ทนายความ

 

 

 

 

หลินหว่านเหม่อมองดูของในห่อ รู้สึกประหลาดใจมาก ทำไมเธอจึงได้รับห่อของนี้ ใครกันส่งของพวกนี้มาให้เธอ 

 

 

ถึงตอนนี้จู่ๆ ในหัวของเธอก็เกิดความคิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมา หรือว่าแม่ของเธอ…ยังไม่ตาย 

 

 

แม่เธอจากไปตั้งแต่เธอยังเล็ก ในตอนนั้นเธอยังอยู่ที่บ้านตระกูลอัน คนของบ้านตระกูลอันไม่เคยดีกับเธอ โดยเฉพาะอันโฮ่วสยง ตอนเขามองดูเธอ สายตามีแต่ความรังเกียจ เหมือนเธอเป็นอะไรที่น่าอับอายอย่างนั้น 

 

 

ต่อมาเธอจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะแม่ของเธอ เธอเป็นเด็กที่เกิดมาจากแม่ที่ท้องไม่มีพ่อ ในสายตาของอันโฮ่วสยงเธอเป็น ‘ลูกนอกสมรส’ เป็น ‘รอยด่าง’ ที่ทำให้บ้านตระกูลอันแปดเปื้อนสกปรก 

 

 

ช่วงหลายวันก่อนที่แม่ตาย แม่ไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลอัน แต่กลับทิ้งเธอไว้ที่บ้านตระกูลอันเพียงลำพัง หลายวันนั้นเธออยู่ที่บ้านตระกูลอันอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อันซิงคอยหาเรื่องเธอ แย่งของเล่นเธอ แม้แต่คนรับใช้ที่มองเธออย่างเฉยชาก็แอบรังแกเธอ เธอเฝ้ารอคอยให้แม่กลับมาไวๆ ตอน แม่อยู่ด้วยอย่างน้อยบ้านตระกูลอันก็ยังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันเธอก็ได้ข่าวว่าแม่ฆ่าตัวตาย 

 

 

เรื่องนี้สำหรับเธอที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เหมือนเป็นฝันร้าย นับจากนั้นมา อันซิงก็ยิ่งรังแกเธอหนักขึ้น อันโฮ่วสยงไม่แม้แต่จะมองเธอ เธอจึงได้แต่อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลอันอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้น จนกระทั่งก่อนที่เธอจะเข้าสู่วงการบันเทิง 

 

 

ตอนนี้พอนึกขึ้นมาแล้ว หลินหว่านนอกจากจะถอนหายใจกับเสียใจแล้วก็เหลือแค่ความสงสัยอยู่บ้าง ตอนนั้นแม่เธอทำไมถึงต้องฆ่าตัวตายด้วย แล้วฆ่าตัวตายอย่างไร นอกจากนี้ ได้ยินว่าต่อมาบ้านตระกูลอันหาศพของแม่ไม่พบ อย่างนั้น เป็นไปได้ไหมที่แม่ของเธอจะยังมีชีวิตอยู่ 

 

 

ความคิดนี้พอผุดขึ้นในใจหลินหว่านแล้ว ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็สลัดมันออกไปไม่ได้ 

 

 

เอกสารพวกนี้ทำไมจึงมาปรากฏตรงหน้าเธอในตอนนี้ แต่ไม่ส่งมาให้เธอหลังจากแม่เสียแล้ว เรื่องเวลา…มันน่าสงสัยมาก ไม่ใช่หรือไง แล้วยังมีอีก เอกสารพวกนี้ล้วนเป็นหลักฐานแสดงทรัพย์สินของแม่เธอ นอกจากแม่เธอเองแล้ว ยังจะมีใครมีสิทธิ์ที่จะส่งมอบพวกมันให้เธอ 

 

 

หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งไปไกล ไม่แน่นะ แม่เธออาจยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ คอยดูเธออยู่เงียบๆ มองดูเธอเติบโตขึ้นอยู่ห่างๆ  

 

 

ค่ำคืนนี้ หลินหว่านนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาอยู่ทั้งคืน เธอคิดวนเวียนถึงตอนเป็นเด็ก ช่วงเวลาที่อยู่กับแม่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอร้องไห้ทั้งคืน 

 

 

วันรุ่งขึ้น หลินหว่านคอยคิดพะวงแต่เรื่องนี้ ตอนถ่ายโฆษณาช่วงเช้าจึงอยู่ในอาการเบลอตลอด 

 

 

อวิ๋นซีเห็นอาการผิดปกติของเธอ จึงหาช่วงพักผ่อนเข้ามา ขมวดคิ้วถามเธอว่า “หว่านหว่าน เธอเป็นอะไรน่ะ วันนี้ดูเหมือนเธอไม่ค่อยปกติเลยนะ” 

 

 

พูดพลางอวิ๋นซีก็นึกถึงสภาพหลินหว่านก่อนหน้านี้ตอนเข้าถึงบทลึกเกินไป หรือว่าหลินหว่านกลับไปมีอาการแบบก่อนหน้านี้อีก 

 

 

หลินหว่านส่ายหน้า แข็งใจฝืนยิ้มออกมา พูดกับอวิ๋นซีว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก 

 

 

แต่อวิ๋นซีเห็นสภาพหลินหว่านเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไม่วางใจ แต่ยังดีที่ต่อมาหลินหว่านทำได้ไม่เลว การถ่ายโฆษณาจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว 

 

 

พอถ่ายโฆษณาเสร็จ อวิ๋นซีกับหลินหว่านกำลังจะกลับ ทันใดมือถือของหลินหว่านก็ดังขึ้น 

 

 

หลินหว่านรับสาย ปลายสายอีกด้านหนึ่งมีเสียงของชายกลางคนคนหนึ่งดังมา เขาพูดช้าๆ ว่า “สวัสดีครับ คุณหลิน ห่อพัสดุเมื่อวานคุณได้รับแล้วใช่ไหมครับ” 

 

 

พอได้ยินเสียงพูดจากปลายสาย หลินหว่านตื่นตะลึงสุดๆ ถามคนในสายว่า “ทำไมคุณถึงรู้เรื่องห่อพัสดุ คุณเป็นใคร…” 

 

 

คนในสายพูดขัดขึ้น “คุณหลิน ผมเป็นทนายส่วนตัวของแม่คุณตอนยังมีชีวิตอยู่ ห่อพัสดุนั่นผมเป็นคนส่งให้คุณเอง นั่นเป็นมรดกที่แม่คุณทิ้งไว้ให้ ผมหวังว่าคุณจะดูแลรักษาพวกมันอย่างดี” 

 

 

“ทนายส่วนตัว?” พอฟังคำพูดของเขาจบ สีหน้าของหลินหว่านก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นทนายส่วนตัวของแม่เธอ ‘ตอนยังมีชีวิตอยู่’ ได้ทำลายความคาดหวังว่าแม่เธอจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไป 

 

 

“ใช่ครับ ตอนแม่คุณยังอยู่ ผมเป็นทนายส่วนตัวควบตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน ผมเป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินส่วนตัวให้เธอทั้งหมด ผมเป็นคนส่งห่อพัสดุนั่นให้คุณ ข้างในเป็นของที่แม่คุณทิ้งได้ไว้ให้ หวังว่าคุณจะดูแลมันให้ดี” ทนายความพูดขึ้นอีก 

 

 

หลินหว่านนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ที่แท้ความจริงเป็นอย่างนี้เอง…หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถามทนายความนั้นว่า “คุณทนายคะ เรามาพบกันสักหน่อยได้ไหมคะ” 

 

 

ปลายสายอีกด้าน ทนายความตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้วระบุสถานที่เวลานัดพบกัน หลินหว่านวางสายแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการหน่อย กลับบริษัทไปกับเธอไม่ได้แล้ว เธอกลับไปคนเดียวก่อนเถอะนะ” 

 

 

“เรื่องอะไรเหรอหว่านหว่าน เธอเป็นไรหรือเปล่า ต้องให้ฉันช่วยไหม” เมื่อครู่อวิ๋นซีอยู่ด้านข้างได้ยินหลินหว่านคุยโทรศัพท์แว่วๆ ว่าเธอพูดถึงทนายความ จึงถามอย่างเป็นห่วง 

 

 

“ขอบคุณค่ะอวิ๋นซี เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้ค่ะ” หลินหว่านพูด พอพูดจบก็รีบจากไป 

 

 

อวิ๋นซีเห็นว่าวันนี้หลินหว่านทำตัวแปลกมาก พอเธอกลับถึงบริษัท ก็โทรบอกเซียวจิ่งสือเรื่องที่วันนี้มีโทรศัพท์แปลกๆ มาหาหลินหว่าน 

 

 

สถานที่นัดพบเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พอหลินหว่านมาถึงก็พบว่ามีชายกลางคนคนหนึ่งรออยู่ พอเขาเห็นเธอก็พูดว่า “สวัสดีครับ คุณหลิน ผมเป็นทนายส่วนตัวของแม่คุณตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมแซ่จ้าว” 

 

 

ผู้ชายตรงหน้าดูมีอายุไม่น้อยแล้ว ลงพุงเล็กน้อย หลินหว่านนั่งลงตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยปากถามตรงๆ ว่า “ทนายจ้าวคะ แม่ฉันเธอเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เหรอคะ” 

 

 

ทนายเจ้าฟังแล้วชะงักไปขณะหนึ่ง แล้วรีบพูดขึ้นว่า “คุณหลิน คุณพูดอะไรนะครับ แม่คุณฆ่าตัวตายไปตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเธอจะยังมีชีวิตอยู่อีก” 

 

 

แม้จะเป็นคำตอบที่รู้อยู่แล้ว หลินหว่านก็ยังไม่ยอมเชื่อ ถามอีกว่า “แต่ว่า…ทำไมห่อพัสดุของแม่ฉันเพิ่งจะมาเอาตอนนี้ล่ะคะ” 

 

 

ทนายจ้าวอธิบายว่า “หลังจากที่แม่คุณเสียชีวิตไปแล้ว ทรัพย์สินส่วนตัวของเธอทั้งหมดถูกบ้านตระกูลอันฮุบเอาไป ห่อพัสดุที่ผมส่งให้คุณนั้น ข้างในเป็นทรัพย์สินของแม่คุณส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่พวกเราเองก็เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ คุณเป็นบุตรสาวของเธอ พอพวกเราพบเข้าก็ส่งมันมาให้คุณทันที” 

 

 

พอได้ฟังคำอธิบาย หลินหว่านไม่รู้จะพูดอะไรดี บางทีเมื่อคืนเธอคงคิดฝันไปเอง ถึงกับรู้สึกว่าแม่เธอยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคำอธิบายนี้ เธอก็ได้แต่ยอมรับมัน หลินหว่านพูดอีกว่า “ขอบคุณนะคะทนายจ้าว ขอบคุณที่ส่งของของแม่มาให้ฉัน” 

 

 

“ไม่เป็นไรครับ คุณหลิน แต่คุณก็อย่าเสียใจเรื่องแม่คุณเกินไปนักเลย ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว” ทนายจ้าวพูดปลอบหลินหว่าน 

 

 

สุดท้าย ทนายจ้าวยังเล่าเรื่องแม่ของหลินหว่านตอนยังมีชีวิตอยู่ให้เธอฟังมากมาย ทำให้นอกจากหนังและข่าวในตอนนั้นแล้ว หลินหว่านได้รับรู้เรื่องราวใหม่ๆ ของแม่เธอมากขึ้น