บทที่ 2244+2245

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2244 แล้วเธอก็ไม่ได้ไล่ล่าสังหารเขาด้วย…

คาดไม่ถึงเลยว่าตอนตนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบน เป็นปรมาจารย์โอสถผู้หนึ่งด้วย แจกจ่ายโอสถไปมากมายปานนี้

“วิชาหลอมโอสถของข้าสูงส่งมากหรือ?”

กู้ซีจิ่วถามส่งๆ

อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ

“มิใช่สูงส่งมาก แต่เป็นสูงส่งจนน่าอัศจรรย์ วิชาหลอมโอสถของเจ้าบรรลุขั้นแปดแล้ว แม้แต่เซียนโอสถก็ยอมรับนับถือ”

คำพูดนี้คล้ายคลึงกับที่ตี้ฝูอีบอก ตี้ฝูอีก็เคยบอกเช่นกันว่าเธอเคยเป็นยอดอัจฉริยะด้านการหลอมโอสถ บรรลุขั้นแปด ในดินแดนเบื้องบนยากจะหาคนเทียบเคียงได้

ตี้ฝูอีและอวิ๋นเยียนหลีย่อมไม่อาจหลอกลวงเธออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้

จากข้อนี้เห็นได้ว่า พวกเขาล้วนพูดความจริง มีเพียงความจริงเท่านั้นถึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้…

เดิมทีกู้ซีจิ่วยังไม่เชื่อถืออวิ๋นเยียนหลีสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันได้วันเดียว สัญชาตญาณเธอมีความระแวดระวังอันน่าประหลาดอย่างหนึ่งต่อตัวเขา

เพียงแต่หลังจากลองหยั่งเชิงอยู่หลายครั้ง ก็มองออกว่าเขาไม่เคยโกหกเธอเลย…

กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง

“เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยาระงับหรอก พอข้าเหงื่อออกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”

พลางเก็บโอสถนั้นใส่ในแขนเสื้อตน

“โอสถเลิศล้ำเช่นนี้รอให้เป็นไข้หนักขึ้นมาจริงๆ ค่อยกินก็ได้”

อวิ๋นเยียนหลีหลุบตาลงเล็กน้อย ยิ้มแวบหนึ่ง

“ได้!”

เขารู้ว่านางยังไม่เชื่อใจเขา ยังคงระแวงเขา…

นางขี้ระแวงเสมอมา ตอนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนเขาก็ไปมาหาสู่กับนางอยู่เนิ่นนานถึงจะได้เป็นสหายกับนาง ยามนี้เป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลกประหลาด

ดูเหมือนต่อให้นางความจำเสื่อม แต่สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ

ไม่รู้ว่าครั้งแรกที่นางได้พบตี้ฝูอีในแดนอสุรา จะระแวงเช่นนี้ด้วยหรือไม่?

กู้ซีจิ่วเพียงโคจรพลังวิญญาณในร่างหนึ่งรอบ ขับเหงื่อออกมาเต็มร่าง อาการหวัดก็ทุเลาลงมากจริงๆ

อวิ๋นเยียนหลีที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้รบกวน เพียงมองนางอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้น ถึงได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

“ไปเถอะ พวกเราไปตามหาคนกัน”

โคจรพลังร่ายอาคม ผีเสื้อสีแดงเพลิงตัวหนึ่งโบยบินออกมาจากปลายนิ้ว…

กู้ซีจิ่วถอนหายใจคราหนึ่ง ทราบว่าผีเสื้อของเขามีประสิทธิภาพยิ่งนัก อย่างน้อยเมื่อวานผีเสื้อตัวนี้ตรวจพบว่าตี้ฝูอีเคยกลับเข้าเมือง

เธอมองผีเสื้อตัวนี้อีกแวบหนึ่งอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ สัมผัสได้รางๆ ว่าผีเสื้อตัวนี้ดูจะสีสันสดใสกว่าตัวเมื่อวานไม่น้อยเลย…

….

ตี้ฝูอีหายตัวไปเลย

ผีเสื้อโลหิตของอวิ๋นเยียนหลีก็หาร่องรอยใดๆ ของเขาไม่พบ

ตามที่อวิ๋นเยียนหลีบอก ผีเสื้อโลหิตของเขาสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายคนในรัศมีร้อยลี้ได้ ขอเพียงคนผู้นั้นยังอยู่ภายในขอบเขตร้อยลี้ ก็หนีจากการติดตามของผีเสื้อโลหิตไม่พ้น

แต่หลังจากอวิ๋นเยียนหลีปล่อยผีเสื้อโลหิตออกไป ผีเสื้อโลหิตเพียงบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือศีรษะคนทั้งสอง บินวนเป็นเลขแปด หลังจากบินเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจ

“ซีจิ่ว เขาน่าจะออกจากเมืองลั่วฮวาไปแล้ว ไม่ต้องตามหาในเมืองแล้ว”

กู้ซีจิ่วหลุบตาลง เธอก็หาในเมืองนี้จนทั่วแล้ว ไม่พบเขาเลยจริงๆ

ถึงแม้ตนจะพูดจาทำร้ายจิตใจเขาเช่นนั้น แต่ด้วยนิสัยของเขา หากว่ากลับมาที่เมือง ก็น่าจะไม่หลบเร้นเข้าซอกหลืบรูใดเพื่อหลบเลี่ยงเธอกระมัง?

ไม่ใช่ผู้ต้องหาหนีคดีเสียหน่อย…

แล้วเธอก็ไม่ได้ไล่ล่าสังหารเขาด้วย…

มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือเขาไม่ได้กลับมาเลย!

อวิ๋นเยียนหลีเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ ไม่รอให้กู้ซีจิ่วต้องเอ่ยปากขอร้อง ก็เอ่ยเสนอให้ไปตามหายังจุดที่แยกทางกับตี้ฝูอีเมื่อคืนดู ไม่แน่ว่าอาจจะพบเบาะแสของเขาบ้าง

ถึงแม้เมื่อคืนกู้ซีจิ่วจะลุยฝนไปที่นั่นมาแล้ว แต่เธอก็เกรงว่าจะตกหล่นข้อมูลสำคัญอันใดไป

ถึงอย่างไรเมื่อคืนฝนก็ตกหนักขนาดนั้น ซ้ำเธอยังนึกว่าเขาจากไปเองแล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ตรวจสอบละเอียดลออปานนั้น บางทีถ้าไปค้นหาอีกทีอาจจะพบเบาะแสบ้างก็ได้

….

ป่าเขาในตอนกลางวันเงียบสงบกว่าตอนกลางคืนมากนัก

————————————————————————–

บทที่ 2245 ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขาเหลือเกิน!

กู้ซีจิ่วกลับไปที่นั่นอีกครั้ง อวิ๋นเยียนหลีปล่อยผีเสื้อโลหิตออกไป ผีเสื้อโลหิตโผบิน บินวนเวียนในละแวกนี้รอบหนึ่งก็ร่อนลงในมืออวิ๋นเยียนหลีอีกครั้ง

สองตาของกู้ซีจิ่วมองไปที่เขา

“เป็นอย่างไร?”

อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้าช้าๆ

“ผีเสื้อโลหิตสัมผัสกลิ่นอายของเขาไม่ได้เลย เขาไม่ได้อยู่แถวนี้ ซีจิ่ว พวกเราลองไปดูที่อื่นไหม?”

นัยน์ตากู้ซีจิ่วฉายแววสิ้นหวัง มองผีเสื้อโลหิต

“เมื่อคืนเขาอยู่ที่นี่จริงๆ ผีเสื้อโลหิตของเจ้าติดตามหาร่องรอยจากกลิ่นอายของเขาไม่ได้หรือ?”

อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้า

“ผีเสื้อโลหิตทำได้เพียงสัมผัสถึงตัวเป้าหมายได้ในระยะไม่เกินร้อยลี้ ไม่สามารถติดตามร่องรอยคนได้”

กู้ซีจิ่วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ไม่พูดไม่จาอะไรไปตรวจสอบหาร่องรอยในบริเวณนี้อีกครั้ง

ฝนห่าใหญ่เมื่อคืนชะล้างร่องรอยทุกอย่างไปหมดแล้ว อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็มีสัตว์ร้ายโผล่มาเป็นระยะๆ อยู่เสมอ คิดตามหาร่องรอยของคนผู้หนึ่งจะง่ายดายได้อย่างไร?

อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่ตรงนั้นมองกู้ซีจิ่วยุ่งสาละวน นางตามหาอย่างละเอียดลออเหนือธรรมดา หญ้าสักกอไม้สักต้นหินสักก้อนล้วนไม่ปล่อยผ่านเลย

แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวเล็กน้อย พบว่าอาภรณ์บนร่างนางยังคงเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน ตรงชายกระโปรงยังมีคราบเลือดอยู่เลย ตรงแขนเสื้อก็ขาดเป็นรู

ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนอวิ๋นเยียนหลีก็คบค้าสมาคมกับนางมาหลายปี ไปมาหาสู่ต่อตีกับสัตว์ด้วยกัน ยังคงรู้จักนิสัยของนางดียิ่ง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นโรครักสะอาด แต่เป็นคนรักสะอาดยิ่งนักคนหนึ่ง หากเป็นยามปกติ จะไม่สวมเสื้อผ้าชุดเดิมข้ามคืนเด็ดขาด วันถัดไปถึงจะนำออกมาใส่อีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้นคือเสื้อผ้าชุดนี้ยังสกปรกจนกลายเป็นเช่นนี้…

ดูเหมือนถึงแม้นางจะพูดจาร้ายกาจต่อหน้าตี้ฝูอี แต่ความรู้สึกกลับยังหมกมุ่นอยู่ ซ้ำยังหมกมุ่นอย่างลึกล้ำเหนือธรรมดาด้วย…

มิใช่ว่านางยึดติดกับคนในใจผู้นั้นเสมอมาหรอกหรือ?

นึกถึงปีนั้นเขาอยู่ข้างกายนางมากว่าร้อยปีก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้เลย เห็นเขาเป็นเพียงสหายธรรมดา เขายังนึกอยู่ว่านางคงดึงดันด้านชาไม่หวั่นไหวกับชายใดไปนานแล้ว กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งอยู่กับตี้ฝูอีที่แดนอสุราแห่งนี้ได้ไม่นานก็…

ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือตี้ฝูอีจะไร้ศักดิ์ศรีได้ถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีอ้างตัวว่าเป็นคู่หมั้นของนางมาหลอกลวงให้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากนางก่อน ถึงขั้นที่ทำให้นางยอมมอบกายได้…

เหลือเกินจริงๆ!

ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขาเหลือเกิน!

น่าเสียดายนัก น่าเสียดายที่โอกาสดีเช่นนี้ถูกตี้ฝูอีช่วงชิงไปแล้ว!

หากว่าเป็นตัวเขาอวิ๋นเยียนหลีที่หานางพบก่อน ใช้วิธีเดียวกับตี้ฝูอี บางทีอาจจะได้ครอบครองนางเช่นกัน

สวรรค์ไม่ยุติธรรม! นางร่วงหล่นมายังอาณาเขตของเขาโดยที่เขาสัมผัสถึงก่อนไม่ได้เลยสักนิด! มิเช่นนั้นไหนเลยยังมีเรื่องตี้ฝูอีอันใดอีก?!

อวิ๋นเยียนหลีลอบกำหมัดสำนึกเสียใจ

สายตาเขาร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่วอีกครั้ง

ถึงแม้ตอนนี้นางจะไม่มีความทรงจำแล้ว พลังยุทธ์ก็ลดลงไปเจ็ดแปดส่วน แต่นิสัยของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงน่าหลงใหลปานนี้ ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้เลย

ความรักไม่ทราบว่าเกิดขึ้นยามไหน แต่กลับหยั่งรากรักล้ำลึก

เขาก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าเริ่มชอบพอนางตั้งแต่ยามไหน บางทีเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานก็ชมชอบเสียแล้วกระมัง?

เพียงแต่นางในยามนั้นไม่ว่าจะศักดิ์ฐานะหรือวรยุทธ์ก็สูงส่งเลิศล้ำทั้งสิ้น ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น กระทำการตามความพอใจของตน เมื่ออยู่ต่อหน้านางเขาจึงน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอยู่บ้าง…

ประกอบกับทราบชัดเจนว่านางมีคนในใจแล้ว จึงกดความรักนี้ลงไปในก้นบึ้งหัวใจ

เดิมทียังคิดจะอยู่ข้างกายนางอย่างสงบไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เวลากัดเซาะลำธารสายน้อยให้กลายเป็นแม่น้ำใหญ่บ่มเพาะความรู้สึกระหว่างเขาและนาง ทำให้นางค่อยๆ ค้นพบความดีของเขา จนนางปล่อยวางคนในใจ ครองคู่กับเขา กลายเป็นภรรยาของเขา

ตัวเขาในอดีตหมายมั่นไว้เช่นนี้ เขาคือองค์ชายของดินแดนเบื้องบน ศักดิ์ฐานะเหมาะสมคู่ควรกับนาง

แถมเขายังรู้ความลับบางอย่างที่ชาวเซียนธรรมดาไม่รู้ด้วย