ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
บทที่****179: ลักลอบออกจากสำนัก
“ข้ารู้ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ? ข้าไม่สามารถที่จะหลบซ่อนอยู่ในกระดองเต่าได้ตลอดเวลาเพียงแค่พวกเขาทั้งหมดรอคอยอยู่ด้านนอก ถูกต้องหรือไม่?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคิดว่าข้าพร้อมแล้ว ถ้าหากพวกเขาคิดที่จะต่อสู้ แน่นอนว่ามันก็จะต้องจบลงด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายตกไป!”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีกว่าการนั่งรอความตายมาเยือนท่านถึงที่ ทำไมจึงไม่เสี่ยงออกไปเสียเลย! ศิษย์พี่มีหัวใจที่กล้าหาญและเลือกที่จะตัดสินโชคชะตาของตนเองได้! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องผู้นี้ก็จะไม่ขัดใจศิษย์พี่ที่จะออกตามหาศพของครอบครัวกับท่านด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาด้วยความสดใส
ในขณะที่หงหยิงได้ยินว่าฉุ่ยจิ้งกล่าวสิ่งใด นางไม่ยอมแพ้และกล่าวเสริม “ข้าจะไปด้วย!”
“พวกเจ้าจะไปเพื่ออะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเป็นบุตรของพวกเขา ทางเลือกของข้ามีเพียงออกเดินทางเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลากตนเองเข้ามาในเรื่องนี้!”
“ศิษย์พี่กล่าวผิดแล้ว ภายในการล่าผลไม้วิญญาณท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ในตอนนี้ท่านมีปัญหาแล้วจะให้ข้าทนมองอยู่เฉยได้อย่างไร?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“เป็นเช่นนั้น พี่ชายอ้วนเคยช่วยชีวิตข้าไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน ข้าไม่อาจทนเห็นท่านออกไปเผชิญหน้ากับอันตรายโดยลำพังได้!” หงหยิงรีบกล่าว
“แต่เราไม่รู้ว่าเราจะพบเจอศัตรูแบบไหนในครั้งนี้ พวกเจ้าอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ ในการเดินทางครั้งนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่ว่ายังไงข้าขอขอบคุณสำหรับความหวังดีของพวกเจ้า แต่ขอให้ข้าทำภารกิจนี้ด้วยตนเองเถอะ!”
“ท่านประเมินข้าต่ำเกินไป!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสองคนมีสมบัติวิญญาณสามชิ้นในมือ เราทั้งสองสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ ถ้าหากท่านเพียงคนเดียวแน่นอนว่าไม่อาจทำได้เมื่อต้องพบเจอกับผู้ฝึกตนระดับจินตันและจะไม่มีแม้กระทั่งหนทางหลบหนี!”
“ถูกต้องแล้ว กระบี่เฟิ่งหมิงของข้าไม่ได้อ่อนแอ พี่ชายอ้วนให้ข้าไปด้วยเถอะ!” หงหยิงดึงแขนเสื้อเจ้าอ้วนอย่างงอแง
“ไม่ ไม่ได้ เจ้าเปรียบเสมือนอัญมณีของจ้าวสำนัก แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายกับข้า!” เจ้าอ้วนรีบตอบทันที
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเราจะหนีตามกันไปงั้นหรือ?” หงหยิงกล่าวออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร
ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเงียบงันไปทันที หงหยิงตระหนักได้ทันทีว่านางกล่าวผิดพร้อมกับรีบโบกมือแก้ตัวทันที “ข้าพูดผิด ข้าคิดว่าเราควรจะแอบหนีออกจากบ้าน!”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฉุ่ยจิ้งรู้สึกอยากแกล้งนางอย่างช่วยไม่ได้ “โอ้ มันไม่เหมือนกันงั้นหรือ?”
“อ่า ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งท่านก็คิดเช่นกันงั้นหรือ!” หงหยิงเริ่มอับอายในคำพูดของตนเองจึงลากให้ฉุ่ยจิ้งเข้ามาร่วมด้วย
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังหยอกล้อกัน เจ้าอ้วนรู้สึกว่าวิญญาณของเขากำลังล่องลอยไปไกลแสนไกล
การพบปะกันในครั้งนี้จบลงด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าเจ้าอ้วนจะยืนยันว่าไม่อนุญาตให้หญิงสาวทั้งสองคนตามเขาไปและต้องการที่จะออกไปคนเดียว แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจจัดการกับความตกแยที่พวกนางสร้างขึ้นได้จึงได้แต่จำยอมโดยดี
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนตอบรับทั้งสองไปอย่างนั้น เขาไม่มีความกล้าหาญที่จะนำพาหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน ก่อนอื่นที่ทุกคนรู้ดีคือทั้งฉุ่ยจิ้งและหงหยิงคืออนาคตของสำนักเสวียนเทียน! และสถานะของนางสำคัญอย่างมาก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนางแน่นอนว่ามันจะเป็นปัญหาขนาดใหญ่ให้สำนัก! ดังนั้นถ้าหากเจ้าอ้วนนำพาทั้งสองคนไปเสี่ยงอันตรายด้วย เขาอาจจะต้องได้รับการดูแลจากจ้าวสำนักและเทพธิดาเหมยฮวาอย่างแน่นอน!
ดังนั้นเจ้าอ้วนเพียงรับปากพวกนางอย่างขอไปทีพร้อมกับวางแผนที่จะหลบหนีออกไปแต่เพียงผู้เดียว
ไม่กี่วันถัดมา เจ้าอ้วนจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางและค้นหาข้อมูลของครอบครัวเพิ่มเติมพร้อมทั้งศึกษาภารกิจที่ครอบครัวของเขาได้รับก่อนที่จะหายตัวไป
แต่เพราะว่าเรื่องราวผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบปี บุคคลที่เคยดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการค้นหาข้อมูลในครั้งนี้ แต่ราวกับว่าสวรรค์มีตาเห็นความพยายามอย่างหนักของเจ้าอ้วนจึงทำให้เขาได้รับข้อมูลบางอย่างจากผู้ฝึกตนระดับจินตัน แม้ว่าเขาจะรู้สึกราวกับว่าถูกปล้นแต่เจ้าอ้วนก็พอใจกับข้อมูลเหล่านี้อย่างมาก
ในคืนที่เงียบสงบเจ้าอ้วนออกจากลานม่านหมอกของตนเองอย่างเงียบเชียบพร้อมกับบินไปยังทิศตะวันตก ซึ่งภารกิจสุดท้ายของครอบครัวเขาคือค้นหาหินดาวตกที่ล่วงหล่นลงมาบริเวณเทือกเขานั้น ซึ่งมันเป็นวัสดุคุณภาพสูงอีกด้วย
ในขณะนี้เจ้าอ้วนอยู่บนดาบแห่งธาตุทั้งห้าด้วยความเร็วเจ็ดพันลี้ต่อชั่วโมง เขาไม่สามารถใช้ความเร็วสูงสุดของมันได้ ซึ่งความเร็วสูงสุดของมันคือสองหมื่นลี้ต่อชั่วโมง แต่เพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าไม่แย่นัก เพียงคืนเดียวเขาสามารถเดินทางได้ไกลกว่าสองหมื่นลี้
แม้ว่าจะมีน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าคอยเติมเต็มปราณจิตวิญญาณของเขา แต่ในตอนนี้เขาถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว ความเมื่อยล้าของร่างกายไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย เขาหยุดลงข้างทะเลสาปพร้อมกับเริ่มรับประทานอาหารเช้า
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังทำอาหารอยู่นั้น เขามองเห็นบุคคลสองคนกำลังเดินออกมาจากป่าและคว้ามัจฉาไร้เนตรไปจากมือของเขา
เจ้าอ้วนตกใจทันทีและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว เขามองเห็นว่าทั้งสองคนนั้นคือฉุ่ยจิ้งและหงหยิง เขาตกใจอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโจมตีทั้งสองคนนี้ได้ เขาทำได้เพียงหยุดและนั่งกินอาหารเช้ากับพวกนางอย่างโง่งม
หลังจากที่นั่งกินกันไปครู่หนึ่ง เจ้าอ้วนกล่าวออกมาว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ฮี่ฮี่ พวกเรามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว!” หงหยิงกล่าวอย่างสดใส “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งทำนายเส้นทางของท่านไว้ ดังนั้นพวกเราก็เลยมารอท่านตั้งแต่เมื่อวาน นอนอยู่บนต้นไม้ ฮี่ฮี่ พวกเราเพียงรอให้ท่านทำอาหารเช้าและปรากฏตัวออกมา!”
“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหมดคำที่จะกล่าวทันที
“ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ท่านคิดว่าจะหลบหนีจากศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งได้เพียงแค่ท่านออกเดินทางในกลางดึก!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านลืมสิ่งใดไปหรือไม่?”
ในตอนนี้เขาถูกจับกุมอย่างไม่อาจขัดขืน แล้วเขาจะกล่าวสิ่งใดได้อีก? เจ้าอ้วนได้แต่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวว่า “ข้าเป็นเพียงคนโง่งม ข้าผิดเองและจะไม่ทำแบบนี้อีก!”
“ฮี่ฮี่ เป็นเรื่องที่ดีมากที่รู้ความผิดของตนเอง!” หงหยิงหัวเราะ “ท่านสามารถหลบหนีความตายได้แต่ไม่สามารถหลบหนีการทำโทษได้ โทษของท่านก็คือทำอาหารเช้าให้พวกข้า!”
“อือ!” ฉุ่ยจิ้งพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ท่านทำให้เราทั้งสองคนต้องนอนอยู่ภายในป่าตลอดทั้งคืน เรื่องนี้ศิษย์พี่จะต้องชดเชยให้กับเรา!”
เจ้าอ้วนรู้สึกเจ็บปวดอยู่เต็มหัวใจของเขา! เขาคิดกับตนเองอย่างหนักใจ ‘ราวกับว่าข้าขอร้องให้พวกเจ้าทั้งสองมารอคอยข้าที่นี่? เหตุใดมันจึงเป็นความผิดของข้า?’
แน่นอนเจ้าอ้วนสามารถพูดมันได้เพียงในใจเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจะต้องยอมรับผิดเนื่องจากเขาสัญญาแล้วว่าจะออกเดินทางด้วยกัน แต่ทว่าเขากลับหลบหนีออกมาคนเดียว เขาทำได้เพียงกล่าวสัญญาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง ข้าจะทำอาหารเช้าให้กับเจ้าทั้งสอง!”
“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วนยอดเยี่ยมเสมอ!” หงหยิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณศิษย์พี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเราจะไม่เอาเปรียบศิษย์พี่ สิ่งนี้สำหรับท่าน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางยื่นยันต์หยกให้กับเจ้าอ้วน
เจ้าอ้วนมองไปที่ยันต์ เขาไม่รู้จักมันแม้แต่น้อยจึงถามออกไปว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง มันคือสิ่งใดหรือ?”
“มันคือยันต์หยกที่เปิดการใช้งานโดยใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปเล็กน้อย ความสามารถของมันก็คือสามารถส่งเรากลับไปยังประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเสวียนเทียนได้!” ฉุ่ยจิ้งอธิบายเพิ่ม “นี่เป็นสิ่งที่ยากจะปรับแต่งและจะแตกหักเมื่อใช้งานมัน ท่านอาจารย์มอบมันให้ข้าสามชิ้น ซึ่งหมายถึงเราทั้งสามคน! ด้วยอุปกรณ์นี้เราจะสามารถเอาชีวิตรอดได้เมื่อต้องพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง!”
“โอ้ ช่างเป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม!” เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นพร้อมเก็บมันทันที “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเก็บมันไว้อย่างไร้ยางอาย ขอบคุณศิษย์น้องมาก!”
“ฮ่าฮ่า ด้วยความยินดี!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หงหยิงกล่าวออกมาอย่างซุกซน “อย่าเพิ่งคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านยังต้องทำอาหารเช้าสำหรับเราทั้งสองคนอยู่!”
“ผิดแล้ว ไม่ใช่เพียงอาหารเช้า แต่เป็นมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีกด้วย ถ้าไม่ทำเช่นนี้มันจะไม่สมกับที่ข้ามอบยันต์หยกที่ข้ามอบให้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า ถูกต้องแล้ว ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งกล่าวได้ถูกต้อง อาหารทุกมื้อของเราจะต้องถูกเตรียมโดยพี่ชายอ้วน!” หงหยิงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ในตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะมีความสุข แต่เจ้าอ้วนกลับรู้สึกหดหู่อย่างมาก ท่ามกลางสภาวะซึมเศร้าที่เขามี ทั้งสองคนทำให้หัวใจของเขาชุ่มชื้นขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางเพื่อออกไปท่องเที่ยว เขากำลังจะเดินทางไกลแสนไกลซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ และจะต้องคลายปมปริศนาเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองให้ได้ เวลานี้สำนักพันปีศาจมีรางวัลค่าหัวสำหรับศีรษะของพวกเขาทั้งสามคน ความเสี่ยงของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อออกเดินทางกับเจ้าอ้วน เป็นเพราะว่าทั้งสองคนเป็นห่วงเจ้าอ้วนจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ตามออกมาเพื่อเผชิญกับอันตรายเหล่านี้อย่างแน่นอน
ในตอนนี้ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงได้เดินทางออกมาแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งพวกนางกลับไป เจ้าอ้วนจึงยอมบอกเป้าหมายที่เขาจะไป ซึ่งก็คือเทือกเขาทางทิศตะวันตก
เนื่องจากตอนนี้พวกเขากลายเป็นทีมเดียวกัน แต่ปัญหาก็คือความเร็วของดาบบินแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้แน่นอนว่าสามารถเกิดการต่อสู้ได้ตลอดเวลา ปัญหาก็คือจะถูกซุ่มโจมตีจากหนทางด้านหน้าและบุคคลที่อยู่รั้งท้ายจะไม่มีเวลาที่จะเข้าช่วยเหลือได้ทัน
เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ เจ้าอ้วนตัดสินใจที่จะนำนาวายักษ์สีดำออกมา นี่เป็นสมบัติจากสงครามเมื่อครั้งที่เขาได้ต่อสู้กับนายน้อยแห่งสำนักจักรกล
แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติวิเศษยักษ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่กลับไม่เป็นปัญหาที่จะบรรทุกคนทั้งสาม อีกทั้งไม่จำเป็นจะต้องใช้ปราณจิตวิญญาณของทั้งสามคนอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ทั้งสามคนอยู่ในสภาพที่พร้อมรบตลอดเวลา แม้ว่าจะต้องสูญเสียหินจิตวิญญาณจำนวนมากแต่ก็คุ้มค่าที่จะใช้มัน
ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็นนาวายักษ์สีดำนี้ครั้งแรก หลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้น ทั้งสามคนขึ้นเรือพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาทางทิศตะวันตกทันที