บทที่ 2246+2247

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2246 ปรับเปลี่ยนใหม่มุมมองทั้งสามของเขาใหม่อย่างแท้จริง!

แถมเขายังรู้ความลับบางอย่างที่ชาวเซียนธรรมดาไม่รู้ด้วย ทราบว่าหากเทพศักดิ์สิทธิ์ของโลกเบื้องล่างโบยบินขึ้นมาไม่สำเร็จ หลังจากดวงวิญญาณแตกสลายแล้วจะกลับชาติมาเกิดไม่ได้อีก ดังนั้นเขาจึงรอคอยวันนี้เสมอมา

กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ตระกูลอวิ๋นของเขาล่มสลายด้วย องค์ชายผู้องอาจภาคภูมิได้รับความเคารพนับถือจากชาวเซียนอย่างเขา ก็มีวันที่ตกอับจนตรอกกลายเป็นหนูเฒ่าข้างถนนด้วย…

เขาดูเหมือนจะสุภาพอ่อนโยนไม่แก่งแย่งชิงดี แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีจิตใจทะเยอะทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง

ยามที่สกุลอวิ๋นยังไม่ล่มสลาย เขาลอบฝึกฝนซ่องสุ่มกองกำลังของตนเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ลงมือ ดินแดนเบื้องบนก็ผลัดเปลี่ยนนภาอย่างสิ้นเชิงแล้ว…

หลายปีมานี้เขาหนุนฟืนแข็งชิมดีขม[1] ลับอาวุธขุนม้าศึก มุมานะให้แข็งแกร่งขึ้น ลอบขยายกองกำลังของสารพัดรูปแบบ เพียงปรารถนาว่าจะมีสักวันที่ได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ปรารถนาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดอีกครั้ง ฟื้นฟูยุคสมัยของตระกูลอวิ๋น กลายเป็นจักรพรรดิเซียน

แน่นอน เขาไม่เคยปล่อยวางกู้ซีจิ่วเลย ต้องการจะครอบครองนาง ทำให้นางกลายเป็นจักรพรรดินีในอนาคตของตนเสมอมาไม่แปรเปลี่ยน

เพียงแต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาเขาก็ไม่อยากให้นางมองความรู้สึกของตนออก ด้วยเกรงว่าแม้แต่สหายก็จะไม่ได้เป็น

เขาคิดว่านางมีคนในใจแล้วก็ดี กันไม่ให้ถูกผู้อื่นตื้อไปครองได้ก่อนที่จะสร้างชื่อเรืองอำนาจขึ้นมา

เขานึกว่าเขายังมีเวลาพอที่จะสู้แย่งชิงตัวนาง กลับคาดไม่ถึงเลยว่า…

จะถูกไอ้สารเลวเสินเนี่ยนโม่ผู้นี้ตีตราแล้ว!

จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าบุตรแห่งเทพมารผู้สูงส่ง จะใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อช่วงชิงคน ทำให้เขาตั้งรับไม่ทัน…

ปรับเปลี่ยนมุมมองทั้งสามของเขาใหม่อย่างแท้จริง!

ที่แท้ทวยเทพก็ทำเช่นนี้เป็นด้วย!

เขาเฝ้ารอหญิงสาวผู้นี้มาหลายร้อยปี ไหนเลยจะยอมประเคนให้ผู้อื่นเช่นนี้?!

ที่ดินแดนเบื้องบนเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้ฝูอี ถึงอย่างไรเบื้องหลังเขาก็มีกองหนุนที่ยอดเยี่ยมนัก ซ้ำยังมียอดฝีมือผู้เลิศล้ำมากมายคอยปกป้องดูแลด้วย

แต่ที่แดนอสุราแห่งนี้ กลับเป็นอาณาเขตของเขาอวิ๋นเยียนหลี!

ที่นี่เขามีสมุนอยู่ทั่วหล้า วรยุทธ์ก็สูงส่งกว่าในอดีต บรรลุขั้นซ่างเซียนแล้ว

วรยุทธ์ระดับเขาที่ดินแดนเบื้องบนอาจไม่ถือว่าพิเศษเลิศล้ำ แต่ที่แดนอสุราแห่งนี้กลับเป็นตัวตนที่แทบจะไร้ซึ่งผู้ต่อกร

แน่นอน ด้วยการส่งเสริมเกื้อหนุนจากค่ายอาคม พลังวิญญาณของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่นาน เขาจะสามารถทะลวงด่านซ่างเซียนได้ บรรลุถึงระดับซ่างเสิน เมื่อถึงเวลานั้นตอนที่เขาตอบโต้กลับไปยังดินแดนเบื้องบน เขาจะเอาสิ่งที่เคยเป็นของตนกลับมา ล้างแค้นให้กับราชวงศ์อวิ๋น…

อวิ๋นเยียนหลีก็เดินวนเวียนในละแวกนี้เช่นกัน ตามหาเบาะแส

ไม่น่าเชื่อเลยว่าตี้ฝูอีจะหายตัวไป เขาก็ฉงนใจยิ่งนักเช่นกัน!

ยามนั้นตี้ฝูอีได้รับบาดเจ็บ อวิ๋นเยียนหลีมองออก แต่เขามองไม่ออกว่าสรุปแล้วอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสปานใด และไม่ทราบว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงส่งแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่กล้าผลีผลามชั่วขณะ เดิมทีคิดจะหยั่งเชิงดู ผลคือถูกการกลับมาของกู้ซีจิ่วขัดจังหวะเข้า…

จากนั้นตี้ฝูอีก็หายตัวไปเลย!

เขาส่งสมุนออกตามหามากมายปานนั้นก็หาไม่พบแม้แต่มุมชุดสักเสี้ยวของอีกฝ่าย

หรือว่าตี้ฝูอีจะช้ำใจจนไปจากแดนอสุราแล้ว?

มิใช่กระมัง?

ตี้ฝูอีผู้นั้นดูไม่เหมือนคนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้…

หรือว่าเขาตระหนักถึงอันตรายที่แฝงอยู่ รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอวิ๋นเยียนหลี จึงหลบหนีไปก่อน?

แต่หนีไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะหลบหนีโดยไม่เหลือร่องรอยไว้ให้คนตามหาเลย?

ในใจอวิ๋นเยียนหลีก็มีสารพัดความคิดวนเวียนอยู่ พอหันหน้า มองเห็นกู้ซีจิ่วกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ใช้กิ่งไม้เขี่ยบริเวณหนึ่งอย่างระมัดระวังยิ่ง…

เขาเดินเข้าไปหา

“ซีจิ่ว เจออะไรหรือ?”

กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ใช้กิ่งไม้แซะต่อไป แซะได้เศษกระดูกสีดำชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง

อวิ๋นเยียนหลีใจเต้นแวบหนึ่ง เพ่งพิศกระดูกชิ้นนั้น

————————————————————————————-

บทที่ 2247 ความช่างสังเกตนี้แกร่งกล้าเกินไปแล้ว!

อวิ๋นเยียนหลีใจเต้นแวบหนึ่ง เพ่งพิศกระดูกชิ้นนั้น เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“ที่นี่มีสัตว์ร้ายปะทะกันอยู่บ่อยๆ มีเศษกระดูกสัตว์บ้างก็ปกติมากมิใช่หรือ?”

“นี่คือกระดูกมนุษย์ ไม่ใช่กระดูกสัตว์”

กู้ซีจิ่วใช้ใบหญ้าหยิบเศษกระดูกชิ้นนั้นมาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยสรุปว่า

“คนผู้นี้เพิ่งตายได้ไม่นาน หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ เพิ่งตายเมื่อคืนนี้!”

อวิ๋นเยียนหลีตะลึง

ความช่างสังเกตนี้แกร่งกล้าเกินไปแล้ว!

เขารู้ว่านางเป็นหมอ วิชาแพทย์เลิศล้ำ คุ้นเคยกับโครงสร้างสรีระมนุษย์ยิ่งนัก หากว่านางอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนแล้วสันนิษฐานจากเศษกระดูกชิ้นหนึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจเลย แต่มิใช่ว่านางความจำเสื่อมหรอกหรือ?

ทำไมถึง…

“เจ้าดูออกได้ยังไง?”

อวิ๋นเยียนหลีฉงนยิ่ง

“สัญชาตญาณ”

กู้ซีจิ่วตอบกลับสั้นๆ

อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกแล้ว

เอาเถอะ ทักษะบางอย่างก็สลักอยู่ในกระดูกแล้ว ไม่มีทางสูญหาย อย่างเช่นความช่างสังเกตอันเฉียบไวของนาง

ในจุดเดิมที่กู้ซีจิ่วอยู่ไม่ได้พบแค่เศษกระดูกชิ้นหนึ่งเท่านั้น ยังพบเศษผ้าด้วย เป็นเศษผ้าสีดำ คล้ายว่าจะขาดออกมาจากเสื้อคลุมอันใด

เธอมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บเศษผ้าชิ้นนั้นใส่ถุงแพรแล้วสอดเข้าไปในแขนเสื้อ

อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยขึ้นว่า

“ซีจิ่ว เจ้าคงไม่คิดว่าคุณชายฝูอีถูกสังหารไปแล้วกระมัง? ข้าจำได้ว่าเมื่อวานเขาสวมชุดสีฟ้านภา…”

“นี่ไม่ใช่เขา!”

กู้ซีจิ่วตัดบทเขา

คนผู้นี้สิ้นชีพอยู่ที่นี่ประมาณยามห้าย ดูจากร่องรอยแล้วคล้ายจะถูกพิษอันใดกร่อนสลาย ช่วงเวลานี้คาบเกี่ยวกับตอนที่เธอและตี้ฝูอีแยกทางกัน เธอต้องกลับไปตรวจสอบที่มาของคนผู้นี้ สืบสาวไปตามเบาะแส…

ยามที่กู้ซีจิ่วสืบคดีไม่ชอบอธิบายกับผู้อื่น ดังนั้นหลังจากเธอเก็บเศษผ้าไปแล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก

เธอขุดดินภายในระยะไม่กี่ลี้นี้ไปสามฉื่อแล้ว เมื่อหาอะไรไม่พบแล้วจริงๆ ถึงได้จากไปพร้อมกับอวิ๋นเยียนหลี

หลังจากพวกเขาจากไปได้ไม่นาน บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา

ดวงหน้าอ่อนเยาว์ ลักยิ้มสองข้างแก้ม มองแล้วดึงดูดความชมชอบจากผู้คนได้

เป็นเตี๋ยเอ๋อร์ลูกน้องของชายชุดดำผู้ลึกลับเมื่อคืนนี้

แท้จริงแล้วเขาคือ ‘นาง’ เพียงชอบแต่งกายแบบบุรุษ และชอบท่องไปทั่วหล้าด้วยฐานะบุรุษเท่านั้น

นางมองทิศทางที่กู้ซีจิ่วกับอวิ๋นเยียนหลีจากไป กิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ถือไว้ในมือถูกบีบขยี้จนแหลกเป็นชิ้นๆ!

นายท่านดีต่อกู้ซีจิ่วผู้นี้อย่างยิ่ง!

ถึงขั้นที่ซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงไว้กว่าครึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้านาง เพียงเพื่ออยู่ข้างกายนางด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันงั้นหรือ? หรือว่ามีแผนการอื่นอยู่?

ขณะที่นางใจลอยอยู่ ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงหว่างเอวพลันเปล่งแสงขึ้นมา นางพยิบขึ้นมา มีเสียงแว่วออกมา

“ท่านเจ้าวัง พวกเราได้ทำการค้นหาภายในรัศมีห้าร้อยลี้จนทั่วแล้ว หาคนผู้นั้นไม่พบเลยขอรับ”

“หาต่อไป!”

“ขอรับ! ท่านเจ้าวัง อย่างไรก็ตามด้านทิศเหนือถ้าพวกเราค้นหาต่อไปอีกพันลี้ก็จะเป็นอาณาจักรมารของแดนอสุราแล้ว หากว่าคนผู้นั้นหนีเข้าไปยังอาณาจักรนั้น…”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องค้นหาแล้ว! อาณาจักรมารอสุราไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ซ้ำยังมีเพลิงอนธการเป็นอาณาเขตด้วย คนนอกเข้าไปมีแต่จะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”

“ขอรับ”

….

แท้จริงแล้วแดนอสุรากว้างใหญ่ยิ่งนัก มีพื้นที่พอๆ กับประเทศจีนเลย

แม่น้ำลำธาร ห้วยหนองทะเลทราย หุบเขาภูผาล้วนมีทั้งสิ้น

จากข้อมูลของคนในพื้นที่ ทั่วทั้งแดนอสุราเคยมีประชากรอยู่กว่าร้อยล้านคน

มนุษย์ มาร ปีศาจ สัตว์อสูรอยู่ปะปนกัน

ถึงแม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะแร้นแค้น แต่ยังคงร่มเย็นเป็นสุข มีเมืองมากมาย

หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงมหันต์ขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ทำให้ประชากรของที่นี่ลดลงไปถึงเก้าในสิบ มีผู้รอดชีวิตไม่ถึงสิบล้านคน กระจัดกระจายอยู่ในเก้าเมืองที่เหลืออยู่ของแดนอสุรา แต่ละเมืองมีประชากรเฉลี่ยแล้วเกือบหนึ่งล้านคน

————————————————————————————-

[1] หนุนฟืนแข็งชิมดีขม หมายถึง การอดทนทรมานตัวเอง เพื่อเตือนสติไม่ให้หลงลืมความทุกข์ยากขมขื่นที่เคยได้รับ เพื่อมุมานะทำการใหญ่ให้สำเร็จ