ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

บทที่****180: ซุ่มโจมตี

เรือลำนี้มีความเร็วประมานหนึ่งพันลี้ต่อชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งช้ากว่าดาบบินมาก แต่ประโยชน์ของมันก็คือความมั่นคง ซึ่งไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนที่จะต้องพักเพื่อจัดการกับปราณจิตวิญญาณหลังจากไม่กี่ชั่วโมงที่ขึ้นบิน แต่เรือลำนี้สามารถบินได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันจะเร็วขึ้นเล็กน้อยถ้าหากบินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและคงที่ ระยะทางสูงสุดที่มันสามารถทำได้คือหนึ่งแสนห้าหมื่นลี้ภายในสองถึงสามวัน

ทั้งสามคนมาถึงเทือกเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งมันเต็มไปด้วยความเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก

เทือกเขาแห่งนี้ทอดยาวออกไปไม่กี่พันลี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเล็ก ถ้าหากมนุษย์ต้องการที่จะค้นหาซากศพภายในเทือกเขานี้แน่นอนว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่สำหรับผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างออกไป พวกเขามีหลายวิธีที่จะสามารถช่วยลดระยะเวลาได้

ฉุ่ยจิ้งเริ่มทำการค้นหาทันที ด้วยความสามารถของกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน นางสามารถค้นพบทั้งสองศพได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

ถ้าหากเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แน่นอนว่านางสามารถพบตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ แต่ในตอนนี้ขีดจำกัดของนางอยู่ที่รัศมีห้าร้อยลี้เท่านั้น

ถัดมาเป็นเจ้าอ้วนที่เริ่มดำเนินการ เขาหยิบกระจกวิเศษออกมาพร้อมหยดเลือดลงไปเพื่อเปิดใช้งาน มันสามารถค้นหาศพที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาได้ในรัศมีไม่กี่ลี้ เจ้าอ้วนเพียงทำอย่างนี้ช้า ๆ ไปพร้อมกับฉุ่ยจิ้งที่คอยบอกทิศทาง

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถทำบนเรือหรือดาบบินได้ ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้าช้า ๆ เพื่อตามหาศพ

หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ แม้การค้นหานี้จะทำได้ค่อนข้างช้า แต่มันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อายุขัยของผู้ที่ฝึกฝนนั้นยาวนานมาก ระยะเวลาเพียงเท่านี้ถือได้ว่าเป็นช่วงสั้น ๆ ของชีวิตเท่านั้น

เช่นนี้เจ้าอ้วนพร้อมฉุ่ยจิ้งและหงหยิงจึงเดินรอบเทือกเขานี้อย่างทีละน้อยเพื่อตามหาศพ

หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งวันของการค้นหา ทั้งสามคนไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากพบเจอกับอสูรกายขั้นสี่และสังหารมัน ในคืนนี้พวกเขาทั้งหมดพักผ่อนและจะเริ่มค้นหาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

วันถัดมาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วจากการค้นหาในป่าใหญ่ จากนั้นปรากฏแสงสีดำขึ้นคล้ายกับอ่างน้ำวน

แม้ว่าแสงนั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ แต่ทั้งสามคนไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด หงหยิงเตรียมพร้อมต่อสู้โดยเรียกกระบี่เฟิ่งหมิงออกมา ฉุ่ยจิ้งอยู่ในท่าทางพร้อมรบ ซึ่งทุกอย่างดูราวกับว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม ในส่วนของเจ้าอ้วนนั้นเขามีทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ระฆังทองแดง และสถานะของผู้ฝึกตนสายฟ้า!

ในขณะที่แสงสีดำเข้ามาใกล้ ทั้งสามคนเรียกการใช้งานสมบัติทั้งหมดทันที

อันดับแรกคือฉุ่ยจิ้งเรียกใช้งานกระดองเต่าดำเพื่อห่อหุ้มทั้งสามคนไว้ด้วยลำแสงสีทอง จากนั้นเจ้าอ้วนนำระฆังทองแดงขนาดใหญ่ออกมาให้มันเคลื่อนที่อยู่บนมือขวาของเขา พร้อมด้วยมือซ้ายแอบถือภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าไว้ สำหรับหงหยิงนางอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงดั่งเหยี่ยวที่พร้อมโฉบศัตรู

แสงสีดำไม่ได้ปล่อยคลื่นอะไรออกมา หลังจากที่มันเคลื่อนที่มาได้ระยะหนึ่งมันกลายเป็นผืนผ้าสีดำตรงหน้าของทั้งสามคน

แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ตรงผืนผ้าสีดำ หลังจากที่เตรียมการป้องกันแล้วพวกเขาทั้งสามบินขึ้นฟ้าเพื่อจะหลบหนีจากผืนผ้าสีดำอันนี้

แต่ในขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหว ความรู้สึกกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาทันที เพื่อบังคับให้ทั้งหมดยืนอยู่บนพื้นดิน ภายใต้แรงกดดันขนาดใหญ่ ทั้งสามคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากลายเป็นเด็กทารก ถ้าหากไม่ใช่พลังการป้องกันที่น่าเกรงขามของกระดองเต่าดำและความจริงที่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ต้องการที่จะสังหารพวกเขา แน่นอนว่าทั้งหมดจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงกดดันในครั้งนี้ การปรากฏตัวขึ้นมาของศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ทั้งสามคนอยู่ในสภาวะลำบากทันที

จากนั้นเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าจะจับปลาเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าในครั้งนี้ข้าจับปลาได้ถึงสามตัว! ยอดเยี่ยมมาก!”

หลังจากได้ยินเสียงนั้นทั้งสามคนรู้สึกว่าผืนผ้าสีดำค่อยเลือนหายไปอย่างช้า ๆ บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นโดยพลัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้แสงสีดำจะถอยกลับไป แต่ทั้งสามคนกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แปลกประหลาดรอบตัวพวกเขา ทั้งสามเข้าใจได้ทันทีว่าถ้าหากเคลื่อนไหวร่างกายพวกเขาจะถูกโจมตีทันที ดังนั้นทั้งหมดจึงหยุดความคิดที่จะหลบหนีโดยเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อสังเกตสถานการณ์ หลังจากที่ทั้งสามรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเขาตื่นกลัวทันที

หลังจากที่แสงสีดำค่อยถอยกลับไป ปรากฏผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งสามคนต่อหน้าพวกเขาซึ่งห่างออกไปไม่กี่ร้อยฟุต แม้จะไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นใครแต่ว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคน และอีกหนึ่งคนคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแห่งสำนักพันปีศาจซึ่งเจ้าอ้วนเคยพบเขาในการล่าผลไม้วิญญาณ นั่นคือตาเฒ่าเฟิง!

ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหนึ่งคนและผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนวางแผนซุ่มโจมตีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ด้วยกำลังขนาดนี้พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างไร? เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งสามคนรู้สึกสิ้นหวังทันที! ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างกันเกินไป เพียงแค่ระดับพลังก็ห่างชั้นจนไม่อาจเทียบได้! ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว แม้ว่าทั้งสามคนจะครอบครองสมบัติวิญญาณก็ตาม!

ก่อนหน้านี้นักบวชฮัวอวิ๋นสร้างความวุ่นวายให้กับเขา จึงเปิดช่องโหว่ให้เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อทำการซุ่มโจมตีสำเร็จ การโจมตีในครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียนิ้วไปหนึ่งนิ้ว แต่ในตอนนี้พวกเขาทั้งสามไม่มีนักบวชฮัวอวิ๋นคอยช่วยเหลือ และบุคคลด้านหน้านี้เปรียบได้กับนักล่าชั้นเลิศ! ทั้งสามคนจึงตกใจอย่างมากเมื่อเห็นอาวุโสเฟิงปรากฏอยู่ตรงหน้า

เจ้าอ้วนมีเพียงหนึ่งความคิดอยู่ภายในใจเท่านั้น คือเหตุใดผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจึงมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้?

แน่นอนว่าเทือกเขานี้เต็มไปด้วยวัสดุคุณภาพสูงมากมาย แต่มันเป็นประโยชน์กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่อยากจะเสียเวลากับสถานที่แห่งนี้ แต่นี่คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน!

นอกเหนือจากนั้นลำแสงสีดำที่ปรากฏขึ้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจวางมันไว้ก่อนล่วงหน้า กล่าวอีกอย่างก็คือทุกคนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าอ้วนจะมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้! นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมคนจากสำนักพันปีศาจถึงรู้ว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่? แล้วเหตุใดฉุ่ยจิ้งจึงไม่สามารถมองเห็นได้จากการทำนาย? และความจริงก็คือบุคคลเหล่านี้สามารถสังหารเขาได้โดยตรงแต่กลับเลือกใช้ลำแสงสีดำเพื่อซุ่มโจมตีทั้งสาม เกิดคำถามมากมายขึ้นภายในใจของเจ้าอ้วน

ในขณะนั้น ใบหน้าของฉุ่ยจิ้งเปลี่ยนไปพร้อมกล่าวออกมาเบา ๆ “ไม่ดีแล้ว ข้าไม่รู้ว่าแสงสีดำนั่นมีความสามารถอะไรแต่มันป้องกันไม่ให้เราเคลื่อนย้ายได้!”

“เจ้าหมายความว่าอะไร?” เจ้าอ้วนถาม

“ข้าหมายความว่าเราไม่สามารถใช้ทักษะการเคลื่อนย้ายใดได้เลยภายใต้แสงสีดำนี้รวมไปถึงยันต์หยกเคลื่อนย้ายด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างหมดหวัง

ในขณะที่ได้ยินว่ายันต์หยกเคลื่อนย้ายไม่สามารถใช้งานได้ ปรากฏความสิ้นหวังขึ้นภายในใจของเจ้าอ้วนและหงหยิงอย่างรุนแรง

หลังจากที่อาวุโสเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวล้อเลียนอย่างสนุกสนาน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าวางแผนใช้แสงสีดำนี้เพื่อไม่ให้ไขมันบัดซบมันหลบหนีได้ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะไประงับยันต์หยกเคลื่อนย้ายของเจ้าด้วย สวรรค์ช่างมีตา!”

หลังจากที่ทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดโกรธจัดทันทีพร้อมกับคิดในใจ ‘ถ้าหากสวรรค์มีตาจริง เหล่าคนชั่วพวกนี้ควรจะถูกฟ้าผ่าตายไปซะ!’

แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับบุคคลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นเขาแสดงออกอย่างสงบเสงี่ยมและทำความเคารพ “เคารพอาวุโส ท่านคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน พวกข้าเป็นเพียงบุคคลเล็กจ้อยเท่านั้น ด้วยชื่อเสียงทั้งหมดของท่าน ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่กระทำการน่ารังเกียจด้วยการข่มเหงเรา ถูกต้องหรือไม่?”

เจ้าอ้วนตั้งใจกล่าวว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นมือใหม่ หวังว่าเขาจะไม่ทำลายชื่อเสียงของตนเองเพราะเรื่องเท่านี้แม้ว่าความหวังจะมีอยู่น้อยมาก แต่เจ้าอ้วนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวเช่นนี้ออกไป

“ฮ่าฮ่าฮ่า ชื่อเสียงงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสเฟิงระเบิดหัวเราะออกมาทันที หลังจากนั้นเขาตอบกลับอย่างโกรธจัด “แม้กระทั่งตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากบุคคลที่เรียกตนเองว่ามือใหม่งั้นหรือ? ข้ามีชื่อเสียงแบบไหนกัน? ในตอนนี้ข้าได้กลายเป็นเสียงหัวเราะของบรรดาผู้ฝึกตนทั่วโลกแล้ว!”

เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้กำลังรู้สึกหดหู่ ความจริงก็คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินโดนผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนสองคนตัดนิ้วนั้นถือได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง ในขณะที่เรื่องราวเหล่านี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างหัวเราะเขา สำหรับอาวุโสเฟิงนับได้ว่าเป็นบุคคลที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในโลกแห่งการฝึกตนอย่างมาก แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะเข้ามาแทนที่ แล้วเขาจะสามารถเก็บงำความโกรธนี้ไว้ได้อย่างไร?

แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีความกล้าหาญสักเพียงใด แต่ในตอนนี้เขาไม่อาจทำสิ่งใดอื่นได้นอกจากร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

แต่อาวุโสเฟิงยังคงไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขากล่าวกับผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองคนพร้อมคำรามออกมา “เจ้าทั้งสองคนจงดูหน้าพวกมันซะ! ในตอนแรกข้ามีศิษย์ถึงสี่คน แต่ข้ากลับต้องสูญเสียศิษย์ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ถึงสองคน! ซึ่งสองคนนั้นถูกสังหารโดยเพื่อนตัวน้อยเหล่านี้!”

ภายในหัวใจของเจ้าอ้วนรู้สึกหนาวเหน็บและหดหู่อย่างมากในตอนนี้

เฒ่าเฟิงยกมือขวาขึ้นและเปิดเผยนิ้วชี้ที่หายไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มชั่วช้าออกมา “ดูนี่ซะ นิ้วชี้ของข้าไม่มีวันงอกออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่มียาที่จะทำให้มันงอกออกมา แต่ว่าข้าต้องการเก็บมันไว้อย่างนี้ ข้าจะทำให้มันกลับมาอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าได้กลายเป็นกองขี้เถ้าแล้วเท่านั้น!”

เมื่อเห็นว่าเฒ่าเฟิงโกรธแค้นเขามากเพียงใด ร่างกายของเจ้าอ้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพร้อมกับขาอันแข็งแกร่งเริ่มสั่นไหว ในตอนนี้เขาไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าอาวุโสเฟิงกล่าวเสร็จแล้ว เจ้าอ้วนรีบโต้ตอบทันที “อาวุโส ท่านได้โปรดฟังข้าก่อน ผู้น้อยนี้รับทราบความผิดของตนเองแล้ว แน่นอนว่าชีวิตของข้าในตอนนี้ขึ้นอยู่กับท่าน!”