ตอนที่ 7-1
ในที่สุดเจ้าเมืองคนใหม่ก็รับราชโองการจากกษัตริย์แล้วเดินทางมาถึง ชายหนุ่มผู้มีภาพลักษณ์ของคนใจกว้างและเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงเนื่องจากเข้ารับราชการเป็นครั้งแรกทำความเคารพฮอนด้วยเสียงอันดังจนทุกคนตกใจ
“เจ้าเมืองคนใหม่จินวอนชอลถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี!”
“สมกับเป็นชายชาตรี ดีมาก รู้เรื่องจากพระราชวังมาแล้วใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เข้ามา”
เจ้าเมืองจินตื่นเต้นเดินตามเข้าไปในห้องทรงงาน ในนั้นคนที่ยืนรออยู่คือรยูฮาและชาน การเผชิญหน้ากับทั้งสามพระองค์ช่างกดดันเขาผู้ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งสดๆ ร้อนๆ ชุดข้าราชการใหม่ชื้นเปียกเหงื่อไปหมด เปียกเสียยิ่งตอนที่ได้รับราชโองการใหม่ๆ เสียอีก
“ถะ ถวายบังคมพระชายาและองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“เลิกทำความเคารพได้แล้ว นั่งลงเถอะ”
ความภูมิฐานมีเกียรติเช่นนั้นแผ่ซ่านออกมาจากส่วนไหนของร่างกายอันบอบบางของพระชายากัน ตรงหน้าเจ้าเมืองจินซึ่งนั่งตัวกลั้นลมหายใจอยู่คือเหล่าเอกสารที่ชานและฮอนรวบรวมมากองสูงเหมือนภูเขา แล้วภูเขาก็ไม่ใช่แค่หนึ่งลูก ฮอนใช้นิ้วดันยอดเขานั้นไว้แล้วบอกเนื้อหาให้ฟังอย่างใจดี
“ด้านนี้เป็นภาษีที่ต้องเก็บในเมืองนี้ เอกสารด้านนี้คืองบประมาณ ทางนี้ที่น้อยที่สุดคือรายการทรัพย์สิน แล้วก็เรื่องที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงกับเหล่าพวกคนป่าทำให้ชาวบ้านในเมืองนี้ลำบากมาก ข้าก็กราบทูลฝ่าบาทแล้ว ต่อจากนี้สามปีละเว้นภาษีและแรงงาน งบประมาณที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเมืองก็จัดสรรไว้แล้ว อีกทั้งคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการป้องกันประเทศก็เพิ่มในส่วนนี้ด้วยอีกเท่าตัว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้หรือไมว่ามันหมายถึงอะไร”
ตาของผู้ว่าการว่างเปล่าไร้คำตอบ ฮอนตบลงบนไหล่เขาเบาๆ ราวกับจะบอกเข้าใจ จากนั้นก็ยิ้มเต็มใบหน้าแล้วพูดต่อ
“มันหมายความว่าถ้าภายในสามปียังฟื้นฟูเมืองนี้ไม่ได้ เจ้าก็จะถูกลากตัวไปเหมือนเจ้าเมืองคนก่อน ถ้ามีเรื่องทุจริตแม้แต่น้อยก็หมายถึงจะอยู่ไม่ถึงสามปีแล้วถูกลากไปเช่นกัน”
สามปี จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว ภายในระยะเวลานั้นจะสามารถฟื้นฟูเมืองที่พังลงได้ไหม เจ้าเมืองสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจจริงขององค์รัชทายาท
“กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“จะทำให้ดีที่สุด หรือทำลวกๆ ก็มีเวลาสามปี ถ้าภายในสามปีฟื้นฟูเมืองนี้ไม่ได้จะถือเป็นความผิดของเจ้า แต่ถ้ามันกลายเป็นเมืองที่สงบสุขกว่าที่ข้าคาดหวังไว้…”
ฮอนยื่นหน้าไปหาเจ้าเมือง เจ้าเมืองไม่หลบสายตานั้นแล้วพยายามตั้งสติ
“สิ่งนั้นก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของเจ้า พอตอนนั้นข้าได้ขึ้นครองราชย์ หากข้าต้องเลือกคนเข้ามาทำงานใหม่ในพระราชวัง ข้าจะไม่นึกถึงชื่อเจ้าหรอกหรือ เจ้าเมืองจินวอนชอล”
ใครจะไม่ลุ่มหลงต่อความยั่วยวนนี้ ผู้ว่าการจินคิดว่ามีแสงส่องประกายออกมาจากใบหน้าขององค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า เขาวางมือลงบนกองเอกสารอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วเปล่งเสียงก้องกังวานที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“น้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“อืม ออกไปทักทายลูกน้องใหม่เถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ลูกน้องใหม่ คำนั้นจุดไฟในใจเจ้าเมืองคนใหม่อีกครั้ง ชานมองเบื้องหลังของเขาที่ซึ่งเดินออกไปอย่างมาดมั่นแล้วหันมาจัดการเอกสารอีกครั้งก่อนจะอุทานออกมา
“ตอนนี้ปกครองคนเก่งแล้วนะเพคะ”
“ก็เรียนรู้จากพระชายาอย่างไรเล่า ทั้งขู่แล้วก็ปลอบใจในเวลาเดียวกันไม่มีใครไม่ติดกับ”
รยูฮาปัดผมที่ตกลงมาบนไหล่ไปข้างหลังเพราะคำตอบของฮอน น้ำเสียงคัดค้านดังขึ้นเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“หม่อมฉันขู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ ก็แค่ทูลเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น”
ความไม่พอใจของหญิงสาวถูกตอบโต้กลับมาเบาๆ
“ปกติแล้วเขาเรียกว่าขู่ พระชายา”
พอฮอนระเบิดเสียงหัวเราะ รยูฮาก็ยิ้มแห้งอย่างเสียไม่ได้แล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง คนรับผิดชอบคนใหม่มาแล้วคราวนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง
“คงต้องเตรียมตัวแล้วเพคะ พรุ่งนี้ต้องควบม้าออกไปตั้งแต่เช้ามืดถึงจะสามารถไปถึงเมืองข้างๆ ได้ในช่วงหัวค่ำ”
“ข้าจะช่วยเอง”
พอฮอนลุกตามรยูฮาไป ชานก็ออกมาข้างนอกเช่นกัน การหยุดพักที่ไม่มีมานานแล้วช่างหอมหวาน แต่ว่าสนุกไปกับมันไม่ได้นานนัก เพราะต้องรีบเข้านอนจะได้มีแรงพอควบม้าในวันต่อมาทั้งวัน