ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดอันใดขึ้นมาได้ นางมองใบหน้าหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างละเอียด
และไม่รู้ว่านางคิดมากเกินไป หรือเกิดอันใดขึ้น เหตุใดนางถึงรู้สึกว่า หางตาอันบริสุทธิ์สดใสของหลิงเซียวจวิ้นจู่กลับปรากฏความเสน่หาของผู้ใหญ่ ทั้งผิวขาวกระจ่างใสยังดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาก
ผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลงนับเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าท่าทีของความเป็นผู้ใหญ่ที่ปรากฏออกมานั้น มีเพียงสตรีที่ผ่านการแต่งงานแล้วเท่านั้นจึงจะมีได้
ระหว่างหลิงเซียวจวิ้นจู่กับมู่หรงฉีเพิ่งมีกำหนดการอภิเษกเมื่อไม่กี่วันก่อน นางคงไม่แสร้งทำตัวราวกับสตรีออกเรือนแล้วกระมัง?
ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็ไม่มีทางแสดงสีหน้าได้สะดุดตาเช่นนั้น!
ซูจิ่นซีมองอย่างสงบ พลางเม้มริมฝีปากแผ่วเบาโดยไม่พูดอันใด
ไม่นานนัก องครักษ์ก็นำลิ้นของคนผู้นั้นเข้ามารายงาน หลิงเซียวจวิ้นจู่มองด้วยสายตาเย็นชาและไม่พูดอันใด ทำเพียงเหลือบมองสาวใช้สี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
วันนี้พวกเขาออกมาซื้อของ ในมือของบ่าวรับใช้ทั้งสี่จึงมีของที่ซื้อมาจำนวนมาก
สิ่งของที่งดงามและหรูหรานี้ ล้วนเป็นของที่ต้องใช้ในงานอภิเษกทั้งสิ้น
บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลิงเซียวจวิ้นจู่ เข้าใจความหมายในท่าทีของหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างรวดเร็ว นางรีบเดินมาข้างหน้าและวางสิ่งของทั้งหมดลงเบื้องหน้าซูจิ่นซี
หลิงเซียวจวิ้นจู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งยโสไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา นางไม่สามารถระงับความโอ้อวดได้ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี
ประโยคแรกที่นางเอ่ยปากคือ “ท่านหมอซู ต้องขออภัยอย่างมาก ข้ารู้ว่าในใจของเจ้ามีฉีอ๋อง ทว่าข้ากับฉีอ๋องได้หมั้นหมายกันแล้ว อีกไม่นานพิธีอภิเษกก็จะมาถึง หากเจ้าตัดใจจากฉีอ๋องไม่ได้ หลังจากข้าเข้าพิธีอภิเษกกับฉีอ๋องแล้ว ข้าจะบอกท่านอ๋องให้รับเจ้าเข้ามาเป็นอนุ ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจ ข้าก็ไม่รังเกียจเช่นกัน ทั้งยังจะดูแลเจ้าอย่างดี”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดโต้ตอบอันใด ทว่าหลินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังซูอวี้ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาเบิกตามองหลิงเซียวจวิ้นจู่ด้วยความโกรธเคือง มือกุมกระบี่ของตนแน่น โชคดีที่ซูอวี้ว่องไว คว้ามือของหลินเฟิงได้ทันท่วงที
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม ทั้งยังคิดว่าท่าทีของนางสามารถข่มซูจิ่นซีได้ จึงเกิดความลำพองใจมากขึ้น
นางรินน้ำชาด้วยท่าทีสง่างาม และยื่นให้ซูจิ่นซี
“ท่านหมอซู ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุราคำนับท่านหนึ่งจอก อย่างไรเสีย ใบหน้าของพวกเราทั้งสองก็ละม้ายคล้ายกัน หากท่านไม่รังเกียจ วันนี้พวกเรามาคำนับเป็นพี่น้องกันดีหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองถ้วยชาในมือของหลิงเซียวจวิ้นจู่ และยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด ก่อนจะหยิบถ้วยชาของตนขึ้นมาจิบเล็กน้อย
ในโรงน้ำชามีคนไม่มากนัก ทว่าพวกเขาต่างมายืนห้อมล้อมซูจิ่นซีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างเนืองแน่น ทุกคนมองหลิงเซียวที่เป็นถึงจวิ้นจู่ ยกถ้วยน้ำชาให้ซูจิ่นซีซึ่งเป็นเพียงหมอจากที่ใดก็ไม่รู้ในสายตาพวกเขา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ทุกคนต่างมองอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านหมอซูอย่าได้วางท่ามากเกินไป ผู้อื่นเป็นถึงจวิ้นจู่ ทว่าไม่รังเกียจอดีตของท่านกับฉีอ๋อง ทั้งยังยกน้ำชาให้ท่านด้วยตนเอง เช่นนี้นับเป็นวาสนาของท่านแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่รู้จักชั่วดี? ”
“ใช่! ตามมารยาทแล้ว ท่านหมอซูควรคุกเข่ายกน้ำชาให้จวิ้นจู่จึงจะถูก”
อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มคนซึ่งเห็นเหตุการณ์ที่หลิงเซียวจวิ้นจู่สั่งตัดลิ้นคนเมื่อครู่ พยายามพูดแทนซูจิ่นซี พวกเขาผลักซูจิ่นซีแผ่วเบาจากทางด้านหลังและกระซิบว่า “ท่านหมอซู พวกเรารู้ดีว่าท่านรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผู้ใดใช้ให้พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไร้ซึ่งอำนาจวาสนาเล่า หากท่านทำให้จวิ้นจู่โกรธเคือง ย่อมไม่เป็นผลดีกับท่าน”
แววตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่ค่อยๆ ปรากฏความเสียใจ
“ท่านหมอซู ข้ารู้ดีว่าเจ้าเกลียดข้า ทว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตท่านอ๋อง ทั้งยังมีพี่ชายของข้าอีกคน บุญคุณครั้งนี้ หลิงเซียวจะจดจำไม่มีวันลืม น้ำชาถ้วยนี้เจ้ารับไว้เถิด! เจ้ากับข้า ช้าเร็วก็ต้องรับใช้ปรนนิบัติท่านอ๋อง อย่าให้ผู้อื่นมองว่าพวกเราทั้งสองเป็นคู่แข่งและอิจฉาริษยากัน! ”
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ แท้จริงแล้วนางต้องการดูว่า หลังจากที่หลิงเซียวจวิ้นจู่ ผู้ที่นางเคยมองว่าไม่รู้เรื่องอันใด ทั้งยังเป็นหญิงสาวไร้เดียงสาราวกับดอกไม้สีขาวนวลไร้ตำหนิ ทว่าบัดนี้นางได้กลายเป็นสตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว นางจะสามารถแสดงละครเสแสร้งได้ถึงระดับใด
ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ซูจิ่นซีจะกระชากหน้ากากเสแสร้งของนางออกมาให้เห็น
“หลิงเซียวจวิ้นจู่ ข้าเคยช่วยชีวิตฉีอ๋องกับพี่ชายของเจ้านั้นถูกต้อง แต่ข้าก็เคยสังหารจงเทียนอี้พี่ชายของเจ้าอีกคนเช่นกัน! ”
ซูจิ่นซีพูดพลางมองไปรอบๆ กลุ่มคนในโรงน้ำชา ก่อนจะชี้ไปทางกำแพงที่ติดกับประตูทางออก “ใช่แล้ว ตรงนั้น พี่ชายของเจ้า จงเทียนอี้ ถูกข้าซัดฝ่ามือจนร่างอัดเข้ากำแพงและตายในที่เกิดเหตุทันที”
ถ้วยชาในมือหลิงเซียวจวิ้นจู่สั่นเทาอย่างรุนแรง อารมณ์ทั้งหมดปรากฏอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากกระตุก ท่าทางบูดบึ้งยิ่งนัก
ซูจิ่นซีเห็นท่าทางของหลิงเซียวจวิ้นจู่แล้ว ภายในใจรู้สึกมีความสุขอย่างมาก นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางสงบนิ่งและสง่างามเกินพรรณนา “หลิงเซียวจวิ้นจู่ ตอนนี้ท่านยังต้องการเป็นพี่น้องกับข้าอีกหรือไม่? ”
ดวงตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่แดงก่ำ ละอองน้ำยังคงหมุนวนในดวงตาของนาง ทั้งนางยังกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดแทบไหลรินออกมา
ทันใดนั้น แววตาของซูจิ่นซีก็เผยให้เห็นความเย็นชา นางโน้มตัวไปหาหลิงเซียวจวิ้นจู่เล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลิงเซียว ท่านทราบหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ คนประเภทใดที่ข้าเกลียดชังที่สุด? ”
แววตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่ราวกับดาบแหลมคมและเย็นยะเยือก นางจ้องมองซูจิ่นซี ซูจิ่นซีก็สบสายตาของนางโดยไม่มีท่าทีหวั่นเกรง ทั้งยังดูมีอำนาจเหนือกว่าอีกด้วย
“คือคนที่เสแสร้งปั้นหน้า เหมือนกับท่านในยามนี้! ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็หันหลังกลับ นางหยิบถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบด้วยท่าทางหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตน
ท่าทางที่ดูสูงศักดิ์เช่นนี้ ช่างแตกต่างอย่างมากกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ที่พร้อมจะระเบิดความโกรธเคืองออกมาตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าด้านหลังของหลิงเซียวจวิ้นจู่ยังมีองครักษ์และบ่าวรับใช้ ซึ่งแสดงถึงความสูงศักดิ์ของนาง ทว่าซูจิ่นซีกลับโดดเดี่ยว ด้านหลังไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว และเห็นได้ชัดว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่มีสถานะสูงศักดิ์ ในยุคนี้ มีเพียงชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับมากมายบนศีรษะ ทว่าซูจิ่นซีกลับสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุปานกลางที่คนทั่วไปพอจะหามาใช้ได้
อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจรอบตัวซูจิ่นซีกลับดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่หลายเท่า
ซูจิ่นซีไม่เพียงหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีตนเอง ทว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่ที่กำลังมองตาขวาง กลับเปรียบเสมือนเด็กโง่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซีที่มีท่าทีสงบนิ่งมั่นคง
ตามหลักการแล้ว วันนี้หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่มีทางปล่อยซูจิ่นซีไปเป็นแน่ ทั้งซูจิ่นซียังได้เตรียมพร้อมต่อกรกับหลิงเซียวจวิ้นจู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด หลิงเซียวจวิ้นจู่กลับสามารถระงับความโกรธภายในใจได้เป็นอย่างดี นางเก็บความคิดเคียดแค้นกลับไป และลุกขึ้นยืนมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชา
“ท่านหมอซู ในเมื่อวันนี้เจ้าได้พูดออกมาจนหมดเปลือก ข้าเองก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป ตอนนี้ข้าต้องการหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ ตัดหัวของเจ้า ดื่มเลือดของเจ้า เพื่อระบายความโกรธแค้นภายในใจของข้า ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าคงตายสบายเกินไป
เจ้าอย่าลืม พี่ชายของข้าและจงเทียนอี้ ไม่เพียงตายด้วยน้ำมือของเจ้า พี่รองของข้า จงเนี่ย ยังถูกเจ้าแทงเข้าที่ปลายกระดูกสันหลัง หากไม่ใช่เพราะวิชาแพทย์ของท่านปู่สูงส่ง ป่านนี้เขาคงนอนเป็นผักอยู่บนเตียงไปแล้ว
ดังนั้น ข้าจะค่อยๆ ทรมานเจ้า ให้เจ้าตายอย่างช้าๆ ทว่าก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าจะให้เจ้าได้เห็นข้ากับฉีอ๋องจัดงานอภิเษกสมรส ให้เจ้ามองบุรุษที่รักของเจ้า กลายเป็นบุรุษของหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างข้า”
ขณะที่พูด น้ำเสียงของนางก็ดังขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังดุดัน “องครักษ์ คุมตัวนางกลับไปที่จวนจวิ้นจู่! ”