรวลเบาๆ “ดี”

 

 

ผู้คนทั้งหมดต่างก็กล่าวอะไรไม่ออกแล้ว ….ดีกับพ่อเจ้าน่ะสิ! ความคิดที่โหดร้ายเช่นนี้ เขาคิดว่ามันดีที่ตรงไหนกัน?

 

 

“ฮ่องเต้ที่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเช่นฝ่าบาทนี้ ต่อให้จุดโคมตามหาก็ยังไม่เจอเลยเพคะ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะอย่างเบิกบาน

 

 

รากหนามในมือของนางยังคงดิ้นรน พอมันดิ้นอีกครั้ง ข้างกายก็เกิดไฟสีน้ำเงินบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง

 

 

ทำเอามันตกใจจนไม่กล้าขยับตัวอีกแล้ว

 

 

ต้นไม้หนามเหล่านี้เกิดมาจากเลือดเนื้อ มันย่อมหวาดกลัวความเจ็บปวด

 

 

โดนยันต์ของตู๋กูซิงหลันเข้าไปแผ่นหนึ่ง ก็ได้แต่ต้องยินยอมอย่างศิโรราบ ไหนเลยยังจะกล้ากำแหงอีก?

 

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีหยกสรรพชีวิตอีกแล้ว แต่ว่านางก็มิได้อ่อนแอ

 

 

พวกปีศาจที่เคยได้พบมาในโลกก่อน ยังคงร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้มากนัก

 

 

“เป็นความคิดที่ดี เราย่อมต้องรับฟัง” สายตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันมีแต่ความโปรดปราน

 

 

พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปรับรากหนามนั้นมาถือเอาไว้ โดนมิได้หวาดกลัวว่ามันจะตำพระหัตถ์

 

 

ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จดจ้องมาพระองค์ก็ส่งต่อให้กับหลงเซียว ให้เขาเก็บรักษาเอาไว้ “เอากลับวัง ไปปลูกให้ดีๆ”

 

 

หลงเซียวอยู่ๆ ก็ได้รับหน้าที่เช่นนี้มา ในใจพลันเกิดความหวั่นวิตก

 

 

ต่อไปเขาคงจะต้องคอยเตือนเหล่าองครักษ์ลับ เวลาไปที่พระตำหนักตี้หัวต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ เสียแล้ว มิเช่นนั้นหากไม่ระมัดระวังคงต้องบาดเจ็บกันเป็นแน่

 

 

กับไทเฮาน้อย……ฝ่าบาททรงถึงขั้นเชื่อฟังทุกคำพูดไปแล้ว

 

 

ที่ผ่านมาสีหน้าของหลงเซียวล้วนไม่เคยบ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไปยังตู๋กูซิงหลันกลับมีความเร่าร้อนขุมหนึ่งผุดขึ้นมา

 

 

เมื่อจีเฉวียนกวาดตามองมา หลงเซียวก็เก็บสายตากลับไป ส่งเสียงขานรับคำหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา”

 

 

รับคำเสร็จแล้ว ก็ถอยห่างจากตู๋กูซิงหลันอย่าไร้ซุ่มเสียง

 

 

เขาติดตามฝ่าบาทมานานหลายปี ทุกสายพระเนตรของพระองค์ เขาย่อมเข้าใจความหมายอย่างชัดเจน

 

 

หากยังไม่ถอยไป เกรงว่าเขาคงจะต้องกลายเป็นต้นไม้หนามต้นแรกของพระตำหนักตี้หัวกงอย่างแน่นอน

 

 

ตอนนี้ เหยียนเฉียวหลัวถึงกับมึนงงไปหมดแล้ว นางเบิกตาโต แทบไม่อยากจะเชื่อ

 

 

นังคนนั้น….นางทำได้อย่างไร?

 

 

นี่มัน…….เป็นไปไม่ได้!

 

 

นอกเสียจากว่า……นางก็เป็นนักพรตเหมือนกัน?

 

 

แถมยังเป็นนักพรตที่สูงส่งอย่างยิ่งอีกด้วย!

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “อยู่ดีๆ ก็สุมไฟใส่ตัว”