เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “ท่านแม่ ในจวนอ๋องฉีน่ะมีเงินทองเต็มไปหมด เพียงซื้อของพวกนี้ขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเสียดายไป”
พูดจบก็เสริมว่า “พวกเจ้าเก็บของกันไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะต้องสั่งให้พวกกัวเฟยไปจัดการเสียหน่อย อีกครู่ข้าจะกลับมาช่วย”
เมิ่งซื่อโบกมือ “ไปเถิด ไม่นานพวกเราก็เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องถึงมือเจ้าหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ สีหน้ายิ้มแย้มได้หายไป เดินไปทางที่พักของกัวเฟยและเหล่าองครักษ์อย่างรวดเร็ว ชิงหลวนและจูหลีก็เดินตามติดไม่ห่าง
สองคืนก่อนวันตรุษจีน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำมากนัก กัวเฟยจึงได้พาเหล่าองครักษ์ สามพี่น้องของเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ของพวกเขาไปยังสนามฝึกซ้อม ฝึกซ้อมกังฟูยามเช้าจนกระทั่งเหงื่อท่วมตัว เพิ่งจะกลับมากินข้าวเช้าเมื่อครู่ ยังไม่ทันได้เก็บถ้วยชามก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก็รู้ได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วเป็นแน่ จึงรีบลุกยืนขึ้น ถามว่า “เจ้านาย มีอะไรจะสั่งข้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองเหล่าองครักษ์ในห้อง และสั่งกัวเฟยว่า “มีสองเรื่องให้พวกเจ้าไปทำ เรื่องแรก พวกเจ้ารีบส่งคนไปในเมือง สืบค้นประวัติของผู้ว่าราชการคนปัจจุบันมาให้ละเอียด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เจ้าจะต้องเอาคำตอบมาให้ข้าก่อนวันพรุ่ง”
กัวเฟยตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งต่อไปว่า “เรื่องที่สอง ส่งคนแฝงตัวเข้าไปที่จวนจู ไปดูว่าคนในครอบครัวนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง กลับมารายงานให้ข้ารู้”
กัวเฟยตอบรับอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินจากแขนเสื้อออกมามอบให้เขา “ไปตอนนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าใดยิ่งดี”
กัวเฟยรับตั๋วเงินมา
หลังจากสั่งงานเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังเดินกลับจวนไป ถอนหายใจยาวเหยียดให้อารมณ์ของตนเองสงบลง จึงค่อยเดินเข้าไปด้านใน และมายังห้องซีเซียงอีกครั้ง
เมื่อเห็นนางกลับมาเร็วเช่นนี้ เมิ่งซื่อจึงถามว่า “สั่งงานเสร็จแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า โกหกไปว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่ให้กัวเฟยไปซื้อของให้”
เมิ่งซื่อไม่ได้คิดอะไร จึงไม่ได้ถามต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้เส้าเอ๋อร์ที่กำลังยุ่งอยู่ “เส้าเอ๋อร์ มาหาอาเร็ว พวกเราไปเยี่ยมน้องด้วยกันดีหรือไม่”
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไป เยี่ยนเอ๋อร์ยังไม่คลอดลูก เมื่อวันกลับมาก็ดึกแล้วจึงไม่ได้ไปเยี่ยม ตอนนี้จัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้มีเวลาไปเยี่ยมสักหน่อย
เส้าเอ๋อร์เองต้องดีใจเป็นธรรมดา วางของในมือเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือของเขา พูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ หยิบกล่องสีแดงทางนั้นให้ข้าที ในนั้นมีสร้อยอายุมั่นขวัญยืนที่ข้าทำมาให้เซิ่งเอ๋อร์ ให้ช่างฝีมือที่ชำนาญในเมืองหลวงทำให้เชียวหนา”
เมิ่งเสียนหยิบกล่องที่นางว่า ยื่นให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับไป พูดว่า “เตี่ย แม่ ข้าไปบ้านพี่รองนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด บอกซ้อรองว่าวันพรุ่งให้มากินข้าวกลางวันที่นี่ ห่อเซิ่งเอ๋อร์ไว้ให้ดี อากาศเย็นแล้วอย่าให้หลานหนาวเอาได้”
วิถีชนบทก็เป็นเช่นนี้ ในคืนก่อนตรุษจีน และวันตรุษจีนคนในครอบครัวจะต้องมารวมตัวกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา หากไม่ทำเช่นนี้ จะถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเอาได้ว่าครอบครัวไม่อบอุ่น ลูกหลานไม่กตัญญู
เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก “เจ้าค่ะ”
ถือกล่องสร้อย จูงมือเส้าเอ๋อร์ คนตัวโตและคนตัวเล็กเดินจูงมือคุยกันไปจนถึงจวนเมิ่งฉี
พอดีกับที่มีสาวใช้สองคนออกมาเทน้ำเสียทิ้ง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดอย่างดีใจว่า “แม่นางมาแล้วหรือเจ้าค่ะ เข้ามาก่อยเจ้าค่ะ เมื่อครู่แม่นายนังบ่นคิดถึงอยู่พอดี หากไม่ใช่เพราะอากาศหนาว พาคุณหนูอกมาไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะไปหาเสียนานแล้ว”
พูดจบ ก็วางถังไม้ที่เอาไว้ตักน้ำเสียลงบนพื้น สาวใช้คนหนึ่งรีบหันหลังกลับไปรายงาน
เมื่อหวางเยียนได้ยินที่สาวใช้รายงานแล้วนั้น จึงได้รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพิ่งจะพูดกับพี่รองของเจ้าอยู่พอดีว่าให้เขาดูลูกให้ข้าที ข้าจะไปหาเจ้า เจ้าก็มาพอดี”
“เมื่อวานข้ากลับมาดึกแล้ว เช้านี้ก็มีเรื่องยุ่งจนถึงเมื่อครู่จึงได้มีเวลาว่างมาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมอธิบาย
เส้าเอ๋อร์ตะโกนอย่างนอบน้อมว่า “คุณอารองขอรับ”
หวางเยียนขานรับ ลูบหัวของเขา “เข้าไปด้านในเถิด น้องของเจ้ายังไม่หลับนะ”
เส้าเอ๋อร์ปล่อยมือจากเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความตื่นเต้น วิ่งนำเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามหวางเยียนเข้าไปด้านใน
ในห้องจุดไฟเอาไว้ เมื่อเดินเข้าไป ไอร้อนก็ได้ลอยมาประทะหน้า เมิ่งฉีวางลูกที่เมื่อครู่กำลังอุ้มอยู่ลง เส้าเอ๋อร์เดินไปหาเซิ่งเอ๋อร์ และหยิบมือน้อยของน้องขึ้นมาเล่นอย่างคุ้นเคย
หวางเยียนกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจผิด จึงได้รีบอธิบายว่า “พี่รองของเจ้าเมื่อกลับบ้านมาก็อุ้มลูกไม่ยอมวาง ข้าจะบอกอย่างไรก็ไม่ฟัง”
“พอเซิ่งเอ๋อร์คลอดมา พี่รองก็ไปช่วยงานข้าที่เมืองหลวง ไม่ได้มีเวลาดูแลพี่และลูก บัดนี้ทำเช่นนี้สมควรแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดอย่างไม่ใส่ใจ พูดจบจึงได้นำกล่องสร้อยในมือยื่นให้หวางเยียน “ข้าให้ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนมาให้เซิ่งเอ๋อร์ ท่านรับไว้เถิด”
เมื่อครั้งที่เส้าเอ๋อร์เกิดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนให้ ครานี้เซิ่งเอ๋อร์เองก็จะได้รับเช่นกัน หวางเยียนไม่ปฏิเสธ รับมาและเปิดดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตะลึง “เป็นสร้อยที่สวยเหลือเกิน!”
เมื่อเส้าเอ๋อร์ได้ยินเสียงจึงได้มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หวางเยียนย่อตัวลง ยื่นสร้อยในมือให้ต่ำลง เพื่อให้เขาเห็นได้ชัด
เมิ่งฉีเองก็เห็นรูปทรงของสร้อยแล้ว จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “น้องเล็ก เจ้าไปสั่งทำสร้อยนี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดข้อจึงไม่รู้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบยิ้มๆ ว่า “ก็เมื่อครั้งที่ทหารสามร้อยนายเข้าไปที่โรงงาน ท่านยุ่งอยู่กับการจัดการดูแลพพวกเขา ข้าไม่มีอะไรทำ จึงได้ไปร้านที่ทำเครื่องประดับให้กับโม่เอ๋อร์ สั่งให้ช่างที่เก่งที่สุดในร้านทำสร้อยอายุมั่นขวัญยืนให้ ที่จริงยังมีสร้อยข้อมือข้อเท้าเข้าชุดกันด้วย แต่พวกเขางานเยอะ ทำไม่ทัน จึงได้ทำสร้อยเส้นนี้ให้ข้า เจอหน้าหลานชายครั้งแรก คนเป็นอาอย่างข้าก็ต้องมีของรับขวัญด้วยสิเจ้าคะ”
เส้าเอ๋อร์ยิ่งดูยิ่งชอบ อดไม่ไหวที่จะหยิบมาดู
เมื่อหวางเยียนเห็นดังนั้น จึงได้หยิบสร้อยขึ้นมา วางกล่องลง และสวมสร้อยไปบนคอของเขา จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “น้องเล็กมีน้ำใจเสียจริง”
เมื่อสวมสร้อยแล้ว เส้าเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างมากเดินไปหาเซิ่งเอ๋อร์และพูดด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “น้อง สวยหรือไม่ หากเจ้าปีนขึ้นมาเล่นกับพี่ได้ พี่ก็จะมอบสร้อยนี้ให้เจ้า”
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนหัวเราะไปกับคำพูดของคนตัวเล็ก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปหาเซิ่งเอ๋อร์ อุ้มเขาขึ้นมาอย่างระวัง โยกเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “ข้าได้ยินพี่รองว่าตั้งแต่ที่ท่านคลอดเซิ่งเอ๋อร์ออกมา ท่านแม่ก็ผิดหวังมาก เร่งซ้อใหญ่ทุกวันว่าให้รีบท้องอีกคน ทำเอาซ้อใหญ่กลัวจนเอาแต่ขลุกอยู่ในโรงงานไม่ยอมกลับบ้าน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี่ เยียนเอ๋อร์ก็หัวเราะขึ้นมาพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ช่วงนั้นซ้อกลัวจนไม่กล้ากลับบ้านเลยหล่ะ เกือบจะนอนที่โรงงานอยู่แล้ว หลายครั้งอ้างว่าจะมานอนที่นี่เป็นเพื่อนข้า แต่แม่ก็ส่งคนมาตามถึงที่นี่ หากไม่ใช่เพราะตอนหลังพี่ใหญ่เขา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงไม่ได้พูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่านางหมายถึงเรื่องที่เมิ่งเสียนรับภรรยาน้อยเข้าบ้าน จึงได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากที่ข้ากลับบ้านมาเมื่อวาน ข้าก็ได้สืบเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ถูกคนวางแผนใส่ร้าย เขาไม่ได้ทำเรื่องให้ซ้อใหญ่ต้องเสียใจเลย บัดนี้ทั้งสองไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านวางใจเถิด”
เมิ่งฉีไม่เข้าใจ หวางเยียนประหลาดใจ “พี่ใหญ่ไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือ เหตุใดพวกเขาต้องมาทำร้ายพี่ใหญ่ด้วย”
“เรื่องนี้ซับซ้อน รอให้ผ่านตรุษจีนนไปก่อน รอให้ข้ามีเวลาแล้วจะมาเล่าให้พี่รองและซ้อรองฟัง ตอนนี้อย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย รั่วหลานน่ะ ข้าก็สั่งให้คนไปเฝ้ายามไว้แล้ว ไม่มีทางทำเรื่องวุ่นวายได้อีก ตรุษจีนปีนี้ ครอบครัวเราก็ฉลองกันได้อย่างสงบสุข”