เล่มที่ 20 เล่มที่ 20 ตอนที่ 592 บุรุษข้างกายฉีอ๋อง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ผลสุดท้าย ซูจิ่นซีก็ไม่ได้อันใดจากปากของฮูหยินเฒ่าหาน นางจ้องมองด้านหลังของฮูหยินเฒ่าหานที่กำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ประคองกลับเข้าไปในห้อง ด้วยสายตาซับซ้อน

วันนี้ ซูจิ่นซีได้รับข่าวสำคัญสองเรื่อง

เรื่องแรก สำนักแพทย์เทียนอีส่งจดหมายกลับมาที่สกุลจง บอกว่าหัวหน้าสำนักแพทย์และหัวหน้าสำนักโอสถรับปากจะเข้าร่วมการแข่งขันซิ่งหลินของสกุลจง

แน่นอนว่าคนจากสำนักแพทย์เทียนอี ทั้งยังเป็นถึงหัวหน้าของทั้งสองสำนัก เมื่อเดินทางมาร่วมการแข่งขันซิ่งหลิน ย่อมไม่ได้มาเพื่อร่วมแข่งขัน ดังนั้น ทั้งสองท่านต้องเดินทางมาเพื่อเป็นกรรมการตัดสินอย่างไม่ต้องสงสัย

ข่าวดีอีกเรื่องก็คือ น้องชายที่ไม่พบกันนานอย่างซูอวี้ ได้เดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขันซิ่งหลินของสกุลจง ทั้งเขายังเดินทางมาถึงเมืองเย่หลินแล้ว

อีกคนที่มาพร้อมกับซูอวี้ คือหลานเยวี่ยหลี คุณหนูของแม่ทัพใหญ่หลาน

ซูอวี้ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีพำนักอยู่ที่สกุลจง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เดินทางมาหาซูจิ่นซีที่สกุลจง

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคิดถึงซูอวี้น้องชายผู้นี้มาก และต้องการทราบสถานการณ์ที่แคว้นจงหนิงและสกุลซู นางจึงสั่งให้คนส่งจดหมายไปให้ซูอวี้ นัดให้เขามาพบที่โรงน้ำชาหย่งเหอใจกลางเมือง

ยามนี้ ซูจิ่นซีเป็นผู้ร้ายที่ถูกติดประกาศไปทั่วทั้งเมืองเย่หลิน ดังนั้นเพื่อปกปิดจากสายตาผู้อื่น เมื่อออกไปข้างนอก ซูจิ่นซีจึงแปลงโฉมตนเองและแต่งกายเป็นบุรุษ เพื่อไม่ให้มีผู้ใดจำนางได้

เมื่อซูจิ่นซีเดินทางมาถึงโรงน้ำชาหย่งเหอ ซูอวี้ก็เดินทางมาถึงแล้ว ทว่าเนื่องจากซูจิ่นซีสวมชุดของบุรุษ เขาจึงจำนางไม่ได้

ซูจิ่นซีไม่ได้เข้าไปทักทายซูอวี้โดยตรง นางจงใจนั่งที่โต๊ะด้านข้างของซูอวี้

สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจคือ นอกจากหลานเยวี่ยหลีที่เดินทางมาพร้อมกับซูอวี้แล้ว ยังมีหลินเฟิง องครักษ์ข้างกายเยี่ยโยวเหยา

ด้านหลังของหลินเฟิงยังมีบุรุษอีกสี่คน ทุกคนล้วนปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้เหมือนกับหลินเฟิง ทว่ามองจากร่างกายของพวกเขาแล้ว ก็ทราบได้ทันทีว่าต้องเป็นผู้ที่ฝึกวรยุทธ์แน่นอน

ซูจิ่นซีเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าต้องเป็นคำสั่งของเยี่ยโยวเหยา นางประทับใจในการกระทำครั้งนี้ของเยี่ยโยวเหยาอย่างมาก

แม้ซูอวี้จะเป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ ทว่าเขาไม่เคยโอ้อวดเลยสักครั้ง แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในมือยังถือตำราแพทย์หนึ่งเล่มและอ่านด้วยความตั้งใจ

หลินเฟิงกับองครักษ์ทั้งสี่นายที่นั่งอยู่ข้างหลัง พยายามสังเกตบริเวณประตูและนอกหน้าต่างโรงน้ำชาตลอดเวลา เพื่อมองหาซูจิ่นซี

เส้นผมสีเงินของหลานเยวี่ยหลี กอปรกับเสื้อผ้าสีน้ำเงินคราม ขับให้นางดูโดดเด่น นางนั่งอยู่ตรงข้ามซูอวี้และรินน้ำชาให้ซูอวี้ตลอดเวลา ท่าทางดูจริงจังละเอียดถี่ถ้วน

มองแล้ว ซูอวี้กับหลานเยวี่ยหลีเหมือนจะสูงขึ้นมากทีเดียว

ซูอวี้มีท่าทีนิ่งขรึมสงบเสงี่ยม เหมือนกับอวิ๋นจิ่นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งยังชอบสวมเสื้อผ้าสีขาว

ส่วนหลานเยวี่ยหลีมีท่าทางสง่างาม ความอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาบนตัวนางดูลดลงไปมาก

ซูจิ่นซีนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านข้างและเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา นางดื่มน้ำชาหมดไปหลายกา ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เปิดเผยสถานะของตนเองให้ซูอวี้กับหลานเยวี่ยหลีรับรู้

นางนั่งอยู่ราวสองชั่วยาม พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ซูอวี้เงยหน้ามองไปทางประตูโรงน้ำชาเป็นครั้งที่สิบแปด

หลินเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหลังอดพูดไม่ได้ว่า “ผู้นำอวี้ คิดว่าพระชา… คิดว่านายท่านคงไม่มาแล้วขอรับ เช่นนั้น พวกเรากลับกันเถิด! ”

แววตาของซูอวี้ยังแสดงออกอย่างมุ่งมั่น เขาส่ายศีรษะและอ่านตำราต่อ

“พี่จิ่นซีมีสัจจะ ไม่เคยผิดคำพูด คงเกิดเรื่องอันใดที่ทำให้เสียเวลาไปบ้าง พวกเรารออีกสักครู่เถิด”

“เช่นนั้น ข้าน้อยจะออกไปดูข้างนอกขอรับ”

“รบกวนองครักษ์หลินแล้ว! ”

หลินเฟิงพยักหน้าและเดินออกไปด้านนอก

ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีคิดว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว นางกำลังจะเข้าไปทักทายซูอวี้ ทันใดนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามาในโรงน้ำชา

แม้ซูจิ่นซีจะตั้งใจแปลงโฉมมาอย่างดี ทว่านางสวมเสื้อผ้าของบุรุษเหมือนที่เคยสวมก่อนหน้านี้ ดังนั้น เมื่อคนที่เดินนำหน้าเห็นซูจิ่นซี จึงจำนางได้ทันที

“ท่านหมอซู ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”

ซูจิ่นซีเห็นคนผู้นั้น คิ้วของนางพลันขมวดมุ่น โลกช่างแคบเสียจริง เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เจอ ทว่าดันมาพบนางในสถานที่แห่งนี้เข้าจนได้?

หลิงเซียวจวิ้นจู่

แววตาของซูจิ่นซีเผยให้เห็นความรังเกียจ นางนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

ยามนี้ เนื่องจากน้ำเสียงทักทายของหลิงเซียวจวิ้นจู่ ทำให้คนในโรงน้ำชาพุ่งความสนใจมาที่ซูจิ่นซี รวมถึงซูอวี้กับหลานเยวี่ยหลีที่นั่งโต๊ะด้านข้างด้วย

ก่อนหน้านี้ ซูอวี้ไม่ได้มองให้ละเอียดและไม่ได้สนใจแขกเหรื่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านข้างตนเอง ทว่าเมื่อมองอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นซูจิ่นซี

ซูอวี้ตื่นเต้นจนรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะเอ่ยปากเรียกพี่จิ่นซี ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีส่งสายตาให้กลับไปนั่งที่

ซูอวี้ระงับความตื่นเต้นไว้ภายในใจ และนั่งลงในตำแหน่งของตนอย่างสงบ

ผู้คนไม่น้อยในโรงน้ำชาก็จดจำซูจิ่นซีได้เช่นกัน

“เฮ้ นั่นท่านหมอซู คนข้างกายฉีอ๋องมิใช่หรือ? ”

“ท่านหมอซูอันใดกัน เขาเป็นบุรุษข้างกายฉีอ๋องมิใช่หรือ? พวกเจ้าลืมแล้วหรืออย่างไร ก่อนหน้านี้ ฉีอ๋องเสด็จไปที่ใด ก็มักจะพาเขาไปด้วยทุกที่”

“พวกเจ้าพูดจาหยาบคายเกินไปแล้ว บุรุษข้างกายอันใด? ดูไปแล้ว พวกเจ้าคงยังไม่รู้ความจริง แท้จริงแล้ว ท่านหมอซูผู้นี้เป็นสตรี ได้ยินมาว่าในงานเทศกาลร้อยบุปผาที่สวนบุปผชาติในวังหลวง เขาได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแล้ว”

“ใช่หรือ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ”

“เป็นเรื่องจริงหรือ? ”

เรื่องภายในสวนบุปผชาติวังหลวงเป็นเรื่องของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ชาวบ้านธรรมดาจะนำมาเล่ากันอย่างสนุกปากตามอำเภอใจได้อย่างไร?

เห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ทุกคนต่างแสดงท่าทีประหลาดใจ และเบิกตามองเรือนร่างของซูจิ่นซีตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาแทบจะมองทะลุผ่านเสื้อผ้าของนาง เพื่อให้แน่ชัดว่านางเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่

ผู้ที่พูดเรื่องนี้ออกมานับว่าได้หน้าไปมากทีเดียว เมื่อเห็นทุกคนแสดงท่าทีประหลาดใจ เขาก็ยิ่งลำพองใจและพูดเสริมอีกว่า “ไม่เพียงเท่านั้น ยังลือกันว่าท่านหมอซูกับหลิงเซียวจวิ้นจู่มีใบหน้าคล้ายกันอีกด้วย! ”

“เหมือนกันเลยหรือ? ”

‘ขวับ! ’ สายตาของทุกคนต่างหันมามองซูจิ่นซี

หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบซูจิ่นซีในสถานที่เช่นนี้ เดิมทีนางกำลังจะวางอำนาจ คิดจะสั่งสอนซูจิ่นซีสักครั้ง กลับไม่คิดว่าคำพูดของคนผู้นั้นจะดึงดูดความสนใจของทุกคนมาที่ซูจิ่นซี ทำให้นางถูกเมินเฉย

ตลอดเส้นทางที่นางเดินมา นางรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ตัวนาง เพราะนางกำลังจะอภิเษกกับมู่หรงฉี ดังนั้น นางไม่อาจทนต่อความรู้สึกที่ถูกเมินเฉยเช่นนี้ได้

ทันใดนั้น หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ส่งสายตาเย็นชาให้คนผู้นั้น พร้อมด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน “วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ เจ้าอยากถูกตัดศีรษะหรือ? ”

คนผู้นั้นกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าเมื่อสบสายตาเย็นชาของหลิงเซียวจวิ้นจู่ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้าง ทั้งยังตกใจจนหน้าถอดสี

“ทหาร ลากคนผู้นี้ออกไปตัดลิ้น ข้าจะดูสิว่า ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าวิจารณ์เชื้อพระวงศ์อีก”

‘อ๊าก’ คนผู้นั้นตกใจกลัวและคุกเข่าลง พลางโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง “จวิ้นจู่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว จวิ้นจู่โปรดประทานอภัยด้วย จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่เชิดหน้า แสดงท่าทีหยิ่งยโส ไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในสายตา

องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางรีบลากตัวคนผู้นั้นออกไปข้างนอก จากนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้พูดคุยกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ นางยังมีความคิดบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนดุดัน ไร้ซึ่งความเมตตาอย่างรวดเร็ว

วิธีการจัดการคน ช่างเหมือนกับ… มู่หรงเฟิง ราวกับถอดมาจากเบ้าเดียวกัน

มู่หรงเฟิง…

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดอันใดขึ้นมาได้ นางมองใบหน้าของหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างละเอียด