วันต่อมา 

 

 

ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์ยามเช้ามืดยังคงลอยอยู่ ขบวนเสด็จมีเจ้าเมืองจินมาส่งแล้วออกจากเมืองไปเงียบๆ ชาวบ้านบางคนรู้ว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำเสียงเอะอะโวยวาย ได้แค่เอียงหูฟังเสียงเกือกม้าที่เคลื่อนตามหลังดวงจันทร์ยามเช้ามืดไปและนึกขอบคุณอยู่ในใจเท่านั้น 

 

 

ขบวนเสด็จเดินทางทั้งวันไม่มีหยุดพักจนมาถึงที่หมายเร็วกว่าที่รยูฮาคาดการณ์ไว้ ถึงไม่ได้ส่งข่าวบอกล่วงหน้า แต่ปากทางเข้าเมืองถูกซ่อมบำรุงไว้แล้วและดูไม่เป็นธรรมชาติจนน่าอึดอัดเหมือนกับใส่เสื้อผ้าไม่พอดีตัว เจ้าเมืองวิ่งมาในสภาพยังไม่ทันได้สวมรองเท้าพร้อมกับเอกสาร 

 

 

“เตรียมงานอย่างเร่งด่วน คงเหนื่อยแย่” 

 

 

ฮอนเปิดดูเอกสารที่เขายื่นมาให้แล้วยกยิ้มก่อนจะกระแนะกระแหน 

 

 

“เตรียมงานอย่างเร่งด่วนอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ! เป็นพระมหากรุณาธิคุณเสียมากกว่า!” 

 

 

“กลิ่นหมึกเขียนใหม่ฟุ้งขนาดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ช่างเถอะ ข้าคงต้องออกไปดูชาวบ้านด้วยตัวเอง เจ้ารออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” 

 

 

การตามล้างตามเช็ดคนที่ทำให้ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วทั่วทุกแห่ง ถ้าทุจริตมากก็ตั้งใจจัดการด้วยการฟาดสักทีสองที แต่เรื่องเอกสารก็เร่งด่วนเสียจนว่าต่อให้ไม่ดูก็รู้ว่าใต้ตาคงเป็นสีดำคล้ำอีกแล้วแน่ๆ ฮอนเปลี่ยนใส่ชุดธรรมดาออกมาเพื่อจะไปดูงาน แต่เจอรยูฮาพอดี 

 

 

“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” 

 

 

“ตั้งใจจะเดินดูข้างในสักรอบน่ะ” 

 

 

รยูฮามองปราดตั้งแต่หัวจรดเท้ามาทางเขาผู้ซึ่งตอบคำถามอย่างแข็งขัน แล้วพ่นเสียงผ่านจมูกออกมา 

 

 

“รอด้านในเถอะเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

ต่อหน้าคนในปกครองเป็นองค์รัชทายาทผู้มีท่าทีฮึกเหิม แต่หากยืนต่อหน้ารยูฮาก็ไม่ต่างจากลูกหมาสงบเสงี่ยม เพราะเขาเดินเข้าไปข้างในอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งที่บอกให้รอข้างในสักครู่โดยไม่พูดซ้ำ รอนานแค่ไหนกัน เวลาที่รอคอยรยูฮาดูเหมือนจะนานก็นาน เหมือนจะสั้นก็สั้น ต่อมารยูฮาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดองครักษ์สีดำหนึ่งชุดในมือ  

 

 

“ชาวบ้านที่นี่รู้หมดว่าฝ่าบาทเสด็จมา แม้แต่ก้อนหินที่เห็นหน้าฝ่าบาทก็คงถวายบังคมพระองค์” 

 

 

“ทำไม ชุดแบบนี้ไม่เหมาะหรือ อุตสาห์เลือกชุดที่ธรรมดาที่สุดแล้ว” 

 

 

“ใส่ชุดผ้าไหมยังดีเสียกว่าอีกเพคะ ชุดนั้นมันไปคนละทางกับหน้า” 

 

 

สายเลือดอันสูงค่านับตั้งแต่เกิดมาไม่สามารถปิดซ่อนท่าทางเหล่านั้นได้ด้วยเสื้อเก่าซ่อมซ่อ พอรยูฮาแนะเช่นนั้นฮอนก็รับชุดองค์รักษ์มาด้วยสีหน้าหดหู่ ฮอนจ้องไปทางรยูฮาที่เอียงหน้ามองมาในสภาพถือชุดองครักษ์ไว้ ระหว่างนั้นความเงียบอันแปลกประหลาดก็มาเยือน และต่อมาก็เป็นฮอนที่เอ่ยขึ้นมาก่อน 

 

 

“ไม่ออกไปหรือ” 

 

 

“ต้องออกไปหรือเพคะ” 

 

 

“เจ้าจะอยู่ตรงนั้นก็ได้” 

 

 

ด้วยประสบการณ์ของเขาต่อให้ดันหลังออกไปแค่ไหน เขาก็รู้ดีว่ารยูฮาก็คงไม่ออกไป ฮอนเลือกทางที่จะทำให้รยูฮาเดินออกไปด้วยเท้าของตัวเอง เขาหันหลังกลับมาถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แต่ว่าพอถอดออกไปแล้วหนึ่งชิ้น สองชิ้น สามชิ้น จนปลดผ้าคาดเอวแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงประตู เขาหันมาในสภาพยังไม่ได้ปลดผ้าคาดเอวออกจนหมดอย่างระมัดระวัง  

 

 

“เฮือก!” 

 

 

ฮอนหันหลังมาได้มาครึ่งหนึ่งก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนหน้าที่รยูฮาอยู่ห่างออกไปมากว่าห้าก้าวแน่ๆ แต่ตอนนี้นางกลับมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว แล้วรยูฮาก็คว้าเอวของเขาที่กำลังจะเอี้ยวตัวหลบเอาไว้อย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ฮอนได้เห็นว่า สายตาของนางที่มองหน้าอกของเขาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกราวกับบุรุษ  

 

 

เหล่าสตรีที่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของฮอนมีมากมาย สำหรับเขาผู้ซึ่งเติบโตมาโดยได้รับการดูแลรับใช้จากเหล่านางในตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วดังสายน้ำที่ต้องไหลจากด้านบนสู่ด้านล่าง แต่ในบรรดาสตรีเหล่านั้นไม่มีใครมองชื่นชมอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนรยูฮาแน่ๆ ความรู้สึกอันไม่คุ้ยเคยที่เรียกว่าความเขินอายตีตื้นขึ้นมา นับตั้งแต่มือของรยูฮาสัมผัสลงบนเอวของเขา  

 

 

“พระชายา เจ้าช่วย… ช่วยเอามือออก…” 

 

 

ในระหว่างที่กำลังเขินอายก็เหมือนกับจะบ้าตายอีกครั้ง ทั้งอุณหภูมิที่โอบล้อมเอว ทั้งสายตาที่มองมาไปจนถึงด้านล่างทำให้ไม่กล้าดันออกหรือแม้แต่ใช้นิ้วหนึ่งนิ้วแตะรยูฮา ตอนที่มือสัมผัสลงไปนั้นเหมือนกับเชือกที่กั้นระหว่างความเป็นชายหญิงจะขาดผึ่งไป 

 

 

“หม่อมฉันกลัวฝ่าบาทจะล้มเลยจับไว้” 

 

 

โกหก ถึงจะตกใจจนเอี้ยวตัวมาแต่ก็ไม่ถึงขนาดกับล้มลงเด็ดขาด ถ้าแบบนี้จะมองว่าเป็นการเชิญชวนได้หรือไม่นะ มือของฮอนที่พกความกล้าขยับมาใกล้ถึงกลับค้างอยู่กลางอากาศ 

 

 

“คงไม่ล้มแล้ว งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” 

 

 

รยูฮาถอยหลังมาในชั่วพริบตา แล้วหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนตอนกอดเขา แย่อีกแล้ว ฮอนยิ้มอย่างอ่อนแรงและเปลี่ยนเสื้อผ้าคนเดียว เขาออกมาข้างนอกอย่างยากเย็นหลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควร 

 

 

 

 

 

“ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนทหารเลยเพคะ” 

 

 

ในระหว่างนั้นรยูฮาที่สวมเสื้อผ้าผู้ชายออกมามองปราดไปทางฮอนผู้ซึ่งเปลี่ยนใส่ชุดองครักษ์แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ มินอาที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย คิ้วเข้มบนผิวขาวและดวงตาลึกซึ้งและท่าทางที่ดูร่ำรวยนั้น ใครมองก็ยังดูห่างจากความเป็นทหาร ทั้งที่ร่างกายกำยำเหมือนทหารแท้ๆ เสียงพึมพำเบาๆ ของรยูฮามีเพียงมินอาที่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ได้ยิน  

 

 

“ฝ่าบาท อันนี้เพคะ” 

 

 

หน้ากากที่มินอายื่นมาถูกสวมลงบนใบหน้าของฮอน พอสวมหน้ากากก็เห็นแต่ตาโผล่ออกมาเท่านั้น ตอนนี้เองคิ้วที่ขมวดเป็นปมของรยูฮาถึงได้คลายลงแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ เป็นครั้งแรกที่มองตรงนั้นก็ดีมองตรงนี้ก็ดีแม้แต่ในร่มผ้าก็ดี แต่ก็คงต้องปิดไว้ให้ดีในขณะไปไหนมาไหน 

 

 

“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ” 

 

 

ฮอนท้วงเพราะอึดอัดกับหน้ากากที่ทำให้หายใจไม่ออก รยูฮามองแล้วยิ้มให้พลางลูบลงบนหลังมือของเขาราวกับจะปลอบประโลม  

 

 

“จะทำอย่างไรได้เพคะ ฝ่าบาทหน้าตาหล่อเหลามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต้องปิดไว้แบบนี้ถึงจะไม่มีเรื่องให้ได้ถูกมอมยาอีกไม่ใช่หรือเพคะ” 

 

 

หน้าตาหล่อเหลามาแต่ไนแต่ไร การชมเชยที่คาดไม่ถึงกลายเป็นอาหารว่างเลิศรสให้ฮอน เขาลบความไม่พอใจไปในทันทีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปมองชานที่ยื่นอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

“เสด็จไปก่อนได้เลยเสด็จพี่ เดี๋ยวค่อยเจอกันหลังจากไปตรวจดูแล้ว มินอา ไปช่วยเสด็จพี่ด้วย” 

 

 

“เพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

มินโค้งตัวกล่าวลาแล้วเดินหายไปทางเดียวกันกับชาน โดยทิ้งระยะห่างจากชานประมาณหนึ่งก้าว พอเห็นอย่างนั้นรยูฮาก็รีบจับบังเ**ยนม้าแล้วขึ้นไป 

 

 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ ฮอน” 

 

 

“ฮอนหรือ…?” 

 

 

“วันนี้เจ้าเป็นองครักษ์ข้าไม่ใช่หรือ” 

 

 

การใช้คำพูดแบบสามัญชนของรยูฮาไม่มีเคอะเขินติดขัดเลย ฮอนหัวเราะแห้งๆ ออกมา แต่ก็เดินตามม้าออกไปอย่างว่าง่าย คนที่จะใช้คำพูดธรรมดากับเขาได้มีแค่กษัตริย์ที่อยู่ถัดลงมาจากฟ้าเท่านั้น ถึงตอนนี้รยูฮาพูดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสีย 

 

 

“ทำครั้งแรกก็มาดมั่นเชียว” 

 

 

“มีอะไรที่ไม่มาดมั่นบ้าง เจ้าสนใจเรื่องเป็นองครักษ์เถอะ” 

 

 

ไม่ใช่ว่าจงใจให้เป็นแบบนี้จึงเลือกยื่นชุดองครักษ์มาให้หรอกหรือ ฮอนนึกสงสัยแต่ก็เดินตามรยูฮาไปเงียบๆ พอเดินตามมาก็เจอเข้ากับสี่แยกที่คนสัญจรไปมา สภาพบ้านเมืองนั้นดีกว่าที่คิด ระหว่างนั้นฮอนหยุดเดินแล้วหันไปถามรยูฮาอย่างเคอะเขิน 

 

 

“ต้องไปทางไหน…พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

รยูฮาเปิดประสาทสัมผัสเฝ้าสังเกตคนที่ผ่านไปมา จนสายตาของเธอไปหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งทางโน้นที่มีเด็กน้อยเดินไปรอบๆ และหันมองทางนั้นทีทางนี้ที 

 

 

“เจ้าอยู่ตรงนี้สักครู่” 

 

 

เธอยื่นบังเ**ยนม้าให้ฮอนแล้วกระโดดลงบนพื้น รยูฮาเดินเข้าไปใกล้เด็กน้อย พอไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นเด็กอายุราวสามสี่ขวบ ร่างกายซูบผอมและตัวเล็ก ไม่รู้เป็นเพราะไม่ได้กินอะไรหรือเปล่า สายตาที่เงยหน้าขึ้นมามองคนแปลกหน้าซึ่งมีกลิ่นของคนมีเงินลอยฟุ้งออกมาเต็มไปด้วยความหวัง  

 

 

“อยู่แถวนี้หรือ” 

 

 

“ชะ ใช่ขอรับ นายท่าน นายท่านจะถามทางหรือขอรับ” 

 

 

ก่อนจะตอบเหรียญหนึ่งก็ถูกวางลงบนฝ่ามือของเด็กน้อย 

 

 

“โอ๊ะ! ขอบพระคุณ นายท่าน!” 

 

 

“ข้าตั้งใจจะไปบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หากพาข้าไปถึงจะให้เพิ่มอีก” 

 

 

เด็กน้อยยิ้มจนเห็นฟันเหลืองราวกับรู้อยู่แล้วว่ารยูฮาจะบอกแบบนี้ 

 

 

“ถึงเมืองนี้จะเล็กแต่บ่อนก็ใหญ่ขอรับ ตามข้ามาเถิดขอรับ” 

 

 

พอรยูฮาส่งสัญญาณมือให้ ฮอนก็พาม้ามาให้ทันที ในระหว่างที่เดินตามเด็กน้อยไปทั้งคู่ก็กระซิบกระซาบกัน 

 

 

“บ่อนหรือ อย่าบอกนะว่าเป็นบ่อนที่ใช้เล่นพนัน” 

 

 

“ต้องเป็นบ่อนเพคะ ไม่มีที่ไหนเป็นแหล่งรวมข้อมูลได้ดีกว่าที่นี่แล้ว ตามมาเถอะเพคะ” 

 

 

“เงินนั่นคืออะไร” 

 

 

“เงินฉุกเฉินเพคะ” 

 

 

ถึงไม่ได้บอกว่าเป็นเงินที่หามาได้จากบ่อน แต่ก็เป็นเงินฉุกเฉินแน่ๆ จึงไม่ใช่คำโกหก อย่างน้อยตามมาตรฐานจองรยูฮาก็เป็นเช่นนั้น 

 

 

“ถ้าเข้าไปแล้วหม่อมฉันเล่นเสียจนหมด หม่อมฉันจะลงเงินเดิมพันในคราวเดียว ตอนนั้นให้ลากหม่อมฉันออกมา ก่อนหน้านั้นต่อให้เสียแค่ไหนก็ต้องปล่อยไปนะเพคะ” 

 

 

“มันจะเป็นไปดั่งที่เจ้าคิดแน่หรือ” 

 

 

“ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้”