ตอนที่ 24 โดย ProjectZyphon
ความจริงผมได้ตัดสินใจแล้ว แต่ยังเหลือสิ่งสำคัญอยู่อีกหนึ่งอย่าง พี่อาจจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ
[ถึงพี่จะอยากให้นายอยู่ข้างๆ…แต่ก็คงจะดีกว่าถ้านายจะตามฝั่งใต้ไปนะ แต่แน่นอนถ้านายอยู่ด้วยคงจะดีที่สุด]
“…วันนี้ผมว่าจะแวะไปที่อีสตันเทลลอว์เสียหน่อย”
[อ้า งั้นเหรอ]
“อืม อาจจะช้าหน่อย แต่ผมจะตัดสินใจภายในวันพรุ่งนี้ ไว้จะติดต่อไปแล้วกัน”
[ต้องติดต่อนะ]
หลังจากที่ผมสัญญากับพี่ไป จู่ๆ เขาก็บอกว่าต้องออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้ ทางตะวันออกเองก็ดูเหมือนจะยุ่งมากเช่นกัน
ผมบอกให้เขาไปก่อนที่จะหยุดเวทที่รายล้อมลูกแก้วอยู่
เจ้าพวกโง่ ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน…
ผมผลักลูกแก้วที่ดับลงแล้วไปอีกทาง ก่อนจะจิ๊ปาก
ไม่ว่าเผ่าสิงโตทองจะตัดสินใจเช่นไร แต่การตัดขาดวาร์ปเกตนับเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี
แม้วาร์ปเกตจะถูกตัดขาดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะย้ายออกกันไม่ได้ อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็สามารถเดินไปได้โดยตรง ดังเช่นที่ผมเคยทำตอนอยู่ที่มิวล์
พูดก็พูดเถอะ ในอดีตนั้นเผ่าสิงโตทองเคยเป็นเผ่าที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดและบัญชาการทวีปทางเหนือ เรียกได้ว่าดีที่สุดเสียด้วยซ้ำไป
มีคำพูดอยู่ว่า คนรวยล้มอย่างไรก็ยังอยู่ไปได้อีกสามรุ่น และเพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชร แต่ดูแล้วคำพูดเหล่านี้ไม่น่าจะใช้ได้กับเผ่าสิงโตทอง
ถ้าจะให้พูดตามตรงก็เพราะความสามารถที่มีมากมายของโดยองรก
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของผม หลังจากคิดได้เช่นนั้น ผมก็ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ก่อนจะหลับตาลงเพื่อจัดการความคิดในหัวตัวเองสักพัก
เวลาที่จะไปเยือนอีสตันเทลลอว์กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แม้จะไม่นานมาก แต่แคลนเฮาส์ของอีสตันเทลลอว์ดูวุ่นวายต่างจากเมื่อครั้งก่อนที่ผมมาเยือนอย่างมากทีเดียว เหล่าผู้เล่นทุกคนที่มีตราของเผ่าติดอยู่ที่หน้าอกนั้นต่างพากันเดินไปมาอย่างวุ่นวาย เนื่องจากผู้เล่นที่ออกไปทำงานนอกสถานที่ได้กลับเข้ามาทั้งหมดแล้ว และยังมีความวุ่นวายจากผู้เล่นที่ไปทำธุระยังเผ่าตัวแทนอีกด้วย
เพราะแบบนี้การเรียกตัวของฉันถึงได้ช้าสินะ
ผมคิดว่าที่เรียกตัวผมช้าเป็นเพราะว่าพวกเขายุ่งกันขนาดนี้นั่นเอง ดังนั้นหลังจากที่สลัดความเศร้าที่มีอยู่เท่าน้ำตาลูกเจี๊ยบของตัวเองทิ้งไป ผมก็จับที่กลอนประตูแล้วบิดออกตามคำแนะนำของลูกจ้าง ในตอนนั้นเอง
“โอ๊ย ช่วยฟังฉันหน่อยสิคะ! อะไรนะ ไม่ได้สิทธิอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ น่าหงุดหงิดเสียจริง! พวกที่อยู่ข้างนอกตอนนี้นี่…!”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ช่วยเงียบหน่อยเถอะ บางทีแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ที่เธอเฝ้ารอคอยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาอาจจะมาก็ได้นะ”
“ใครรอกันล่ะคะ! แล้วตอนนี้เขาก็ยังไม่มาเสียหน่อย!”
แกร่ก
ทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา เสียงที่คุ้นเคยก็หวีดดังออกมาจากภายในห้อง โชคยังดี(?)ที่นั่นไม่ใช่เสียงของฮันโซยอง ผมจึงลอบมองเข้าไปข้างใน
ฮันโซยองนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย และพัคดายอนที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักราวกับหล่อนกำลังโกรธอะไรบางอย่าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เป็นเพียงวีดิโอที่ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนตะโกนเมื่อครู่นี้
“….”
เงียบกันไปสักพัก เวลาล่วงเลยผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดพัคดายอนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างอะไรกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีเลยสักนิด
คิ้วที่เลิกขึ้นสูงค่อยๆ ต่ำลง ขาขวาที่เคยยืนค้ำไปอีกข้างหนึ่งก็ค่อยๆ เหยียดตรง
หลังจากที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจบลง ริมฝีปากเล็กของพัคดายอนก็เปิดขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“มาแล้วสินะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่”
“อ้า…ครับ สวัสดีครับ”
“นานแล้วนะคะที่ไม่ได้เจอกัน ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง ดูเหมือนจะต้องไปแล้วน่ะค่ะ โปรดเข้าใจด้วยนะคะ”
“…นะ แน่นอนอยู่แล้วครับ”
พัคดายอนที่พูดอย่างเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้เผยรอยยิ้มที่ดูสง่างามก่อนจะค่อยๆ สบตากับผม ราวกับหญิงสาวที่ตวาดแผดเสียงอยู่เมื่อครู่ไม่เคยมีจริง และพยายามจะเดินเหมือนนางแบบให้ผมเห็นด้วยขาสั้นๆ ของหล่อน หล่อนสูงประมาณ 155 ซม. ซึ่งไม่ได้ผลเท่าไรนัก ไปจนถึงการปิดประตูอย่างสุภาพเรียบร้อยของหล่อนด้วยเช่นกัน
แต่หลังจากที่ประตูถูกปิดลง ผมกลับได้ยินเสียงวิ่งดังลั่นไปตามทางเดินเสียนี่
และแน่นอน เสียงพูด ‘บ้าเอ๊ย! บ้าไปแล้ว!’ และ ‘เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจฉันเลย นี่มันเรื่องอะไรวะ! แม่งเอ๊ย!’ ดังมาให้ได้ยิน
หลังจากผ่านพ้นความวุ่นวายไปสักพัก ผมจึงได้เริ่มพูดคุยกับฮันโซยอง
“ช่วงนี้ดูจะยุ่งมากเลยนะครับ”
“ก็ว่าอย่างนั้นค่ะ ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้สักอย่างเลยค่ะ”
แม้จะไม่มาก แต่ผมก็เข้าใจสิ่งที่ฮันโซยองพูด เพราะระหว่างมาที่นี่ผมก็ได้เห็นผู้เล่นหลายคนที่กำลังเมาเหล้าแล้วส่งเสียงดังโวยวายกันอยู่
“แต่ถึงยังไง…ฉันก็ตั้งใจจะติดต่อคุณไปให้เร็วกว่านี้นะคะ แต่สถานการณ์ต่างๆ ค่อนข้างวุ่นวายเลยได้แต่เลื่อนไปเลื่อนมาแบบนี้น่ะค่ะ”
“ผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่…คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการจัดตารางหรือเปล่าครับ”
“หืม? ทราบแล้วหรือคะ”
“ถ้าหากหมายถึงเรื่องแผนการโลกใบใหม่ล่ะก็ ผมรู้มาจากพี่แล้วน่ะครับ”
ทันทีที่หล่อนพยักหน้าตอบผม ก็ปรากฏสีที่สะดุดตาขึ้นที่ขอบตาของฮันโซยองชั่วแวบหนึ่ง
โลกใบใหม่เป็นแผนการที่ถูกคิดขึ้นเพื่อจัดการกับผู้เล่นทั้งหมดของทวีปทางตะวันตกที่เข้ามารุกรานในครั้งนี้
ถ้าหากจะให้ผมอธิบายเพิ่มเติมล่ะก็ ทวีปทางเหนือตอนนี้ถูกยึดครองโดยมิวล์, เบธ, โดโรธี และฮาโล ส่วนบาร์บาร่าตอนนี้ก็เหลือเพียงนับถอยหลังรอการล่มสลายเท่านั้น และหากจะช่วงชิงบาร์บาร่ากลับคืนมา ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่า เหล่าผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกจะต้องถอยหลังแน่
แล้วถ้าหากพวกเขาข้ามไปยังทวีปตะวันตกหลังจากข้ามไปเมืองทางตะวันตกผ่านวาร์ปเกตแล้วล่ะ เหล่าผู้เล่นของทวีปทางเหนือคงจะกลายเป็นหมาล่าลูกเจี๊ยบเป็นแน่
ดังนั้น ‘ช่วงเวลา’ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และเพื่อช่วงเวลานั้นที่คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ บทบาทหน้าที่ของแต่ละเมืองก็ได้ถูกแจกแจงออกไป
ถ้าพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝั่งตะวันออกชิงบาร์บาร่า, ฝั่งใต้ชิงเบธและโดโรธี, ฝั่งเหนือชิงมิวล์กลับคืนมานั่นเอง
หากจะเรียงตามลำดับนั้นก็คือ ในขณะที่ฝั่งตะวันออกกำลังถ่วงเวลาในบาร์บาร่า ฝั่งเหนือและใต้ก็จะเข้าชิงเมืองของตนคืนก่อนและขัดขวางการถอยทัพกลับของเหล่าผู้เล่นจากทวีปทางตะวันตก ทันทีหลังจากที่ชิงเมืองกลับมาได้แล้ว ฝั่งเหนือและใต้จะเข้าสนับสนุนในการรุกรานบาร์บาร่าต่อไป และในเวลาเดียวกันนั้นก็ให้จัดการกับผู้เล่นและพวกเร่ร่อนจากทวีปทางตะวันตกให้ราบคาบ
นี่คือประเด็นสำคัญของยุทธการโลกใบใหม่นี้
“ถ้าอย่างนั้น…เรื่องราวก็จะดำเนินเร็วขึ้นสินะคะ”
“นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการครับ”
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเพลียของฮันโซยองราวกับว่าหล่อนถูกใจคำตอบของผมมากมาย
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ฉันขอถามหน่อยนะคะว่าแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้…”
ฮันโซยองหยุดพูดไปกลางคันสักพักระหว่างที่เห็นหน้าผมขณะที่กำลังพูด และถามขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน
“ฉันถามผิดน่ะค่ะ จะถามอีกครั้งล่ะนะคะ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่จะเข้าร่วมกับพวกเราในการโจมตีทวีปทางตะวันตกหรือเปล่าคะ หรือว่าจะอยู่ที่ส่วนกลางคะ”
ผมตอบออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้สักนิด เพราะรู้สึกถึงความกังวลเล็กๆ ในน้ำเสียงของหล่อนได้
“ผม…”
เช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ และอาบน้ำเรียบร้อย ผมก็เดินไปที่ห้องประชุมชั้นสาม หลังจากกลับมาจากอีสตันเทลลอว์เมื่อวานนี้ เพราะมีการประกาศออกมาล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องประชุม จึงได้เห็นว่าทุกคนได้เข้าร่วมโดยไม่ขาดตกไปเลยแม้แต่คนเดียว
“ที่ผมเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ ก็เพื่อที่จะเตือนทุกคนว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว”
หลังจากนั่งที่แล้วผมจึงพูดขึ้นทันที
บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องประชุม บรรยากาศจริงจังราวกับห้องผ่าตัดก่อนจะมีการผ่าตัดใหญ่เกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าผมจะพูดอ้อมๆ แต่ในนี้ก็ไม่มีใครโง่เกินกว่าจะไม่เข้าใจ
“อย่างที่ทุกคนก็ทราบกันดี เมื่อวานผมได้รับการติดต่ออย่างเป็นทางการจากอีสตันเทลลอว์ และอย่างที่ผมได้เคยพูดไปก่อนหน้านี้ ว่าเมอร์เซนต์นารี่คิดจะเข้าร่วมด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข”
“…”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำตอบ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างช้าๆ
“เอาล่ะ ผมต้องอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด…แต่ก่อนอื่นผมมีบางอย่างอยากจะบอกกับทุกคนครับ เป็นบางอย่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้ครับ”
หลังจากที่พูดจบ ผมก็ควานหาบันทึกจากด้านในเสื้อตรงหน้าอก ก่อนจะนำออกมาถือไว้ มันเป็นบันทึกที่มีเรื่องราวที่เพิ่งเขียนเสร็จสมบูรณ์เมื่อคืนนี้ และสิ่งที่ผมคิดไว้ตั้งแต่คราวก่อนก็ถูกจดเอาไว้ด้วย
ในที่นี้มีสมาชิกของเมอร์เซนต์นารี่อยู่ทั้งหมดสิบสามคน ผมสบตากับพวกเขาที่ถูกแบ่งอยู่ทั้งข้างซ้ายและข้างขวาทีละคนๆ ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นนิ่งๆ
“ก่อนที่ผมจะอธิบายสถานการณ์ ตั้งแต่ตอนนี้ไปผมจะขอประกาศชื่อผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เสียก่อนนะครับ”
“ผู้เล่นชินซังยง ผู้เล่นอีมันซอง ผู้เล่นแพคฮันกยอล”
เมื่อผมขานชื่อของทั้งสามคนออกมา ผมสามารถเห็นได้เลยว่ามีบางคนที่สะดุ้งเฮือก และในขณะเดียวกันก็เกิดความตึงเครียดที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับก่อนหน้านี้เกิดขึ้นระหว่างเหล่าสมาชิก
คำว่าสงครามในฮอลล์เพลนนั้น ความหมายของมันนับได้ว่าไม่เบาเลยทีเดียว มันแตกต่างจากการเดินทางไกลเพื่อไปรบหรือการออกสำรวจอย่างสิ้นเชิง เป็นการต่อสู้ที่อัตราความเป็นไปได้ในการตายสูงที่สุด ซึ่งหากพลาดเพียงนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิต
แม้ผมจะเข้าใจความรู้สึกของสมาชิกทุกคนดีเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถให้ทุกสิ่งตามที่พวกเขาต้องการได้ เพราะมันจะต้องมีช่วงที่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แม้ผมจะไม่ต้องการก็ตาม ผมมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าเลยว่าหากเราประกาศไม่เข้าร่วมสงคราม สุดท้ายแล้วเมอร์เซนต์นารี่ก็ยังจะมาจบลงที่นี่อยู่ดี
แต่ในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ นั่นคือถึงเวลาแล้วที่ผมจะก้าวไปนำอยู่ข้างหน้าเสียที