ณ ขณะจิต

 

เสียงที่น่าพิศวงได้ดังออกมา สื่อถึงความรู้สึกเงียบงัน โดดเดี่ยว อ้างว้าง ราวกับจะบอกเล่าทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของหลี่เทียนเฮอและภรรยา บางช่วงให้ความรู้สึกถึงคลื่นลมโหมกระหน่ำที่สูงเทียมฟ้ายามมืดมิด บางช่วงก็ให้ความรู้สึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็นพัดพาจนใบไม้ร่วงหล่น ทุกคนที่ฟังอยู่ล้วนมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลง

เพลงนี้รู้จักกันในนาม

 

“ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม”(ห้วงอารมณ์แห่งดอกฝาง)

 

ในห้วงเวลาและกาลอวกาศของ โซเฉินจิ มันบอกเล่าถึงเรื่องราวของเสินหนงบุคคลคนแรกในโลกของ โซเฉินจิ ที่คิดถึงและรักภูติแห่งมัลเบอรี่ที่ว่างเปล่า(ภูติของภูเขาที่ว่างเปล่า)อย่างหมดหัวใจ เขารักจนถึงขนาดยอมถูกเนรเทศไปเกาะแห่งทะเลทรายเพื่อช่วยเหลือเธอ แต่เขาทำถึงขนาดนั้นเขาก็ยังช่วยเธอไม่ได้

 

ในคืนหนึ่งในขณะที่เขาและเธอทำได้เพียงต้องจากกันไกลออกไปนั้น เขาดื่มไวน์เพื่อย้อมใจในชีวิตที่แสนขมขื่นต่อหน้าสายลมกรรโชกและแสงจันทร์ที่สว่างสดใส เขาดื่มมันพร้อมน้ำตาพร้อมพร่ำบอกขอโทษเธอที่ต้องทำให้ช่วงชีวิตที่แสนสวยงามของเธอต้องอยู่โดดเดี่ยวในเกาะแห่งทะเลทราย

ชีวิตของหลี่เทียนเฮอและภรรยาของเขามีทั้งดีและร้ายเปรียบได้เช่นเดียวกับ เสินหนงและภูติคงชาน(ภูติแห่งภูเขาที่ว่างเปล่า) พวกเขามีประสบการณ์ความรักที่แสนเจ็บปวดแต่ก็ยังไม่ได้อยู่คู่กัน เรื่องราวของพวกเขาสามารถบอกเล่าออกมาได้ผ่านเพลงๆนี้ คู่สามีภรรยาตระกูลหลี่เข้าใจความหมายของเพลงดีจนกระทั่งอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยกันทั้งคู่

สำหรับคนอื่นนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินการบรรเลงเพลงของซูจิ้งต่างตกตะลึง และต่างซึมซับความสุนทรีย์ของเพลงประดุจดั่งชีวิตคู่ของพวกเขาก็ไม่สมหวังเหมือนกัน

หลิวจี้ที่คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ด้านเสียงเพลงมามากนั้น เมื่อเขาได้ยินว่าซูจิ้งจะบรรเลงเพลง เขามีความรู้สึกดูถูกและเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่กลายเป็นว่ายิ่งเขาได้ยินเพลงบรรเลงของซูจิ้งมากเท่าไหร่ เขายิ่งหลงลืมความคิดดูถูก เหยียดหยามที่มีก่อนหน้าจนกระทั่งจิตใจของเขาเข้าสู่ภวังค์

 

หวังซือหยาและหวังจ้าวเองผู้ที่เคยได้ยินการบรรเลงเพลงของซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง ก็ยังไม่สามารถจะต้านทานได้ ปล่อยอารมณ์ร่วมไปกับท่วงทำนองแห่งเสียงเพลง

 

มีการกล่าวไว้ว่าเพลงบางเพลงนั้นต่อให้ฟังบ่อยขนาดไหนก็ยังลืมไปได้ กลับกันก็ยังมีเพลงบางเพลงที่ต่อให้คิดว่าลืมไปแล้วแต่พอมีอารมณ์บางอย่างก็นึกถึงขึ้นมาได้ นอกจากนั้นยังมีเพลงที่มืออาชีพทุกคนล้วนอยากจะทำให้ได้ เพลงที่ทำให้คนฟังมีอารมณ์ร่วมกับมันทั้งสุขและทุกข์ มีอารมณ์ร่วมพร้อมคล้อยตามไปกับเพลง ซึ่งเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงนั้นถือได้ว่าอยู่ในข้อนี้

 

นอกจากเสียงกู่ฉินแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสงบนิ่ง แม้แต่บริกรที่คอยเสริฟอาหารก็ยังหยุดชะงักและฟังอยู่หน้าประตู

การบรรเลงยังบรรเลงต่อไปจนกระทั่งเสียงแผ่วเบาลง

ในวินาทีนั้นเสียงปรบมือก็ค่อยดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ และดังมากจนประหนึ่งเสียงระเบิดหรือพายุสายฟ้าก็ไม่ปาน หลี่เทียนเฮอและภรรยาหลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุดพร้อมสีหน้าที่แสดงออกมาด้วยความอบอุ่น

 

ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะไม่ได้จบด้วยความสุขแต่เมื่อผ่านการเล่นโดยซูจิ้งแล้วมันก็ยังทิ้งความหวังเอาไว้ให้แทน ถึงแม้จะเป็นเพลงที่ฟังดูแล้วเศร้าแต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความรักเปี่ยมหัวใจ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าจะต้องให้คุณค่ากับความรักมากกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับเพลงของหลิวจี้แล้ว เพลงของเขาก็แค่เพลงที่มีท่วงทำนองเดิมๆ ตามความนิยมของเพลงทั่วไป แต่กับเพลงที่สามารถเข้าถึงจิตใจผู้คนอย่าง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” นั้น เที่ยบกันไม่ได้เลยซักนิด

 

“พระเจ้า มันสุดยอดที่สุด”

 

“ฉันไม่เคยเข้าใจเวลาคนที่ฟังเพลงแล้วร้องไห้เลย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”

 

“เป็นครั้งแรกเลยทีฉันได้ฟังซูจิ้งแสดงสด ช่างน่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก”

 

คนฟังส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กล่าวสรรเสริญการบรรเลงของซูจิ้ง สำหรับคนที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาเป็นดารานักร้องดังที่มีงานเพลงมากมาย มีแม้แต่นักร้องเวทีแสดงสด อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ต่างนิ่งเงียบไม่กล้าขยับไปไหน พยายามทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในงานเลี้ยงแห่งนี้ ผู้หญิงหลายคนเองก็ต่างจ้องมองไปยังซูจิ้งด้วยอารมณ์อยากตกหลุมรัก

 

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นการแสดงจากเด็กหนุ่มเลยนะเนี่ยถ้าไม่ได้ฟังด้วยตัวเองแบบนี้” หลี่เทียนเฮอกล่าวชมเชยออกมา งานเพลงชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางศิลปินอย่างเปี่ยมล้น ทันทีที่เขาได้ฟังมันทำให้นึกถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตขึ้นมา มันยากจะเชื่อได้ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้

 

“เจ้าหนูนี่เยี่ยมจริงๆ” ภรรยาของหลี่เทียนเฮอก็มองไปยังซูจิ้งด้วยความรู้สึกเดียวกับที่เธอเอ็นดูลูกๆ ของเธอ

 

อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่ไม่ชื่นชมในบทเพลงนี้ แม้กระทั่งปรมารจารย์เพลงหลิวจี้ แม้กระทั่งจ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวน ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับซูจิ้งก็ยังถึงกับพูดไม่ออก เพราะพวกเขาเองก็มีอารมณ์ร่วมไปกับบทเพลงเพลงนี้จนไม่สามารถทำเป็นหูทวนลมไปได้

 

“สำหรับการเล่นครั้งแรกก็ถือได้ว่าไม่เลวหล่ะนะ” ซูจิ้งพึมพำออกมา เขาใช้โทรศัพท์มือถือส่งเพลงที่อัดไว้ส่งขึ้นWeibo(เหมือนยูทูปแต่เป็นของประเทศจีน) จำนวนคนคลิ๊กเข้าดูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและล้นหลามจนระบบแทบจะล่ม

 

“พระเจ้า นี่มันสุดยอดมาก”

 

“ดีต่อใจ”

 

“ฉันฟังไปแล้วห้ารอบยังหยุดฟังไม่ได้เลย”

 

“เพลง “กระบี่นิรันด์”(เพลงประกอบละครกระบี่เทพธิดา)​ที่คุณพี่จิ้งเล่นไว้คราวก่อนก็ว่าเล่นได้สุดยอดแล้วนะ บางคนถึงกับอยากให้คุณพี่จิ้งบรรเลงเพลงทุกเพลงในโลกให้ฟังโดยใช้กู่ฉิน แต่ฉันบอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่าเมื่อเทียบกับเพลงที่แต่งโดยคุณพี่จิ้ง เพลงอื่นนี่ถือว่าห่างไกลจนเรียกได้ว่าคนละชั้นกันเลย”

 

“แน่นอนอยู่แล้ว เพลง“กระบี่นิรันด์” กับเพลงอื่นๆ นั้น ถือได้ว่าเป็นแค่เพลงที่ดีไปเลย ช่างเป็นเพลงที่ตราตรึงลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว”

 

“เทียบกับเพลง “กลับมา” แล้ว เพลง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” ต่างก็มีความสวยงามเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ไม่มีความเศร้า แถมเพลงนี้ยังให้ทำให้มีอารมณ์ร่วมพร้อมทั้งทำให้คนฟังคล้อยตามไปกับเพลง มันเหมือนกับว่าต่อให้อีกร้อยปีให้หลังก็ยังไม่มีเพลงไหนที่เทียบเพลงนี้ของคุณพี่จิ้งได้เลย ที่มีทุกอารมณ์ในเพลงๆ เดียว จะว่าไปเขาเล่นยังไงถึงได้เป็นเพลงที่ไพเราะจับใจขนาดนี้นะ”

 

“ฉันหลงรักคุณพี่จิ้งจริงๆ นะ แต่คุณพี่เขามีฉือชิงอยู่แล้ว ฉันก็คงทำได้แค่อวยพรให้ทั้งคู่หล่ะนะ”

 

ต่อให้คนที่ไม่ใช่แฟนเพลงของซูจิ้งหรือแม้แต่คนโง่เง่าก็ตาม เมื่อได้ยินเพลงเพลงนี้ พวกเขาล้วนแต่จะต้องบ้าคลั่ง บางคนที่ฟังเพลงของซูจิ้งจนร้องไห้ขอสาบานว่าจะไม่มีวันฟังเพลงของซูจิ้งอีก แต่พวกเขาก็ยังฟังแล้วก็ร้องไห้อีกครั้ง ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีความรักแต่มีสิ่งของแล้วคนๆนั้นไม่ได้เห็นของสิ่งนั้นมานาน เมื่อคนๆนั้นไปหาของสิ่งนั้นแต่ไม่เจอก็จะทำได้แต่กอดหมอนร้องไห้

ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ในวงการดนตรีเองถึงกับต้องตกตะลึงเพราะว่าผลงานบรรเลงเพลงชิ้นนี้ เพราะเพลงๆนี้ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในรายการสิบสุดยอดอันดับเพลงฮิตในช่วงยังไม่พ้นข้ามคืนด้วยซ้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วกว่าเพลงๆ หนึ่งจะขึ้นเป็นที่หนึ่งได้ต้องใช้เวลาสองวันเป็นอย่างน้อย

มู่หรงเซียนเอ๋อ ได้ส่งข้อความในเว่ยป๋อ(Weibo)ไว้ว่า

 

“เพลงนี้ยอดเยี่ยมที่สุด ตาของฉันแดงเลยเพราะร้องไห้ไม่หยุด นายจะรับผิดชอบยังไงเนี่ย”

 

ซูจิ้งส่งข้อความตอบไปว่า “ฉันอนุญาตให้เธอเล่นเพลงและพร้อมร้องเพลงประกอบได้เลยนะ แค่นี้พอรึเปล่า”

 

มู่หรงเซียนเอ๋อกดหัวใจให้พร้อมพิมพ์ตอบว่า “ขอบคุณค่า…..”

 

“รีบติดต่อตัวแทนของซูจิ้งเดี๋ยวนี้ หาวิธีติดต่อขอซื้อเพลงนี้ให้ได้” นาลันเฟยตื่นตัวทันทีหลังจากที่ได้ยินเพลง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” เธออดรนทนไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา

 

“แต่เขาให้เพลงคนอื่นไปแล้วนะ” ผู้จัดการได้มองไปที่เธออย่างจนใจ เขา(ซูจิ้ง)ไม่รู้เลยรึไงกันว่าลิขสิทธิ์เพลงของเขาจะมีมูลค่ามากมายขนาดไหน

 

“คุณรู้ได้ยังไง ใครเป็นคนได้ไปกัน” นาลันเฟยรูสึกประหลาดใจ

“ลองดูที่เขาโต้ตอบกันในเว่ยป๋อ(Weibo)ดูซิ” ผู้จัดการบอกเธอ

 

นาลันเฟยนั้นเพิ่งจะได้ยินเพลงของซูจิ้งแล้วถึงกับหลงไหลเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไม่เป็นทำการทำงาน เมื่อเห็นการโต้ตอบข้อความกันระหว่างซูจิ้งกับมู่หรงเซียนเอ๋อแล้ว เธอทำได้แต่หมดแรงพร้อมทั้งรู้สึกท้อใจ หลายครั้งแล้วที่เธอพยายามใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งต่างๆของซูจิ้ง แต่ก็จบด้วยความล้มเหลว มีเพียงครั้งเดียวที่เธอได้มาก็คือ “การร่ายรำแห่งดวงจันทร์” ที่ได้มาเพราะโชคช่วย ถ้าเธอไม่ได้อาศัยความช่วยเหลือจากบริษัทเวชสำอางซือหยาก็ไม่มีทางเลยที่จะได้มันมา ไม่คิดเลยว่ามู่หรงเซียนเอ๋อแค่พิมพ์ข้อความเล็กๆ ก็ทำให้ได้ลิขสิทธิ์เพลงฟรีๆ ไป ทั้งๆ ที่คนอื่นต่างพยายามกันแทบเป็นแทบตาย นักดนตรีทั้งหลายที่อยากได้ลิขสิทธิ์เพลงนี้ต่างรู้สึกว่ากลายเป็นคนโง่กันไปเลย พวกเขาถึงกับเข้าไปติดต่อกับตัวแทนของซูจิ้งเพื่อจะขอซื้อลิขสิทธิ์เพลงเพื่อใช้เป็นทำนองประกอบการร้องเพลงแต่ก็เท่านั้น

 

ซูจิ้งชอบเล่นดนตรีมากกว่าร้องเพลง ถึงเขาจะเสียดายที่ไม่มีเนื้อเพลงดีๆ ที่เหมาะกับเพลงนี้ แต่ยังไงก็ตามซูจิ้งก็ยังไล่พวกนั้นไปอยู่ดี เฮ้ออออออ เขารู้รึเปล่าว่าเพลงของเขาจะได้ค่าลิขสิทธิ์มากมายขนาดไหน เลิกให้คนอื่นฟรีๆ ได้ไหมเนี่ย