บทที่ 406.2 ประชันอาคมบนยอดเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนโต๊ะหินวางทรัพย์สมบัติของเผยเฉียนและหลี่ไหวไว้เต็มแน่น ละลานตา

อวี๋ลู่มองการประชันขันแข่งของเจ้าตัวน้อยทั้งสองอย่างเพลิดเพลิน

สุดท้ายหลี่ไหวถอนหายใจยาวเหยียด กุมหมัดกล่าว “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ความสามารถเป็นรองหนึ่งระดับ ข้าหลี่ไหวคือชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน ยอมรับความพ่ายแพ้ได้!”

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยักหน้ารับ ใช้สายตาชื่นชมมองหลี่ไหว “ไม่เป็นไร อย่างเจ้านี้เรียกว่าแม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี อยู่ในยุทธภพ วีรบุรุษชายชาตรีที่สามารถต่อสู้กับข้าได้หลายรอบขนาดนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้!”

หลี่ไหวหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ “อวี๋ลู่ เจ้าโชคดีได้ชมศึกบนยอดเขาครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”

เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ใช่ชาวยุทธที่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม ดังนั้นอวี๋ลู่เจ้าแค่จดจำไว้ก็พอ ไม่ต้องเอาไปป่าวประกาศที่อื่น”

หลี่ไหวหันมามองสบตากับเผยเฉียนแล้วยิ้มกว้างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

บุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลมย่อมรักบุคคลที่ฉลาดเฉียบแหลม

เผยเฉียนคิดว่าวันหน้าหากหลี่ไหวสะพายหีบหนังสือออกเดินทางไกล นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่ายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าวิชากระบี่ล้ำเลิศ วิชาดาบอันเผด็จการ

หลี่ไหวคิดว่าวันหน้าเมื่อออกจากสำนักศึกษาไปทัศนาจร จะต้องลากเผยเฉียนออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันถูกคอแบบนี้ เขาค่อนข้างจะสบายใจ

อวี๋ลู่ที่นั่งมองเงียบๆ อยู่ด้านข้างรู้สึกทึ่งยิ่งนัก

ทั้งทึ่งในเรื่องที่เจ้าตัวน้อยทั้งสองได้ครอบครองของล้ำค่ามากมายขนาดนี้ แล้วก็ทึ่งในความหน้าหนา นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดีของคนทั้งสองด้วย

เพราะหลี่ไหวโดดเรียนมา ดังนั้นตอนนี้บนยอดเขาจึงไม่มีลูกศิษย์หรือนักท่องเที่ยวมาเยือน นี่ช่วยลดปัญหายุ่งยากให้กับอวี๋ลู่ได้มาก เขาปล่อยให้คนทั้งสองเริ่มเก็บสมบัติของตัวเองช้าๆ

ในฐานะรัชทยาทของราชวงศ์สกุลหลู อีกทั้งตอนนั้นสกุลหลูก็มีชื่อเสียงด้าน ‘ทรัพย์สมบัติมากมาย’ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เว้นจากเฉินผิงอันไม่นับ สายตาของเขาดีกว่าเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาเสียอีก ดังนั้นอวี๋ลู่จึงรู้ว่าสมบัติของเจ้าตัวน้อยทั้งสองแทบจะสามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือแม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระได้เลย หากไม่นับรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้

อวี๋ลู่หันไปพูดล้อเล่นกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าไม่กลัวว่าข้าเห็นสมบัติแล้วจะเกิดใจละโมบขึ้นมาหรือ?”

อวี๋ลู่รู้นิสัยของหลี่ไหวดีว่าเป็นคนที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้า ดังนั้นเขาจึงไม่ถามคำถามนี้กับหลี่ไหว

เผยเฉียนตวัดค้อนใส่อวี๋ลู่หนึ่งที ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เล็กน้อย รู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่ออวี๋ลู่ผู้นี้สมองไม่ใคร่จะดีนัก “เจ้าเป็นเพื่อนของอาจารย์ข้า ข้าจะไม่เชื่อในคุณธรรมของเจ้าได้หรือ?”

อวี๋ลู่อึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้

……

ทางฝั่งของห้องหนังสือ หลังจากที่คนทั้งสองอนุมานรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมวัตถุเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็ตบไม้บรรทัดตรงเอว วัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นที่ใช้ในการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองก็ลอยออกมาจากไม้บรรทัด พากันร่วงลงบนโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดชนิด ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่านั้น ราคาก็มีสูงมีต่ำ ตอนนี้ยังขาดอีกหกอย่าง สี่อย่างในนั้นอีกไม่นานก็จะส่งมาถึงสำนักศึกษาซานหยา ยังมีอีกสองชิ้นที่ค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถหาอย่างอื่นมาแทนที่ได้ เพียงแต่ว่าจะส่งผลต่อระดับขั้นในท้ายที่สุดหลังจากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเสร็จไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรเหมาเสี่ยวตงก็ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้สูงมาก หวังว่าเฉินผิงอันจะสามารถหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิที่ช่วยพิทักษ์ช่องโพรงลมปราณแห่งที่สองได้บนภูเขาตงหัวที่มีตนเฝ้าบัญชาการณ์

เหมาเสี่ยวตงเก็บกลั้นคำพูดบางอย่างไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยกับเฉินผิงอัน หนึ่งเพราะอยากจะทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงระคนดีใจ สองเพราะกังวลว่าเฉินผิงอันจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป เอาแต่พะวงถึงผลได้ผลเสียกลับจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี

หากหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็จะเหมือนอ๋องโหวชนชั้นสูงสร้างจวน แล้วก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ชูธงขึ้นในสนามรบ สามารถเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณเมื่ออยู่ในสถานที่หรือช่วงเวลาที่พิเศษ ยกตัวอย่างเช่นแผนภูมิสวรรค์ (คือระบบเลขฐาน 60 แบบวนรอบที่เขียนด้วยอักษรจีน ซึ่งประกอบด้วยส่วนย่อย 2 ส่วน ได้แก่ภาคสวรรค์ เรียกว่า ‘ราศีบน’ มี 10 ตัวอักษร และภาคปฐพี เรียกว่า ‘ราศีล่าง’ มี 12 ตัวอักษร) ของธาตุทองในห้าธาตุอันได้แก่เกิง (ภาคสวรรค์ธาตุหยาง ธาตุทอง) ซิน (ภาคสวรรค์ธาตุหยิน ธาตุทอง)  เซิน (ปีวอก 15.00-17.00 น.) โหย่ว (ปีระกา 17.00-19.00 น.) สถานที่ที่เหมาะแก่การดูดซับปราณวิญญาณก็คือทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานที่ที่มีภูเขาเขียวน้ำใส นอกจากนี้ความหมายของทองก็คือการพิชิตสังหาร หากผู้ฝึกตนเป็นพวกชอบผดุงคุณธรรมช่วยเหลือคนอ่อนแอ นิสัยแข็งกร้าว มีปราณสังหารที่เข้มข้นก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว เป็นเหตุให้ถูกขนานนามว่า ‘ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกระโชกแรง เสียงดังดุจลั่นระฆัง ไยต้องกลัดกลุ้มว่าจะไร้ชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนัก’

เพียงแต่ความลี้ลับเหล่านี้คือศักยภาพแฝงของวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุทองบนโลกแทบทั้งหมด ทว่าหัวใจบุ๋นสีทองของเฉินผิงอันกลับมีโชควาสนาที่เก็บซ่อนอำพรางไว้เป็นความลับอีกชั้นหนึ่ง

เหมาเสี่ยวตงเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้หลังจากอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่มีเพียงเล่มเดียวซึ่งค่อนข้างจะเอนเอียงคลุมเครืออย่างยิ่ง ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ยังไม่รู้

หลอมหัวใจบุ๋นสีทองที่ระดับขั้นสูงสุดดวงหนึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตล้ำค่าตรงที่ว่ามันแทบจะเป็นสิ่งที่ได้แต่ปรารถนา มิอาจได้มาครอบครอง แล้วก็ต้องหลอมให้ได้สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิเท่านั้น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญในสำคัญก็คือคนที่หลอมวัตถุชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีโชควาสนาดีและเชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าสังหาร จิตใจยังต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับชะตาบุ๋นที่ซ่อนอยู่ในหัวใจบุ๋นด้วย อีกทั้งยังต้องใช้วิชาหล่อหลอมวัตถุชั้นสูง เมื่อปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใด สุดท้ายหัวใจบุ๋นสีทองที่หลอมออกมาได้ถึงจะสามารถไต่ไปถึงระดับที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอย่าง ‘เป็นคนดีมีคุณธรรมสูงส่ง ย่อมไม่ถูกวัตถุนอกกายล่อลวง!’

เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสนียดจัญไรกลิ่นอายสกปรก ไม่กล้าพูดว่าหมื่นความชั่วร้ายมิอาจรุกราน ภูตผีปีศาจทั้งหมดบนโลกพากันถอยหนีไกลสามฉื่อ แต่กระนั้นก็มีพลังสยบกำราบตามธรรมชาติ สามารถสยบสิ่งมีชีวิตที่ใต้หล้าไพศาลมองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมได้

ประสิทธิผลประเภทนี้คล้ายคลึงกับเจียวหลงในแม่น้ำ ทะเลสาบและมหาสมุทรของยุคบรรพกาลที่เกิดมาก็สามารถขับไล่ สยบพิฆาตเผ่าพันธ์สิ่งมีชีวิตในน้ำได้นับพันนับหมื่นเผ่า

เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดที่วุ่นวายลงไป ในขณะที่เฉินผิงอันมองประเมินวัตถุดิบวิเศษเหล่านั้นอย่างละเอียด เขาก็เอ่ยช้าๆ ว่า “หลายวันมานี้ข้าพยายามหลบเลี่ยงช่วงกลางวันที่ผู้คนมากสายตาเยอะ ไปเยือนสถานที่ที่มีโชคชะตาบุ๋นเข้มข้นอย่างศาลบุ๋นและสถานที่แห่งอื่นของเมืองหลวงต้าสุยยามค่ำคืน ข้าจำเป็นต้องเอาชะตาบุ๋นบางส่วนกลับมาและเบิกใช้ล่วงหน้า บางส่วนก็เหมือนกับว่าสำนักศึกษาของพวกเรา… ‘ฝากเก็บไว้’ ไปพูดจาเหมือนพ่อค้าหน้าเลือดกับพวกเขา แต่อันที่จริงกลับถือว่าพวกเขาได้เงินปันผลที่ได้จากการค้าขาย สำหรับเรื่องนี้เชื้อพระวงศ์สกุลเกาและที่ว่าการของกรมพิธีการต้าสุยก็ทำได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรข้าก็แค่เอากลับมาภูเขาตงหัวเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก ภูเขาตงหัวยังคงตั้งอยู่บนแผ่นดินของต้าสุย”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเตือน “ช่วงเวลาระหว่างนี้ เจ้าแค่ยืนอยู่ข้างกายข้าก็พอ ไม่ต้องพูดอะไร การที่ข้าพาเจ้าไปด้วยก็เพราะอยากลองหยั่งเชิงดูโชควาสนาชะตาบุ๋นที่เป็นของเจ้าว่ามีหรือไม่มี ทำไม เจ้ารู้สึกพิกล? เฉินผิงอัน เจ้าคิดผิดแล้ว อันที่จริงตอนนี้เจ้ารู้เรื่องการช่วงชิงบนสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อแค่ผิวเผินเท่านั้น เห็นแค่ภายนอก ไม่รู้ความหมายของมัน สรุปก็คือตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไม่ได้บอกให้เจ้าไปรับสายบุ๋นสายไหนเป็นบรรพบุรุษสักหน่อย ไม่ต้องตื่นเต้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”

เหมาเสี่ยวตงพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมอีกว่า “ตอนนี้ลมปีศาจฝนชั่วร้ายกำลังตั้งเค้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย เหตุการณ์ไม่สงบสุขอย่างยิ่ง ครั้งนี้ข้าพาเจ้าออกไปจากสำนักศึกษาเพราะยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากสองอย่าง เพียงแต่ว่าจะอันตราย อีกทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ ด้วย เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่?”

เหมาเสี่ยวตงวางท่าชัดเจนว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นกังวล “ข้าย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าขุนเขาเหมาออกไปจากสำนักศึกษาก็เท่ากับว่าออกไปจากฟ้าดินของอริยะ หากอีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน แรกเริ่มสุดคนที่พวกเขาต้องการเล่นงานก็คือเจ้าขุนเขาเหมาที่อยู่ในสำนักศึกษา แบบนี้เจ้าขุนเขาเหมาจะไม่เสี่ยงอันตรายมากหรอกหรือ?”

“คิดจะเล่นงานข้า ต่อให้ข้าออกจากภูเขาตงหัว อีกฝ่ายก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบถึงจะมีความมั่นใจนั้น”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ “แต่เจ้าคิดว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปเหมือนของเล่นที่หลี่ไหวกับเผยเฉียนเก็บสะสมไว้ คิดจะเอาออกมาโอ้อวดตอนไหนก็ได้งั้นหรือ? ขอบเขตหยกดิบเพียงหนึ่งเดียวของต้าสุยคือบรรพบุรุษสกุลเกาเหอหยาง อีกทั้งยังเป็นนักเล่านิทานที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และเขาก็ไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดของเจ้านานแล้ว บวกกับที่นักพรตใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปผู้นั้นร่างดับมรรคาสลาย เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสร่วงกระจายกลางอากาศเหนือแจกันสมบัติทวีป พวกตะพาบเฒ่าอายุพันปีที่มีคุณสมบัติไปช่วงชิงมันมาอย่างฉีเจินเทียนจวินสำนักโองการเทพ บรรพบุรุษสกุลเจียงที่มีข่าวลือว่าแอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินนานแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของท่าเรือหางผึ้งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คนเหล่านี้ต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชันสติปัญญาความรู้ คนที่เหลืออยู่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เตรียมจะลงมือต่อสู้กับเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป”

เหมาเสี่ยวตงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติน้อยใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปมีมากถึงสองร้อยกว่าแคว้น แต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่เกิดและเติบโตมาในทวีปนี้มีแค่กี่คนกันเชียว? สองมือนับยังพอ ก่อนที่ชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะมาแจกันสมบัติทวีป ช่วงที่โชคไม่ดีก็อนาถยิ่งกว่านี้เสียอีก แค่มือเดียวก็นับได้หมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนทวีปอื่นจะดูแคลนแจกันสมบัติทวีป เพราะเทียบกับคนอื่นไม่ติดจริงๆ และทุกด้านก็ล้วนเป็นเช่นนี้ อืม ควรจะพูดว่าเว้นจากวิถีวรยุทธ์ ถึงอย่างไรซ่งจ่างจิ้งและหลี่เอ้อร์ก็ปรากฎตัวติดๆ กัน อีกทั้งยังอายุน้อยขนาดนี้ ถือว่าน่าตกตะลึงมากแล้ว”

เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องที่มีคนติดประกาศเสนอรางวัลค่าหัวซ่งจ่างจิ้งที่เรือนซือเตาภูเขาห้อยหัว

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใต้หล้าไพศาลเคยชินที่จะดูแคลนแจกันสมบัติทวีปแล้ว รอวันหน้าเจ้าไปหาประสบการณ์ที่ทวีปอื่น หากบอกว่าตัวเองมาจากแจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดจะต้องถูกคนดูถูกบ่อยๆ แน่ ตอนที่สำนักศึกษาซานหยาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องเดียวที่ฉีจิ้งชุนทำสำเร็จในช่วงเวลายี่สิบสามสิบปีนั้นคืออะไร?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้”

เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มบางๆ “นั่นก็คืออบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าให้แก่ราชวงศ์ต้าหลีอย่างเหนื่อยยาก แต่กลับมีคนหัวแหลมคนแล้วคนเล่าคิดอยากจะไปเรียนที่สำนักศึกษากวานหูซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ฉีจิ้งชุนก็ไม่ขัดขวาง ที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ ฉีจิ้งชุนยังต้องเขียนจดหมายแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มเหล่านั้น ช่วยพูดเรื่องดีๆ แทนพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในสำนักศึกษากวานหูอย่างราบรื่น”

เฉินผิงอันตะลึงพรึงเพริด

เหมาเสี่ยวตงสีหน้าเฉยชา “ราชวงศ์ต้าหลีในเวลานั้นแทบจะเป็นบัณฑิตกันทุกคน ผู้คนต่างก็รู้สึกว่าวิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูอธิบายหลักการและเหตุผลได้ดีกว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา”

ในห้องหนังสือไร้สรรพสำเนียงอยู่นาน

เหมาเสี่ยวตงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ดังนั้นตั้งแต่อาจารย์ของพวกเรามาจนถึงฉีจิ้งชุน สุดท้ายมาถึงข้าเหมาเสี่ยวตงล้วนไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า ใครกันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงที่ถูกต้องเหมาะสม มีกี่คนกันแน่ที่ถือเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้อย่างสมชื่อ แล้วใครที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่แท้จริง เฉินผิงอัน เจ้าว่าตลกหรือไม่? หันกลับไปมองสายบุ๋นสายอื่น นั่นต้องเรียกว่าสืบทอดกันอย่างเป็นระบบระเบียบ กฎเกณฑ์เข้มงวด ประหนึ่งหมู่มวลดาราที่งดงามตระการตา”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ

เหมาเสี่ยวตงเดินไปหยุดที่หน้าต่าง โดยไม่ทันรู้ตัวด้านนอกก็เป็นภาพที่ดวงจันทร์และดวงดาวส่องแสงระเรื่อแล้ว

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าคนหนุ่มที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือศิษย์น้องเล็กของตนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะดื่มเหล้าต่อไปดีหรือไม่