ตอนที่ 660 คิดคำนึงในคืนสงบ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 660 คิดคำนึงในคืนสงบ ( 1 )

แสงจันทราเปรียบเสมือนไอน้ำที่แผ่ปกคลุมทะเลสาบซวนอู่ให้เปล่งประกาย

สายลมยามราตรีพัดเอื่อยเฉื่อยนำพาความหอมของต้นหลิวให้ฟุ้งกระจายไปทั่ว

ฟู่เสี่ยวกวนและเหล่าภรรยานั่งอยู่กลางศาลาเถาหราน และเขากำลังเล่าเรื่องบันทึกหอตะวันตก1 ให้พวกนางรับฟัง

“…ที่พำนักของจางเชิงและชุยยิงยิง ณ หอตะวันตกนั้นห่างกันเพียงแค่กำแพงกั้น ในราตรีหนึ่งได้มีแสงจันทราส่องกระจ่างเฉกเช่นเดียวกันกับคืนนี้ ชุยยิงยิงและแม่สื่อกำลังจุดธูปเพื่อขอพร แล้วบังเอิญไปได้ยินเสียงของจางเชิงที่กำลังขับร้องบทกลอนดังลั่น

‘แสงจันทร์สุกสกาว ดอกไม้ในร่มเงาเงียบสงัด จะเผชิญเดือนสว่างไสวได้เยี่ยงไรเมื่อตัวข้าหันไปมิเจอผู้ใด’

เมื่อชุยยิงยิงได้ยินเช่นนั้น จึงขับขานบทกลอนต่อจางเชิงทันที ‘ห้องข้านั้นโดดเดี่ยวมาแรมปี คร่าเวลาสุกงอมของวัยหนุ่มสาว คิดอยากครองศิลปินผู้รอนแรม คงน่าเวทนาเช่นตัวข้าผู้ถอนหายใจอย่างเปล่าเปลี่ยว’

เมื่อได้ขับร้องประสานกันจึงทำให้ทั้งสองบังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน…”

สตรีทั้งห้านางจ้องมองและสดับฟังโดยมิยอมละสายตาแม้แต่ซูโหรวก็เช่นกัน พอฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าขันทีเจี่ยได้เดินเข้ามาพอดี

หยูเวิ่นหวินเบ้ปากด้วยความมิพอใจ

ต่งชูหลานดึงชายแขนเสื้อของหยูเวิ่นหวินเบา ๆ และแสดงสีหน้าให้สตรีนางอื่นได้รับรู้ว่าทุกคนควรออกไปจากที่ตรงนี้กันก่อน

ขันทีเจี่ยเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้วก้มลงคำนับ “กระหม่อมมารบกวนช่วงเวลาดี ๆ ขององค์ชายเข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“มิเป็นไรหรอก เชิญท่านนั่งก่อนเถิด”

“ขอบพระทัยองค์ชาย…มีสามเรื่องด้วยกัน และกระหม่อมคิดว่าองค์ชายจะต้องสนพระทัยเป็นแน่”

“มีเรื่องอันใดบ้าง ท่านเอ่ยมาเถิด”

“เรื่องแรก กระหม่อมได้ไปเยือนตำหนักองค์หญิงใหญ่ด้วยตนเองและได้ค้นหาต้นเหมยที่องค์ชายได้กล่าวไว้ พบว่าตรงรากของมันมีรอยแยกที่ถูกสลักไว้จริง ๆ แต่ทว่ามิมีสิ่งนั้นซุกซ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น “เรื่องนี้ข้าก็กำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกันแต่ก็เอ่ยออกไปมิได้ ! ประการแรกคือด้วยฐานะขององค์หญิงใหญ่มิจำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิจันทรา ประการที่สองคือต่อให้นางเป็นหนึ่งในเช่อเหมินและได้รับสิ่งนั้นมาจริง ๆ นางก็คงมิโง่เขลาถึงขั้นย้ายต้นเหมยมาไว้ที่ตำหนักของตนเองหรอก”

“องค์หญิงใหญ่เป็นสตรีที่มีปัญญาหลักแหลม ข้ามิเชื่อว่านางจะกระทำการเยี่ยงคนชั้นต่ำเช่นนั้นไปได้”

ขันทีเจี่ยได้ฟังแล้วก็พยักหน้า “กระหม่อมเองก็มิเชื่อ และช่วงนี้ก็ได้ส่งมดงานไปสอดส่องการเคลื่อนไหวของนาง พบว่าองค์หญิงใหญ่ได้เสด็จไปยังวังเตี๋ยอี๋ของฮองเฮาซั่งอยู่ 2 คราและเสด็จไปยังวังของสนมหนิงอีก 1 ครา นอกจากนี้ยังเสด็จออกจากวังหลวงไปยังธนาคารซื่อทง 1 ครั้ง จากนั้นก็ยังเสด็จไปยังสถานทูตของแคว้นหลิวโดยไร้ความผิดปกติใด แต่ทว่า…”

ขันทีเจี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพยายามครุ่นคิดในบางอย่างแล้วเอ่ยต่อว่า “ทว่าองค์หญิงใหญ่ดูมิสนใจบุรุษอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”

“หมายความว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงงัน จากนั้นขันทีเจี่ยก็ได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “องค์หญิงยิงฮวา ณ สถานทูตแคว้นหลิวท่านนั้น…กับองค์หญิงใหญ่ชอบพอกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เรื่องนี้ยากเกินกว่าจะเชื่อเสียจริง !

แม่นางยิงฮวาเคยชอบข้ามาก่อน แล้วเหตุใดถึงเปลี่ยนรสนิยมไปเสียได้ !

ใต้หล้านี้…ช่างแปลกประหลาดมากยิ่งนัก !

แต่ทว่าย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของนาง ฟูเสี่ยวกวนจึงมิได้มีความเห็นต่อเรื่องนี้อีก เพราะองค์หญิงใหญ่เคยบอบช้ำจากความรักมาก่อนจึงทำให้นางกลายเป็นแบบนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกเห็นใจนางอยู่มิน้อย

ขันทีเจี่ยเองก็ไม่ได้นินทาสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ทั้งยังเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “กระหม่อมได้ยินข่าวคราวมาอีกหนึ่งข่าว เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับฮองเฮาซั่งพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองขันทีเจี่ยด้วยแววตาหนักแน่น

“สองสามวันก่อนหน้านี้ที่วังเตี๋ยอี๋…ช่วงวันที่ยี่สิบห้า เดือนสี่ มีนางกำนัลในวังเสียชีวิต 1 คน ซึ่งนางผู้นี้ได้เดินทางไปยังอารามซุ่ยเยว่ในยามราตรีโดยนั่งรถม้าไปแต่เพียงผู้เดียว คาดว่าเป็นยามจื่อ นางผู้นี้อยู่ในอารามซุ่ยเยว่ราวครึ่งชั่วยามก็ได้จากไป รถม้าคันนั้นก็ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าวังเตี๋ยอี๋ หลังจากนั้นนางก็ได้ตกตายไป ส่วนศพถูกฝังไว้ที่สวนกุหลาบด้านหลังตำหนักขององค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานเสียทีเดียว จากนั้นก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “ข่าวนี้ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ? ”

“กระหม่อมรู้มาจากผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ในอารามซุ่ยเยว่ เขาแซ่ซุย ชื่อเยว่หมิง เป็นคนที่ฟู่ต้ากวนนำตัวมายังเมืองจินหลิงเมื่อหลายปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ ? บอกว่าบิดาอ้วนผู้นั้นเตรียมผู้สังเกตการณ์เอาไว้ที่อารามซุ่ยเยว่มาเนิ่นนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากเชื่อเลยจริง ๆ สรุปว่าบิดาอ้วนผู้เรียบง่ายและตรงไปตรงมารู้เรื่องราวมากมายเพียงใดกันเชียว ?

ขันทีเจี่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง “เรื่องเช่อเหมินนั้นเกรงว่าจะไร้ผู้ใดรู้ดียิ่งกว่าองค์จักรพรรดิอู๋เสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าศพของนางกำนัลถูกฝังอยู่ที่สวนดอกไม้หลังตำหนักขององค์หญิงใหญ่ ? ”

ขันทีเจี่ยฉีกยิ้มจนเห็นฟัน “เนื่องจากผู้เฒ่าแซ่ซุยคือสุดยอดนักสะกดรอยตาม ในราตรีนั้นเขาได้แอบอยู่ใต้ท้องรถม้า และได้เข้าไปยังพระราชวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเขาเห็นสิ่งใดอีกกัน ? ”

“เขาได้ยินฮองเฮาซั่งขับร้องบทกวีพ่ะย่ะค่ะ”

“…”

“สัมผัสสวนเบญจมาศโดยบังเอิญ

ก่อตัวบ้านในโลกของมนุษย์ แต่ไร้เสียงรถม้ามารบกวน

ถามตัวข้าเหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น? จิตใจที่ออกห่างจะพบพานความสงบ

เก็บดอกเบญจมาศทางรั้วตะวันออก เมียงมองภูเขาหนานซานอย่างสบายใจ

ภูเขางามทั้งยามเช้าและพลบค่ำ วิหคอยู่รวมกันเป็นฝูง

ความหมายแท้จริงที่แฝงไว้ ลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถนา”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ากวีบทนี้เป็นดั่งปริศนา “กวีบทนี้ข้าเป็นผู้ประพันธ์ถวายให้แก่ฮองเฮาซั่งเอง”

“กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าที่ฮองเฮาซั่งโปรดกวีบทนี้ มิใช่เพราะท่อนที่ว่าเก็บดอกเบญจมาศทางรั้วตะวันออก เมียงมองภูเขาหนานซานอย่างสบายใจ”

“แล้วนางโปรดเพราะท่อนใดกัน ? ”

“ความหมายแท้จริงที่แฝงไว้ ลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถนา พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแน่นจนเป็นเกือบเป็นปมระหว่างกลาง

ตอนนั้นเป็นรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด วันที่หนึ่ง เดือนสิบ คราแรกที่เขามาเหยียบเมืองจินหลิง และเป็นวันสอบของทางสำนักราชวัง เนื่องจากบทความข้อเสนอแนะทางการเมืองของเขาทำให้ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าในวังหลวง

หลังจากประชุมราชวงศ์ได้สิ้นสุดลง ฮ่องเต้ก็ได้รับสั่งให้เขาอยู่ต่อ นั่นจึงเป็นคราแรกที่ตนได้ไปเยือนยังวังเตี๋ยอี๋ และเป็นคราแรกที่ได้ร่วมรับประทานอาหารที่นั่นด้วยเช่นกัน

ในตอนนั้นฮองเฮาซั่งยังเป็นสนมซั่งอยู่ นางกำลังประทับอยู่ในศาลาซิ่วชุนและทอดพระเนตรดอกเบญจมาศที่กำลังบานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เขาจึงได้ประพันธ์บทกวีบทนี้ถวายแก่พระองค์

‘กวีบทนี้ข้าโปรดมากยิ่งนัก มิอาจเผยแพร่ให้แก่ผู้ใดได้’

นั่นคือวาจาที่ฮองเฮาซั่งตรัสหลังจากได้ทอดพระเนตรกวีบทนี้ ฉะนั้นจวบจนวันนี้บทกวีบทนั้นก็ยังมิถูกขับร้องกันอย่างแพร่หลาย

สตรีมากความสามารถและสงบนิ่งจากฉีโจวผู้นี้เป็นแม่ยายที่โปรดปรานการปลูกดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ แต่ทว่าบัดนี้กลับมีความเกี่ยวข้องกับเช่อเหมินย่อมทำให้ฟู่เสี่ยวกวนยากที่จะเชื่อ

“เช่นนั้นท่านกำลังหมายความว่าพระองค์มีบางสิ่งที่มิอาจเอื้อนเอ่ยได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ในเมื่อ ลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถน ก็อาจจะหมายความว่ามีสิ่งที่มิอาจเอ่ยออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาททราบเรื่องนี้หรือไม่ ? ”

ขันทีเจี่ยพยักหน้าเล็กน้อย “ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ประหารนางกำนัลคนนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเหตุใดถึงเพิ่งมาบอกข้ากัน ? ”

“ทูลองค์ชาย เพราะสถานะของตาเฒ่าซุยผู้นั้นแม้แต่มดงานที่ส่งไปก่อนหน้านี้ก็ยังมิรู้ วันนี้พอได้รับสาส์นนกพิราบจากจักรพรรดิอู๋ เหล่ามดงานจึงได้ทราบเรื่องนี้จากปากของตาเฒ่าเอง และในสาส์นของจักรพรรดิอู๋ยังรับสั่งว่า…ขอให้เรื่องนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ “มิสืบหาความจริงต่อเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ในเมื่อฝ่าบาทรับสั่งว่าขอให้เรื่องนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ก็มิจำเป็นต้องหาต้นตอของปัญหาอีกต่อไปแล้ว กระหม่อมคิดว่า…ถ้าความจริงปรากฏขึ้นมาคงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าเช่นนั้นฮองเฮาซั่งก็อาจจะเกี่ยวข้องกับลัทธิจันทรา พระองค์ย่อมมีความเกี่ยวพันอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่านางกลับลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถนา เพราะดูเหมือนจะมิได้เป็นตัวของตัวเองในตอนนี้ บิดาอ้วนจึงหวังให้เรื่องจบลงเพียงเท่านี้

ทว่าผู้อาวุโสแห่งเช่อเหมินนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ ?

แล้วเหตุใดฮองเฮาซั่งถึงโยนความผิดไปที่องค์หญิงใหญ่กัน ?

“นี่คือสาส์นขององค์จักรพรรดิอู๋ องค์ชายลองทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

1บันทึกหอตะวันตก หรือ Record of Southern Bough เป็นหนึ่งในละครที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ผู้เขียน ถังเสี่ยนซู