ความสุนทรีย์
หลี่หยิงบอกหลี่เทียนเฮอเกี่ยวกับสิ่งที่ซูจิ้งพบให้ฟัง ในขณะที่หวังจ้าวก็เข้าไปคุยกับหวังซวนจี้ ซึ่งผลก็เป็นไปตามที่ซูจิ้งคิด พวกเขาต้องคิดถึงผลกระทบระยะยาวไว้ก่อน การที่“ภาพเขียนเทพธิดาจีน” ได้ถูกส่งเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไปแล้ว ทำให้ปัญหานี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่พวกเขาจะทำอะไรได้ ความจริงนั้นซูจิ้งก็มีความคิดในการแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว เขานั้นไม่ต้องเร่งรีบอะไร เขาเองก็มีแผนแก้ปัญหาในระยะยาวเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเขายอมไม่ได้แล้วถ้าเกิดว่าภาพเขียนจีนเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นจริงๆ
“คุณซูครับ สนใจจะดื่มกันหน่อยไหม” ในขณะนั้นจ้าวซือเฟิงชวนซูจิ้งดื่มพร้อมกับที่จ้าวหยวนเดินมาข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งทำให้หวังซือหยาที่อยู่ข้างๆ หน้ามึนตึง รวมถึงเฉิงหนานที่ถึงกับต้องขมวดคิ้ว คืนนี้เธอไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อยนั่นเป็นเพราะจ้าวหยวนอย่างแน่นอน เธอนึกถึงตอนที่เธอบอกไปว่าเธอออกจากตระกูลเฉิงเพื่อไม่ให้ถูกจับแต่งงานกับจ้าวหยวน เขาก็ไม่มีท่าทีจะล้มเลิกความคิดแต่งงานเลยซักนิด (กลายเป็นว่าจ้าวหยวนคือคน รอต่อคิวจากสามีเก่า เฉิงหนาน)
“มีอะไรที่ผมช่วยได้ครับ คุณจ้าว” ซูจิ้งถามอย่างตรงไปตรงมา
“เอาเป็น เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่านะครับ” จ้าวหยวนจ้องไปที่เฉิงหนานตาไม่กระพริบ
“น้องซือหยาและคุณเฉิงเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เราคุยกันตรงนี้เลยดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้” จ้าวหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ค่อยฉลาดซักเท่าไหร่ น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นโทนเสียงต่ำแล้วก็พูดออกมาว่า
“ผมได้ยินมาว่าคุณรับคุณเฉิงหนานให้เป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“งั้นพูดตรงๆ เลยละกัน ผมนั้นสนใจในตัวคุณเฉิงหนานมานานแล้ว คุณซูพอจะช่วยผมเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้รึเปล่า ถ้าคุณทำได้พวกเราจะเป็นเพื่อนกัน ในภายภาคหน้าเมื่อคุณต้องการให้ผมช่วยอะไร ผมยินดีจะช่วยคุณเต็มที่เลย” จ้าวหยวนพูดออกมา
“ขอโทษนะ ผมไม่สามารถตัดสินใจแทนพวกพ้องของผมในเรื่องส่วนตัวของเขาได้หรอก” ซูจิ้งกล่าวแบบเย็นชา
“คุณซู คุณกล่าวมาแบบนี้ไม่ดีเลยนะ มันไม่ดีกับพวกเราทุกคนเพราจะทำให้พวกเราทุกคนไม่มีความสุขได้” จ้าวหยวนขมวดคิ้วมากกว่าเดิมจนแทบจะชนกัน เขาคิดว่าซูจิ้งเป็นแค่คนที่อาศัยใบบุญต้นไม้ใหญ่จากตระกูลหวังเท่านั้น แต่ซูจิ้งกลับคิดว่าตัวเองเป็นนายน้อยตระกูลหวังจริงๆ เมื่อเทียบกับเขาที่เป็นตระกูลจ้าวที่แท้จริง ซูจิ้งไม่มีดีอะไรที่จะเทียบเขาได้เลย แต่ซูจิ้งก็ยังไม่ยอมไว้หน้าเขาเลยซักนิด
“คุณจ้าว น้องชายของฉันทำให้คุณเสียหน้างั้นหรอคะ” หวังซือหยาที่อยู่ใกล้ๆ นั้น เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ เลยถามออกไป
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือ…” ยังไงก็ตามจ้าวหยวนนั้นเป็นเพียงแค่คนจากตระกูลสาขาของตระกูลจ้าว ต่อหน้าหวังซือหยาเขานั้นไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ถ้าจะพูดอีกอย่างนึงก็คือ ใจของเขาบอกเขาว่าอย่าพูดอะไรอีกเลย
หลังจากมองไปที่ซูจิ้งและเฉิงหนาน จ้าวหยวนก็รีบเดินจากไป
หวังซือหยาและซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจจ้าวหยวนอยู่แล้วเพราะเขาก็แค่อาศัยอำนาจตระกูล เฉิงหนานกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ เธอมองไปที่ซูจิ้งและหวังซือหยา เมื่อเห็นทั้งสองไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่จ้าวหยวนทำเธอก็รู้สึกโล่งใจ ไม่อย่างนั้นการที่เธอเข้าร่วมกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศจะไม่ส่งผลดีแน่นอน
ไม่นานนักในขณะที่งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป ได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ประตู ซูจิ้งและคนอื่นมองไปแล้วก็เห็นจ้าวหยวนนำกลุ่มคนเข้ามา ผู้นำกลุ่มเป็นชายวัยกลางคนท่าทางทะมัดทะแมงที่อยู่ในชุดสูทเนี๊ยบ พวกเขาตรงไปที่หลี่เทียนเฮอ จ้าวหยวนได้แนะนำชายคนนั้นแก่หลี่เทียนเฮอ ผู้คนที่เห็นต่างพูดคุยเรื่องดังกล่าวกันไปทั่ว
“อะไรอีกหล่ะ” หวังซือหยาบ่นออกมา
“ชายวัยกลางคนคนนั้นดูคุ้นๆ นะ” หวังจ้าวพูดออกมา
“นายไม่รู้จักหรอ เขาคือหลิวจี้ อดีตนักร้องน่ะ เป็นไปได้ที่จ้าวหยวนจะเชิญเขามาร้องเพลงให้ในงาน” หลี่หยิงพูดออกมา
“จ้าวหยวนบ้าไปแล้วรึยังไง” หลี่เหนียนหยิงยิ้มแบบแหยๆ
สำหรับคนทั่วไปนั้น การจะชวนนักร้องชั้นนำมางานเลี้ยงวันเกิดไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับตระกูลจ้าว ตระกูลหลี่ และตระกูลหวังเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะให้คนพวกนี้เข้ามาแสดงในงาน จ้าวหยวนคงจะมีเรื่องบางอย่างขอร้องหลี่เทียนเฮอ เขาจึงเรียกนักร้องเก่าคนนี้มา ไม่คิดว่าคนที่เรียกมาจะเป็นราชาแห่งสรวงสวรรค์ ความสามารถของเขานั้นไม่มีใครเลียนแบบได้ การันตีด้วยรางวัลงานกาล่าฤดูใบไม้ผลิสองปีซ้อน
เพราะว่าที่ที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างไกลเลยไม่ได้ยินที่จ้าวหยวนกับคนอื่นๆ คุยกัน เว้นแต่ซูจิ้งที่ได้ยินอย่างชัดเจน
เขามองไปที่ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปี ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เทียนเฮอแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ลุงหลี่กับป้าคนนั้นที่นั่งแทบจะตัวติดกันนี่…” ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปีที่น่าจะเป็นภรรยาของหลี่เทียนเฮอ แม่ของหลี่เหนียนหยิงและหลี่หยิง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเรียกคนๆ นี้ว่าอะไรดี เขาเดินตามหวังจ้าวและหวังซือหยาเข้าไปพร้อมเรียกพวกเขาว่าคุณลุงและคุณป้า
“ฮ่า ฮ่า ประวัติของพ่อแม่ของฉันนี่มีค่าพอที่จะเขียนหนังสือได้เลยนะ” หลี่เหนียนหยิงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่เทียนเฮอและภรรยา หลังจากซูจิ้งฟังเรื่องราวเขาอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ
ตอนที่หลี่เทียนเฮอและภรรยา สมัยตอนที่ทั้งคู่ยังวัยรุ่นอยู่นั้น สมัยนั้นสังคมยังไม่เปิดกว้างเหมือนตอนนี้ ในตอนแรกนั้น ครอบครัวของทั้งสองคนนั้นไม่ถูกกันและคอยขัดขวางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งคู่ต้องฟ่าฟันอุปสรรคนานับประการด้วยความยากลำบาก ต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมืองทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกันจนเหมือนกับตัดขาดกันไปเลย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมแพ้แต่ก็ยังต้องอดทนรอคอยอย่างอยากลำบาก จนกระทั้งสิบปีต่อมาเหตุผลทางการเมืองดังกล่าวสลายไป พวกเขาจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมแสดงความตั้งใจจริงให้ครอบครัวของพวกเขาเห็นอีกครั้ง จนทำให้ตระกูลยอมรับและเห็นชอบการแต่งงานของทั้งสองคน
ในตอนที่จ้าวหยวนกำลังจะแนะนำตัวของหลิวจี้ต่อหลี่เทียนเฮอและภรรยาของเขา หลิวจี้ได้เดินตรงไปที่ทั้งสองคนพร้อมร้องเพลงที่ชื่อ เหลาหยูยิ(คนแก่,วันวาน) เขาร้องพร้อมทั้งอวยพรวันเกิดและขอให้ทั้งทั้งคู่มีความสุขไปตลอดชีวิต
แน่นอนว่าตระกูลหลี่นั้นมีระบบเสียงที่พร้อมอยู่แล้ว
หลังดนตรีเริ่มเล่นแขกในงานทุกคนต่างเงียบ หลิวจี้หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วเริ่มร้องเพลง ถึงแม้เขาจะเป็นอดีตนักร้องแต่คุณภาพการร้องเพลงของเขาก็ไม่ได้เป็นอดีตตาม เขายังร้องได้ทราบซึ้งตราตรึงใจจนกระทั่งเมื่อร้องเพลงจบแล้วทำให้หลี่เทียนเฮอน้ำตาซึมออกมา
“ช่างเป็นเพลงที่ดีจริงๆ” หลี่หยิงกล่าวชมเชย
“ไม่ใช่แค่ดีหรอกนะ นักร้องคนนี้ดีกว่า จนนักร้องทั่วไปเทียบไม่ติด” หลี่เหนียนหยิงพูดเสริม
“ก็เท่านั้นแหละ เทียบกับเพลงบรรเลงกู่ฉินของอาจิ้งก็ยังด้อยกว่านิดหน่อย” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่ซือหยา อย่าหาเรื่องให้ผมเลยน่า” ซูจิ้งยกมือห้าม
“ฮ่า ฮ่า ฉันไม่ได้หาเรื่องให้ซักหน่อย จริงๆ นะ” หวังซือหยาหัวเราะจนตัวสั่น
“จะว่าไป จิ้ง นายไม่เล่นให้ลุงหลี่ซักหน่อยหล่ะ” หวังจ้าวพูดขึ้นมาทันที
“ช่าย ช่ายย นี่เป็นเวลาแห่งดนตรีนะ” หลี่เหนียนหยิงและหลี่หยิงต่างทำตาลุกวาว
พวกเขาได้ยินฝีมือการเล่นกู่ฉินของซูจิ้งมานานแล้ว แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงหาฟังจากอินเตอร์เนตเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์ถึงขนาดที่จะขอให้เขาเล่นได้ แต่ตอนนี้มีหวังซือหยาและหวังจ้าวอยู่ทำให้มีโอกาสมากขึ้น ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“เฮ้อออออ ก็ได้ แต่ฉันไม่ได้เอากู่ฉินมาเนี่ยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฉันเคยเรียนกู่ฉินมาพักนึงนะเลยมีติดไว้ตัวนึง” หลี่เหนียนหยิงพูดพร้อมแสยะยิ้ม เขาเรียนกู่ฉินอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็ไม่ได้อะไรเลยแม้แต่เรื่องพื้นฐาน เขาคิดว่ามันยากมากเลยยอมแพ้แต่ว่าก็ยังไม่ได้ทิ้งกู่ฉินไป
หลี่เหนียนหยิงขอให้แม่นมช่วยนำกู่ฉินมาให้ ซูจิ้งลองปรับเสียงดูก่อน ซึ่งดูแล้วกู่ฉินตัวนี้ถือว่าใช้ได้
เมื่อหลี่เทียนเฮอและภรรยารู้ว่าซูจิ้งจะเล่นเพลงให้พวกเขาได้ฟัง ทั้งคู่ก็มีรอยยิ้มขึ้นมา หลิวจี้ จ้าวหยวน จ้าวซือเฟิง และคนอื่นๆ มีความรู้สึกอยากฟังอย่างมาก
“ลุงหลี่ครับ ป้าหลี่ครับ เพลงนี้ผมขอมอบให้พวกคุณ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเริ่มบรรเลงกู่ฉินเขาคิดว่าเพลงเสียงแห่งความโดดเดี่ยวและห่างไกลเป็นเพลงที่เหมาะกับคู่สามีภรรยาคู่นี้