ตอนที่ 661 คิดคำนึงในคืนสงบ ( 2 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 661 คิดคำนึงในคืนสงบ ( 2 )

ขันทีเจี่ยหยิบสาส์นฉบับหนึ่งออกมาแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เปิดอ่านทันที

“เสี่ยวกวนของข้า เรื่องในราชวงศ์หยูมีมากล้น มันได้สร้างความรำคาญใจให้แก่เจ้าหรือไม่ ?

เรื่องของลัทธิจันทราในทุกวันนี้เจ้ารู้ไปก็เปล่าประโยชน์จึงมิจำเป็นต้องไปสืบหาอันใดหรอก สตรีผู้นั้นคือแม่ยายของเจ้าและนางเป็นคนดีจึงอย่าได้ขุดคุ้ยเสาะหาสาเหตุขึ้นมาอีกเลย

ทว่าฮ่องเต้นั้นมีจิตใจคับแคบและไร้เหตุผล โอรสของข้าเอ๋ยโปรดจำให้ขึ้นใจว่า สามปี ! ภายในสามปีนี้เจ้าต้องกลับมายังผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋ !

ข้าซื้อที่ดินมากมายไว้ให้เจ้าแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เจ้าต้องส่งคนมาเพาะต้นกล้าเพื่อปลูกมันเทศที่ราชวงศ์อู๋ จงมาปลูกไว้ยังผืนปฐพีบ้านเกิดของเราเถิด หากเป็นเช่นนี้จึงจะมีความมั่นคง

……

สตรีนามหนานกงตงเซวี๋ยผู้นั้น พ่อมองแล้วก็มิเลว นางมีบั้นท้ายกลมกลึง เช่นนั้นพ่อจึงจัดส่งนางให้ไปอยู่ข้างกายของเจ้า บัดนี้เจ้าก็กำลังจะออกเดินทางไปว่อเฟิงเต้าแล้ว พ่อจึงมีความกังวลเหลือเกินว่าเจ้าต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ที่นั่น สตรีนางนี้เป็นคนรู้ความ ย่อมช่วยเจ้าผ่อนคลายความความทุกข์ใจได้อย่างแน่นอน

อีกประการหนึ่ง ข้าได้ส่งหนิงซือเหยียนไปด้วย เพื่อให้เขาอยู่ข้างกายคอยอารักขาเจ้า เช่นนี้ก็จะทำให้ข้าวางใจลงได้บ้าง

เอาล่ะ จำต้องพอเท่านี้ก่อน เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นมาประชุมราชสำนักตั้งแต่รุ่งสางข้าก็ปวดหัวขึ้นมาทันพลัน เจ้ารีบกลับมาเถิด ให้พ่อได้ใช้เวลาในบั้นปลายชีวิตอย่างสงบสุขคงจะดีมิน้อย ใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนอ่านสาส์นฉบับนี้เสร็จก็นิ่งค้างไปกว่าสิบอึดใจแล้วค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า บิดาอ้วนก็มีความเอาใจใส่เขาอยู่มิน้อยเลยทีเดียว

“เขาเอาเงินจากที่ใดไปซื้อที่ดินมากมายถึงเพียงนั้นกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

ในสาส์นฉบับนี้กล่าวว่าบิดาอ้วนได้ซื้อที่ดินในราชวงศ์อู๋มากถึง 60,000 ฉิง !

60,000 ฉิงแปลงเป็นที่ดินได้มากถึง 6 ล้านไร่ !

ข้ายังคงจำได้ดีว่ามีคราหนึ่งข้าเคยถามบิดาอ้วนว่ามีทรัพย์สินมากมายเท่าใด บิดาอ้วนบอกว่าทั้งตระกูลมีเงินทั้งหมดเพียงแค่หนึ่งล้านกว่าตำลึง แต่ทว่าที่ดิน 6 ล้านไร่นั้นอาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 100 ล้านตำลึง !

“หรือว่าเขาได้ทุจริตเงินในท้องพระคลังของราชวงศ์อู๋กัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องเอ่ยถามอย่างกังวลใจอีกครา เพราะความจริงแล้วตัวตนที่แท้ของอีกฝ่ายก็คือเศรษฐีที่ดิน เมื่อเห็นเงินทองในท้องพระคลังส่องแสงแวววาวก็อาจจะทำให้เกิดความคิดอยากหยิบฉวยซึ่งมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ขันทีเจี่ยยิ้มยิงฟันแล้วส่ายศีรษะ “ทูลองค์ชาย โจวถงถงเคยส่งจดหมายมาหากระหม่อม เล่าว่าแท้จริงนั้นฝ่าบาทเคยมีความคิดที่จะใช้เงินในท้องพระคลังจริง ๆ แต่เพียงโจวถงถงเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค ก็ได้ทำให้ฝ่าบาทล้มเลิกความตั้งไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“โจวถงถงเอ่ยสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เขาเอ่ยว่า…หากฝ่าบาททำให้เงินในท้องพระคลังว่างเปล่า แล้วต่อไปองค์ชายจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ด้วยเหตุนี้บิดาอ้วนจึงยอมล้มเลิกความคิดนั้นเพื่อให้ข้าได้มีเงินใช้เมื่อยามต้องกลับไปเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประทับใจมิน้อย คิดตริตรองอยู่ในใจว่า…มิว่าเยี่ยงไรบิดาก็มักจะนึกถึงข้ามากกว่าผู้ใดเสมอ

ขันทีเจี่ยมิได้ตอบว่าเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมาจากที่ใดแต่ได้เปลี่ยนบทสนทนาในทันที “เรื่องที่สองก็คือเรื่องกองกำลังดาบเทวะสองพันกว่านาย พวกเขาได้ตัดหญ้าของพื้นที่รกร้างในแคว้นฮวงและได้ปะทะกับกองสรรพาวุธที่เขาตงเฉิงหลิ่งเมื่อวันที่ยี่สิบหกเดือนสี่…”

ขันทีเจี่ยเงียบลงไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด

“ศึกครานั้นกองกำลังดาบเทวะได้แบ่งทหารกองพิเศษ 300 นายนั่งบอลลูนไฟลอยเข้าเหนือกองสรรพาวุธแล้วโจมตีจนสามารถทำลายล้างกองสรรพาวุธของแคว้นฮวงได้อย่างสิ้นซาก กว่าที่ทางแคว้นฮวงจะทราบข่าวนี้ ก็เกิดการระเบิดใส่ช่างฝีมือ 2,300 นายจนสิ้น จากนั้นก็ทำลายศูนย์วิจัยและพัฒนาปืนคาบศิลาจนพังพินาศเช่นกัน แต่ทว่า…”

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มรู้สึกตื่นเต้นและเสียงของขันทีเจี่ยก็เบาลงเรื่อย ๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งคราแล้วเอ่ยต่อว่า “ทว่าเหล่าทหารดาบเทวะ 2,000 นายถูกทัพทหารม้ากองที่หนึ่งของแคว้นฮวงล้อมเอาไว้ ท่าป๋าหลานควบอาชานำพลทหารม้ากว่าหนึ่งแสนนายเข้าบดขยี้กองกำลังดาบเทวะทั้งสองพันนาย…จากที่สืบทราบมาพบว่ากองกำลังที่หนึ่งของท่าป๋าหลานสูญเสียกำลังพลทั้งสิ้น 20,000 นาย ส่วนทหารดาบเทวะนั้นมิเหลือรอดแม้แต่นายเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจสุดขีด ดวงตาทั้งสองข้างลุกโชนด้วยไฟโทสะ !

“ผู้ใดเป็นผู้นำทัพทั้งสองพันนายนั้น ? ”

“ทูลองค์ชาย มีจงต้าฉุยอดีตหัวหน้ากองที่หนึ่งเป็นแม่ทัพ ส่วนฟ่านตงหลินอดีตหัวหน้ากองที่สองเป็นรองแม่พลนำทัพพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็หลับตาลง ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครา

แคว้นฮวง… ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าให้พังพินาศให้จงได้ !

ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนได้ฉายความน่าสะพรึงกลัวออกมา ขันทีเจี่ยเห็นแล้วก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกคราว่า “องค์ชาย…ข่าวที่สามคือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอี๋เฟิงเสียนชูได้มาถึงเกาเชวียซายดินแดนที่ติดกับแคว้นฮวงแล้ว บัดนี้กองกำลังทั้งหลายกำลังฮึกเหิม ดูเหมือนว่าตั้งใจจะบุกยึดผืนปฐพีของเผ่าหลานฉีแห่งแคว้นฮวงให้ได้”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แยแสต่อข่าวนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้เยียนเหลียงเจ๋อเป็นคนกุมอำนาจทั้งหมดไว้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือพิสูจน์ความสามารถในการเป็นจักรพรรดิของแคว้นอี๋ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อราษฎรทั้งหลาย

เมื่อสูญเสียว่อเฟิงหยวน เขาก็จำต้องเข้าไปแย่งชิงพื้นที่ที่กว้างขวางกว่า เช่นพื้นที่ของเผ่าหลานฉีและนี่ก็เป็นฟู่เสี่ยวกวนเองที่ชี้โพรงให้ ขอเพียงแค่เจ้าหมอนั่นมิมาข้องเกี่ยวกับว่อเฟิงเต้า นอกนั้นจะไปทำอันใดกับแคว้นฮวงก็เป็นเรื่องของเขา

“แล้วทหารดาบเทวะอีก 2,000 นายเมื่อใดจะเดินทางถึงเหมิงซาน ? ”

“ทูลองค์ชาย อีกประมาณ 10 วันพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านจงไปส่งข่าวให้เฉินป๋อทราบ”

“องค์ชายโปรดรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ให้จับเป็นฮุ่ยชินอ๋อง ส่วนคนที่เหลือในจวนชินอ๋องจงสังหารให้สิ้น สังหารให้ตกตายตามกันเสียให้หมด ! จากนั้นให้เฉินป๋อนำทัพไปยังภูเขาเฟิ่งหลินส่วนไป๋ยู่เหลียนนั้น ข้าจะย้ายเขาไปยังราชวงศ์อู๋ คาดว่าอีกสิบกว่าวันเขาจึงจะไปถึงที่นั่น ส่วนทางนี้ให้เฉินป๋อรับช่วงดูแลกองกำลังดาบเทวะต่อจากหยูเวิ่นเต้า ทหารดาบเทวะ 30,000 นายให้รวมเป็น 1 กองทัพ จาก 1 กองทัพแบ่งเป็น 3 กองพล แต่ละกองพลแบ่งออกเป็น 5 กองทหาร

ไป๋ยู่เหลียนเป็นแม่ทัพแต่ในช่วงที่เขาไม่อยู่ในราชวงศ์หยูก็ให้เฉินป๋อรักษาการแทนไปก่อน

บอกเฉินป๋อว่าในต้นปีหน้า ข้าอยากให้กองทัพทั้งสามหมื่นนายนี้มีกำลังการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพสูง…มิว่าจะเป็นการต่อสู้ในพื้นที่ภูเขาหรือที่ราบ พวกเขาทั้งหลายต้องเป็นนักรบที่ไร้เทียมทาน ! ”

“ในเดือนสามปีหน้า กองทัพทั้งสามหมื่นนายนี้จะต้องเดินทางไปถึงด่านภูเขาเยี่ยน ! ”

ขันทีเจี่ยผงะ ดูเหมือนว่าครานี้ฟู่เสี่ยวกวนจะเอาจริงกับเรื่องจัดการแคว้นฮวงเสียแล้ว !

ทุกวันนี้แคว้นฮวงมีกองทัพทหารมากถึง 400,000 นายและภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า หากทหารของทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอาจจะสู้กันได้อย่างสูสี แต่ทว่ากองกำลังดาบเทวะเพียงแค่ 30,000 นายต่อให้เก่งกาจมากเพียงใดก็เกรงว่าจะทำอันใดได้มิมาก

“ดังนั้นผืนปฐพีที่โดนทำลาย…ก็จะตกเป็นของราชวงศ์หยู” ขันทีเจี่ยเอ่ยแบบอ้อมค้อม

“ชายแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์อู๋ติดกับแคว้นอี๋มิใช่หรือ ? เช่นนั้นก็ขยายดินแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปอีกสักหน่อย”

เท่ากับว่าจะเปิดศึกสองด้านในคราเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ?

เอากองทัพของราชวงศ์หยูไปสู้กับแคว้นฮวง แล้วใช้กองทัพของราชวงศ์อู๋สู้กับแคว้นอี๋ ขณะเดียวกันทั้งแคว้นอี๋และแคว้นฮวงก็กำลังเปิดศึกสงครามอยู่ด้วย…นี่มิยุ่งเหยิงไปหน่อยหรือ !

เยี่ยงไรเสียนี่ก็คือการให้แคว้นอี๋และแคว้นหยูโจมตีแคว้นฮวงในเวลาเดียวกัน หากเป็นเช่นนี้แคว้นฮวงก็คงยากที่จะรับมือ จากนั้นก็จำต้องยอมแพ้ไปเสีย

จากนั้นแคว้นอี๋และแคว้นหยูก็จะแบ่งดินแดนกัน แล้วให้ราชวงศ์อู๋บุกเข้าไปในดินแดนของแคว้นอี๋อีกที… ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้มากเสียทีเดียว

ขันทีเจี่ยจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความนับถือ พลางคิดในใจว่าการที่ไป๋ยู่เหลียนเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ ต้องมีจุดประสงค์จะเข้าไปศึกษาวรยุทธที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นแน่

องค์ชายยังอยู่ที่ราชวงศ์หยูแต่กลับได้คิดวางแผนการให้ราชวงศ์อู๋ล่วงหน้าไว้แล้ว ภายใต้ความคลุมเครือนี้ในสักวันหนึ่งทั่วหล้าคงอยู่ในกำมือของพระองค์

องค์ชายเป็นบุคคลที่มีความสามารถอย่างแท้จริง !

โชคดีที่เขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ !

ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายหนึ่งฉบับแล้วส่งให้ขันทีเจี่ย นี่คือการแก้ไขเกี่ยวกับงานที่จะมอบหมายให้เฉินป๋อ รวมไปถึงกองกำลังดาบเทวะด้วย

“ทางซีหรงมีข่าวส่งมาบ้างหรือไม่ ? ”

“ทูลองค์ชาย เฟ่ยอันได้นำทัพ 200,000 นายไปยังซีหรงเมื่อวันที่สามสิบ เดือนสี่ ซูม่อและกองกำลังดาบเทวะที่สามได้กวาดล้างลัทธิจันทราเมื่อวันที่หก เดือนห้า และวันที่เจ็ดเดือนห้าก็ได้ครอบครองเหมืองทองคำแห่งนั้นสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”

“เยี่ยม ! จงส่งจดหมายถึงซูม่ออีกหนึ่งฉบับว่าให้เขาเริ่มขุดเหมืองทองได้เลย ถ้าหากมิมีจดหมายอนุญาตจากข้า มิว่าใครหน้าไหนก็ห้ามแตะต้องเหมืองทองนั้นเป็นอันขาด ! ”

ทันใดนั้นขันทีเจี่ยก็หวนนึกถึงเรื่องที่ฮ่องเต้อนุญาตให้ธนาคารซื่อทงออกตั๋วเงินได้ เขาจึงเผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันออกมา

หากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้คงจะทรงพระกันแสงเป็นแน่ !