คำเชิญจากหนังเรื่องใหม่
หลังจากพบกับทนายจ้าวแล้ว หลินหว่านกลับเข้าบ้าน ในตอนบ่าย ขณะเธอกำลังจัดการกับข้าวของของแม่เธออยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลินหว่านเปิดประตูออก เซียวจิ่งสือยืนอยู่นอกประตู พอเห็นหลินหว่าน เขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจหลินหว่านอย่างละเอียด แล้วถามเหมือนไม่ตั้งใจนักว่า “หว่านหว่าน เธออยู่บ้านทำอะไรน่ะ ผมได้ยินอวิ๋นซีบอกว่าวันนี้คุณดูไม่ค่อยดีนัก คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เอาอย่างนี้ ผมพาคุณออกไปผ่อนคลายหน่อยดีไหม”
ตอนนั้นเอง เขาเห็นห่อพัสดุที่หลินหว่านกำลังจัดการอยู่ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “หว่านหว่าน นี่มันอะไรน่ะ”
พูดพลาง เซียวจิ่งสือก็หยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาอ่านผ่านๆ จากนั้นก็โพล่งขึ้นอย่างแปลกใจว่า “หว่านหว่าน น…นี่มันของของแม่คุณนี่ คุณไปได้มาจากไหน” เขามองมาทางหลินหว่านอย่างสงสัย
“นี่เป็นของที่แม่ฉันทิ้งไว้ให้ เซียวจิ่งสือ เรื่องนี้พูดไปแล้ว ฉันก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่เหมือนกัน…” จากนั้นหลินหว่านก็เล่าเรื่องที่เธอได้รับห่อพัสดุกับได้พบทนายจ้าวให้เซียวจิ่งสือฟัง ถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดจะปิดบังเซียวจิ่งสืออยู่แล้ว
“ดังนั้น นี่ก็คือสาเหตุที่วันนี้คุณไม่ปกติงั้นเหรอ” เซียวจิ่งสือฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว นอกจากประหลาดใจแล้วยังถึงบางอ้ออีกด้วย จึงหันมาถามหลินหว่าน
“ค่ะ อวิ๋นซีบอกคุณล่ะสิคะ” พอเปิดประตูออกเห็นเซียวจิ่งสือ หลินหว่านก็รู้ว่าอวิ๋นซีบอกเซียวจิ่งสือเรื่องที่วันนี้เธอมีดูไม่ปกตินัก
จากนั้นหลินหว่านรำพึงรำพันขึ้นว่า “เซียวจิ่งสือคะ หลังจากได้รับห่อพัสดุ ทำให้ฉันคิดว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…จะเป็นไปได้ยังไงกันนะ วันนี้ทนายจ้าวเล่าเรื่องของแม่ให้ฉันฟังตั้งมากมาย ฉันยังคิดว่า ถ้าหากเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วมาอยู่กับฉันได้ มันจะดีขนาดไหนกันนะ แต่ว่าในใจฉันรู้ดีอยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก…”
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงแม่ จึงได้แต่พูดปลอบเธอว่า “หว่านหว่าน เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากไปเลยนะ ถึงแม้ว่าแม่ของคุณไม่อาจอยู่ข้างกายคุณได้ แต่คุณยังมีผมนี่นา…ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป จนถึงแก่กันไปเลย”
หลินหว่านได้ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาที่คอยอยู่ข้างกายเธอ บอกรักเธอตลอด คนที่ทำให้เธอยอมรับและคอยปกป้องเธอ ทำทุกอย่างเพื่อเธอด้วยความเต็มใจก็คือเขา
หลินหว่านใจอ่อนยวบ แล้วสะดุ้งวาบ เมื่อครู่ตอนเธอเล่าเรื่องแม่ให้เซียวจิ่งสือฟังนั้น ดูเหมือนเธอจะไม่คิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับเซียวจิ่งสือ หรือว่าเธอไว้วางใจในตัวเซียวจิ่งสือถึงขนาดนี้แล้วเหรอ
หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดเสียงอ่อนว่า “ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ เมื่อก่อนคุณทำให้ฉันตั้งมากมายขนาดนั้น ฉันกลับดูเหมือนจะให้คุณได้แค่คำขอบคุณ”
เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านหลุดจากอารมณ์เศร้าหมองมาได้ก็สบายใจขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มว่า “ไม่เป็นไรครับ หว่านหว่าน แต่ว่า…ถ้าคุณจะขอบคุณผมล่ะก็…คุณก็ทำอาหารเลี้ยงผมสักมื้อ ได้ไหมครับ หว่านหว่าน”
พอฟังคำขอของเซียวจิ่งสือ หลินหว่านนิ่งอึ้งไป แล้วผงกศีรษะ พูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
เซียวจิ่งสือได้ฟังแล้ว ปลื้มปริ่มจนแทบจะลอยได้เลย
วันรุ่งขึ้น หลินหว่านยังอยู่ที่บ้าน ก็ได้รับโทรศัพท์จากอวิ๋นซี ในสายอวิ๋นซีเหมือนอยากจะบอกความลับอะไรบางอย่างแต่ยั้งใจไว้ เธอถามหลินหว่าน “หว่านหว่าน ฉันมีข่าวดีมาบอกเธอ อยากฟังไหม”
“งั้นเหรอ แต่ว่า…ทำยังไงดีล่ะ ฉันยังไม่อยากฟังสักเท่าไหร่…” หลินหว่านแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“หลินหว่าน!” อวิ๋นซีทำเป็นโมโห
“เอาล่ะๆ มีข่าวดีอะไรกันแน่หือ บอกมาเร็ว อวิ๋นซี” หลินหว่านฟังน้ำเสียงโมโหขึ้นของอวิ๋นซีแล้ว รีบกลับลำมาออดอ้อนแทน
“ผู้กำกับจ้าวอยากจะชวนเธอไปแสดงบทนางเอกในหนังเรื่องใหม่ของเขานะสิ!” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจจนฉุดไม่อยู่ของอวิ๋นซีส่งผ่านสายโทรศัพท์มา
“หนังใหม่ของผู้กำกับจ้าวเป็นหนังแนวดราม่า ที่มุ่งจะคว้ารางวัลนี่ หว่านหว่าน ฉันว่าถ้าเธอรับแสดงหนังเรื่องนี้นะ ต้องยิ่งดังระเบิดแน่”
“ผู้กำกับจ้าวเหรอ อวิ๋นซี เธอพูดจริงเหรอ” หลินหว่านรู้สึกแปลกประหลาดใจว่า หนังของผู้กำกับจ้าวมักมีกลิ่นอายของศิลปะ ผลงานทุกเรื่องของเขาล้วนเป็นงานศิลปะที่แฝงความหมายลึกล้ำ ผลงานของเขาแม้จะไม่น้อยเลย แต่ทุกเรื่องล้วนได้รับคำวิจารณ์ที่ดี คำชมว่าดีมากเลย เขาจะชวนเธอให้แสดงบทนำจริงเหรอ
“แน่นอนว่าจริงอยู่แล้ว!” อวิ๋นซีพูดอีกว่า “ใช่แล้ว ทางผู้กำกับจ้าวส่งบทของนางเอกมาให้ส่วนหนึ่งแล้ว เห็นไหมเขาอยากให้เธอแสดงบทนางเอกมากเลยนะ เซียวจิ่งสือส่งบทไปที่บ้านเธอแล้ว ฉันว่าเธอลองอ่านดูก่อนก็ได้นะ”
“งั้นเหรอ” หลินหว่านรู้สึกเหลือเชื่อ
หลินหว่านเพิ่งวางสายจากอวิ๋นซีไปได้ไม่นาน เซียวจิ่งสือก็มาถึง แต่หลินหว่านพบว่าสีหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก
“เซียวจิ่งสือคะ อวิ๋นซีบอกว่าคุณเอาบทหนังของผู้กำกับจ้าวมาให้ แล้วบทล่ะคะ” หลินหว่านถามเขา
เซียวจิ่งสือมองจ้องหลินหว่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นบทหนังให้หลินหว่านอย่างหมดทางเลี่ยง
“ขอบคุณค่ะ เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านเห็นแล้วพูดอย่างดีใจ
เวลาผ่านไปชั่วครู่ หลินหว่านอ่านบทหนังไปพอสมควรแล้ว
แต่เมื่ออ่านจนจบ จิตใจของหลินหว่านกลับกลายเป็นหม่นมัว นี่เป็นหนังแนวดราม่าที่หนักมากเรื่องหนึ่ง นางเอกเป็นนักร้องในยุคก่อนหน้านี้ นับแต่เข้าสู่วงการก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว กลับต้องพบกับความดำมืดสกปรกของวงการบันเทิง ภายหลังเมื่อต้องเลือกระหว่างความรัก เงินทองและอำนาจ เธอยอมเสียสละความรัก เลือกที่จะหลงระเริงไปกับสิ่งล่อลวงใจ ตอนท้ายของเรื่อง เธอเสียสติและกระโดดตึกฆ่าตัวตายในที่สุด
นางเอกในเรื่องนี้ทำไมจึงมีเรื่องราวบางส่วนคลับคล้ายกับแม่ของเธอนัก หลังจากอ่านบทแล้วหลินหว่านตัดสินใจว่าจะรับแสดงหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เพราะผู้กำกับจ้าว และไม่ใช่เพราะนางเอกมีเรื่องราวคล้ายกับแม่ของเธอ แต่เป็นเพราะตอนท้ายเรื่องบทของนางเอกสุดยอดมากและบทยังท้าทายอย่างมากด้วย
ตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือที่อยู่ด้านข้างมองหลินหว่านอ่านบทหนังจนจบ เขาขมวดคิ้วพลางถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน หนังเรื่องนี้เธอจะรับแสดงหรือเปล่า”
หลินหว่านไม่ได้มองสีหน้าเซียวจิ่งสือ เธอผงกศีรษะพลางพูดว่า “รับสิคะ ต้องรับแน่นอนอยู่แล้ว บทที่ดีขนาดนี้ ทำไมจะไม่รับ”
เซียวจิ่งสืออ่านบทหนังมากก่อน รู้ว่าตอนท้ายเรื่องนางเอกหลงผิดและเสียสติจนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เขากลัวมากว่าหลินหว่านจะเป็นอย่างคราวก่อนที่เข้าถึงบทลึกเกินไป จนส่งผลร้ายต่อสภาพจิตของเธอ
เซียวจิ่งสือได้ยินคำพูดของหลินหว่านก็รีบค้านขึ้นว่า “หว่านหว่าน ผมว่าหนังเรื่องนี้คุณอย่ารับเลยนะ”
“ทำไมคะ” หลินหว่านเงยหน้าขึ้นถามเซียวจิ่งสืออย่างสงสัย
“เพราะตอนท้ายของหนังเรื่องนี้บทนางเอกที่ต้องแสดงหนักมากเกินไป ผมกลัวว่าคุณจะเกิดเรื่องเข้าถึงกับบทมากเกินไปอย่างคราวที่แล้ว อย่างนั้นมันไม่ดีกับคุณมากๆ เลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดไปตามจริง