บทที่ 406.1 ประชันอาคมบนยอดเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อาจารย์ผู้เฒ่าที่มาเยือนสำนักศึกษาท่านนั้นเป็นรองเจ้าขุนเขาท่านหนึ่งของสำนักศึกษาซานหยาเชื้อเชิญมา วันนี้ตอนบ่ายจึงมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ลูกศิษย์อยู่ในโถงเชวี่ยนเซวี๋ย (ส่งเสริมการเรียน)

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินผ่านเส้นทางผ่านระเบียงจนกระทั่งมาหยุดอยู่นอกโถงเชวี่ยนเซวี๋ยที่มีใบไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มเงา คาบเรียนเพิ่งจะจบลงพอดี เห็นเพียงว่าหลี่เป่าผิงที่อยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนเหมือนปลาจิ่นหลีตัวน้อยที่แหวกว่ายอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็วิ่งออกมาถึงหน้าประตู ออกมาจากเรือนที่ตั้งของโถงใหญ่ หลี่เป่าผิงกำมือข้างหนึ่งเป็นหมัดเพื่อใช้สิ่งนี้เป็นการชมเชยและให้รางวัลตัวเอง เพียงไม่นานก็มองเห็นเฉินผิงอันและเผยเฉียน หลี่เป่าผิงสาวเท้าก้าวเร็วๆ วิ่งมาหา เผยเฉียนมองหลี่เป่าผิงที่ปานประหนึ่งสายฟ้าแลบปลาบอยู่ในสำนักศึกษาก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส พี่หญิงเป่าผิงเป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ

หลังจากสามคนมารวมตัวกันแล้วก็ไปที่หอพักแขกพร้อมกัน หลี่เป่าผิงเล่าเรื่องน่าสนใจมากมายให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนหนังสือ ข้างกายเขามีกวางสีขาวหิมะนอนหมอบอยู่ด้วย ว่ากันว่าปีนั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ก่อตั้งสำนักศึกษาส่วนตัวของตัวเอง ได้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับเจตนารมณ์สวรรค์ กวางขาวจึงมาปกป้องอยู่ข้างกายอาจารย์ สำนักศึกษาที่สร้างขึ้นกลางป่าของภูเขาลึกถึงได้ไม่ถูกสัตว์ป่าลอบโจมตีและไม่ถูกภูตแห่งภูเขารุกราน

สุดท้ายหลี่เป่าผิงบอกว่ากวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าว มองดูเหมือนจะงดงามและมีชีวิตชีวาสู้กวางขาวตัวที่พี่หญิงเฮ้อของสำนักโองการเทพพาเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้

พอเฉินผิงอันนึกถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ให้รู้สึกหัวโต ยิ่งนึกถึงเรื่องหลังจากนั้นก็ยิ่งปวดหัว หวังเพียงว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องพบเจอกับนักพรตหญิงที่ในอดีตเคยมีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปอีกแล้ว

ปีนั้นตอนอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมลำคลองหลงซวี เฉินผิงอันได้พบหน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพที่เป็นตัวแทนของสายเต๋าเป็นครั้งแรก แล้วก็ได้เห็นกวางขาวที่ส่องประกายแสงแวววาวมหัศจรรย์ตัวนั้น ภายหลังเขาเคยถามชุยตงซานถึงได้รู้ว่ากวางตัวนั้นไม่ธรรมดา ภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็นเป็นสีขาวหิมะทั้งร่างเป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาที่ฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋าร่ายเอาไว้ ในความเป็นจริงแล้วมันคือกวางห้าสีตัวหนึ่งที่ต่อให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเห็นแล้วก็ยังน้ำลายสอ นับแต่โบราณกาลมาก็มีเพียงคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถเลี้ยงไว้ข้างกายได้

ปีนั้นเจ้าลัทธิลู่เฉินใช้มรรคกถาอันสูงส่งเชื่อมโยงสะพานแห่งโชควาสนาระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเข้าด้วยกัน เป็นเหตุให้หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา เฉินผิงอันจึงสามารถแบ่งใช้โชควาสนากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงได้อย่างเท่าเทียม การทำเช่นนี้แน่นอนว่าต้องซ่อนแผนการลึกล้ำยาวไกลที่ลู่เฉินวางไว้เพื่อเล่นงานสายบุ๋นของอาจารย์ฉี การชักคะเย่อทางจิตใจเช่นนี้มีอันตรายอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ป่านนี้ก็คงได้ไปอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของสิบสองชั้นห้านครของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว มองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่อันที่จริงกลับกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่นไปแล้ว

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเข้าใจสี่คำว่า ‘โชคและเคราะห์มักมาคู่กัน’ อย่างลึกซึ้ง

เพียงแต่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันที่แม้จะไม่ได้ถูกลู่เฉินดึงไปทางป๋ายอวี้จิง แต่ก็มี ‘ต้นตอแห่งโรค’ ที่มองไม่เห็นจำนวนมากถูกทิ้งเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นการไปเยี่ยมเยือนพื้นที่ลับอย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตก ในใจเฉินผิงอันจะรู้สึกมีอคติและผลักไสพวกมันให้ไกลตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งได้เดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับลู่ไถ และต่อมาก็ได้ฟังถ้อยคำที่จูเหลี่ยนพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงทำให้เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนความคิด ยิ่งมั่นใจแล้วว่าจะต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปสักครั้งให้จงได้

สถานที่ที่ถูกขนามนามว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เลื่อมใสการฝึกวรยุทธ์มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล สถานที่ที่แม้แต่อริยะสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ยังหงุดหงิดจนต้องลงมือซ้อมเซียนดินอย่างหนักจึงจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง

เฉินผิงอันอยากจะไปฝึกกระบี่ที่นั่น

เพียงลำพัง

เป็นการฝึกกระบี่อย่างเดียวและฝึกอย่างเต็มที่ที่สุด

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์สอนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ในหนังสือเล่มหนึ่งมีคนที่เลื่อมใสอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวท่านนี้บอกไว้ว่า การสอนหนังสือของอาจารย์ประหนึ่งนกกระเรียนเดียวดายที่บินทะยานมาทางทิศตะวันออกของมหานที เมื่อมันหยุดชะงักและส่งเสียงร้อง น้ำในแม่น้ำก็โถมตัวสูงขึ้นหาพระจันทร์กระจ่าง ข้าฟังอยู่นาน รู้สึกว่าพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เกินจริงอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือ ทว่าส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของอาจารย์ท่านนี้ยังคงเป็นการตื่นรู้หลังจากที่เดินขึ้นหอสูงทอดสายตามองมหาสมุทร ยกย่องการใช้กาพย์และบทกวีในการ ‘พบปะ’ กับนักปราชญ์สมัยโบราณ ร้อยรุ่นพันปีก็ยังคงได้รับการขานรับ ช่วยอธิบายและสนับสนุนความรู้ด้านหลักการแห่งสวรรค์ของเขาให้พัฒนาไปอีกก้าว เพียงแต่ว่าการบรรยายครั้งนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าพูดค่อนข้างละเอียด เลือกเอาแค่ตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งมาเป็นเป้าหมายในการอรรถาธิบายความหมายศัพท์โบราณ ไม่ได้เอาความสามารถในสายบุ๋นของพวกเขาออกมา ข้าจึงผิดหวังเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากออกมาหาอาจารย์อาน้อย ข้าก็ยังอยากไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าดูสักหน่อยว่าเมื่อไหร่ถึงจะสอนเรื่องใจคนและหลักการแห่งสวรรค์นั่น”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เป็นคนของสายอริยะลู่แห่งสำนักศึกษาเอ๋อหูในทักษินาตยทวีปงั้นหรือ?”

หลี่เป่าผิงยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์อาน้อยท่านรู้เยอะมากจริงๆ! ใช่แล้ว อาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็คืออริยะลู่ที่ถูกเรียกขานว่า ‘จิตใจมีใต้หล้า จิตพิศมองมหาสมุทรกว้างใหญ่’ ท่านนั้น”

เฉินผิงอันนึกถึงบันทึกใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มที่มอบให้อวี๋ลู่ อริยะลู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ ไม่รู้ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะมีโอกาสได้พบหน้าเขาหรือไม่

เผยเฉียนอยากจะเอ่ยแทรกอยู่หลายครั้ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางฟังทั้งสองคนคุยกันด้วยความมึนงง กลัวว่าหากเปิดปากพูดจะเป็นการปล่อยไก่ กลับกลายเป็นคนโง่ต่อหน้าอาจารย์และพี่หญิงเป่าผิง จึงรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย

ยังดีที่เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน เอ่ยสั่งสอนว่า “เห็นหรือยัง พี่หญิงเป่าผิงของเจ้ารู้จักสำนักฝ่ายความรู้และแก่นแท้ของการเรียนการสอนมากมายขนาดนี้ แม้เจ้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษา การเรียนหนังสือไม่ใช่อาชีพของเจ้า…”

เผยเฉียนกระทืบเท้า พูดอย่างน้อยใจ “อาจารย์ นางคือพี่หญิงเป่าผิงนะ ข้าจะเทียบกับนางได้อย่างไร หากเปลี่ยนไปเทียบกับคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหวล่ะ? เขามาเรียนอยู่ในสำนักศึกษาตั้งนานขนาดนี้แล้ว หากเอาไปเทียบกับเขา ข้าก็ยังเสียเปรียบอยู่ดีนะ”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หัวเราะฮ่าๆ ปล่อยมือมาตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดนักนะ”

กลับมาถึงหอพักก็เห็นว่าอวี๋ลู่มารออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เขายืนเคียงไหล่อยู่ใต้ชายคากับจูเหลี่ยน ดูเหมือนว่าจะคุยกับจูเหลี่ยนถูกคออย่างยิ่ง

มีอวี๋ลู่อยู่ด้วย เฉินผิงอันก็วางใจได้อีกไม่น้อย

คลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาตอนนั้นก็เป็นอวี๋ลู่ที่เป็นผู้ตัดสินในท้ายที่สุดอย่างเงียบๆ อยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เขาก็เล่นงานนักปราชญ์หลี่ฉางอิงจนอีกฝ่ายต้องถูกคนหามลงไปจากภูเขาตงหัว

เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ไปคุยกับเหมาเสี่ยวตงเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ห้องหนังสือของเขาต่อ บอกให้อวี๋ลู่ช่วยดูแลเผยเฉียน อวี๋ลู่ก็ยิ้มตอบรับ

เมื่อเฉินผิงอันจากไปแล้ว หลี่เป่าผิงก็บอกว่าจะกลับหอพักไปเขียนบันทึกเรื่องราวที่อาจารย์ผู้เฒ่าสอนในวันนี้ เผยเฉียนจึงหาข้ออ้างไม่ตามไปด้วย จากนั้นก็ไปยกหีบไม้ไผ่ออกมาจากห้องพักของเฉินผิงอัน หยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาจากข้างใน นางกับหลี่ไหวตกลงกันอย่างลับๆ ว่าจะเปิดศึกปรมาจารย์กัน นัดรบกันที่ยอดเขาของภูเขาตงหัว

อวี๋ลู่เดินขึ้นเขาไปพร้อมเผยเฉียน จูเหลี่ยนเดินจากไปเงียบๆ ก่อนแล้ว เพราะต้องแอบไปปกป้องหลี่เป่าผิงอย่างลับๆ ตามคำสั่งของเฉินผิงอัน

พอไปถึงยอดเขาภูเขาตงหัว หลี่ไหวก็มานั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว ด้านหน้าของเขาคือกล่องไม้เจียวหวงที่มีที่มาไม่ธรรมดากล่องนั้น

เผยเฉียนยิ้มกว้าง วางกล่องเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะ

อวี๋ลู่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน มองเด็กสองคนที่คุมเชิงกัน รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

หลี่ไหวมองกล่องเก็บสมบัติใบนั้นด้วยท่าทางเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ “เผยเฉียน เจ้าออกกระบวนท่ามาก่อนเลย!”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด เปิดกล่องเก็บสมบัติที่ปีนั้นเหยาจิ้นจือมอบให้ ด้านในกล่องแบ่งเป็นเก้าช่อง บรรจุหลิงจือไม้แกะสลักขนาดเล็กจิ๋วแต่งามประณีต เงินเหรียญหายากที่เหยาจิ้นจือซื้อมาเก็บไว้ มีชื่อเรียกว่าหมิงเฉวียน และยังมีป้ายลัทธิเต๋าเก่าแก่ซึ่งถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาอีกแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักเป็นภาพเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ เคราดก สวมเกราะสีทองชุดคลุมสีแดง ตรงหว่างคิ้วมีตาทิพย์ เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์เคยวิเคราะห์ให้ว่า นอกจากป้ายหลิงกวานและหลิงจือไม้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเล่นในโลกมนุษย์ ไม่ถือว่าเป็นของวิเศษตระกูลเซียนอะไร

เผยเฉียนหยิบแผ่นป้ายนั้นออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ “เชิญรับกระบวนท่าของข้า!”

หลี่ไหวเปิดกล่องไม้เจียวหวง หยิบหุ่นปั้นดินที่เป็นจอมยุทธ์สะพายกระบี่ออกมา ยกสองมือกอดอกกล่าวว่า “ข้ามีเซียนกระบี่คอยต้านรับศัตรู แถมยังฆ่าศัตรูได้ด้วย เจ้าจะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนรีบหยิบหลิงจือไม้แกะสลักที่เนื้อวัสดุละเอียดเรียบลื่น รูปแบบโบราณเรียบง่ายก้อนนั้นออกมา “ต่อให้เป็นกระบี่ของเซียนกระบี่ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาการณ์ของเจ้า หลิงจือก็เป็นยาบำรุงดีเยี่ยม สามารถต่อชีวิตได้! เจ้าออกกระบวนท่ามาใหม่!”

หลี่ไหวแค่นเสียงชิชะ หยิบตุ๊กตาคนจิ๋วตัวที่สองออกมา ซึ่งก็คือคนตีฆ้องบอกเวลา “ตีกลองตีฆ้องให้เจ้าหนวกหูตาย!”

เผยเฉียนหัวเราะเสียงหยัน หยิบเหรียญหมิงเฉวียนทั้งหลายมาวางไว้บนโต๊ะ “มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ ระวังคนตีกลองน้อยของเจ้าจะทรยศ หันกลับมาตีฆ้องร้องป่าวอยู่นอกหน้าต่างของเจ้าเอง! ตาเจ้าแล้ว!”

หลี่ไหวหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวที่สาม คือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะ “นี่คือแม่ทัพบู๊แห่งสมรภูมิรบ จงรักภักดีต่อข้ามากที่สุด เจ้าใช้เงินก็ไม่ต่างจากโยนซาลาเปาไส้เนื้อให้สุนัข มีแต่จากไปไม่มีกลับคืน!”

  จากนั้นหลี่ไหวก็หยิบตุ๊กตานักพรตที่ถือแส้ปัดฝุ่นตามมา “นี่คือท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่พักอยู่ในอารามเต๋าบนภูเขาท่านหนึ่ง แค่สะบัดแส้ก็สามารถคว่ำแม่น้ำพลิกมหาสมุทร เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?”

คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้หยิบสมบัติออกมาจากในกล่อง แต่หยิบถุงหอมที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ออกมาอย่างระมัดระวัง หันหลังกลับไปเทเงินเก็บส่วนตัวและกิ่งกุ้ยใบกุ้ยออกมาก่อน พอเก็บซ่อนเรียบร้อยแล้วค่อยวางถุงหอมที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลงบนโต๊ะ “ถุงเฉียนคุนใบนี้ของข้าไม่ว่าเวทเซียนหรือสมบัติอาคมอะไรก็ล้วนสามารถเก็บไว้ในถุง แส้ปัดขนไก่ของนักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้!”

จากนั้นเผยเฉียนก็วางกิ่งกุ้ยสีโปร่งใสแวววาว แค่เห็นก็ชวนชื่นชอบลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มคุยโวต่อ “นี่คือกิ่งไม้ท่อนหนึ่งที่มาจากต้นกุ้ยในตำหนักดวงจันทร์ แค่โยนลงบนพื้น พรุ่งนี้ก็จะมีต้นกุ้ยสูงกว่าบ้านหลังหนึ่งงอกขึ้นมา!”

หลี่ไหวรีบหยิบตุ๊กตาดินเหนียวตัวสุดท้ายที่เป็นรูปเซียนขี่กระเรียนออกมาสู้ “กระเรียนเซียนที่เป็นพาหนะของหญิงสาวผู้นี้ของข้าสามารถแอบคาบกิ่งกุ้ยของเจ้าไป!”

เผยเฉียนปลดดาบและกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวลงมา ตบลงบนโต๊ะหนักๆ “หนึ่งกระบี่ตัดกรงเล็บกระเรียนเซียน หนึ่งดาบตัดหัวสาวใช้ของเจ้า!”

ในที่สุดหลี่ไหวก็เอาหุ่นไม้หลากสี สูงครึ่งแขน ตัวสูงใหญ่กว่าคนจิ๋วชุดนั้นที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะมอบให้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งใต้บัญชาการณ์ของเขาออกมา “มือหนึ่งจับกระบี่ของเจ้า มือหนึ่งกุมดาบของเจ้า!”

หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มใช้สารพัดวิธี หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ไม้เท้าเดินป่าที่ผ่านการหลอมเล็กมาก่อน วัตถุทั่วไปในโลกมนุษย์ที่มีราคาค่างวด แต่ไม่ช่วยในด้านการฝึกตนซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเก็บสมบัติของเผยเฉียน

ส่วนหลี่ไหวก็หยิบเอา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นออกมา แม้แต่ภูตที่ปีนั้นอาเหลียงตบเข้าไปไว้ในหนังสือก็เอามาใช้ด้วย

แต่โดยภาพรวมแล้วยังคงเป็นเผยเฉียนที่ได้เปรียบ

—–