ตอนที่ 209-1 ปะทะพระชายาจิ้นอ๋องครั้งแรก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เมื่อลงจากรถม้าหน้าประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ก็ขึ้นเกี้ยวเล็กหนึ่งตัว แน่นอนว่านี่คือสิทธิพิเศษที่เสิ่นเวยได้รับเพียงคนเดียว คนทั้งสามที่รับใช้ข้างกายนางรวมถึงแม่นมซือทำได้เพียงเดินอยู่ข้างๆ เกี้ยว

 

 

เดินไปตลอดทางจนกระทั่งถึงประตูกลางเกี้ยวเล็กจึงหยุดลง มีสาวใช้ใหญ่สวมชุดสีฟ้าอ่อนรออยู่ตรงนี้แล้ว ทำความเคารพให้เสิ่นเวย ยิ้มก่อนเอ่ยปาก “คารวะคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น ท่านมาเสียที พระชายาให้บ่าววิ่งมาแปดรอบแล้ว ท่านก็ยังไม่มา พระชายาแทบจะออกมารอท่านเองแล้ว”

 

 

นี่หมายความว่าอย่างไร ให้ความสำคัญแก่นางหรือว่านางวางมาดทำให้ผู้ใหญ่รอนาน ความคิดนี้อยู่ในใจเสิ่นเวยเพียงชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นนางก็ตัดสินอย่างมีความสุขมากว่าพระชายาหมายความแบบแรก หากไม่ได้เห็นความสำคัญของนางก็คงจะไม่รับนางเข้าจวนมาสนทนามิใช่หรือ

 

 

ด้วยเหตุนี้บนใบหน้าเสิ่นเวยจึงมีความประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานหลายส่วน “พระชายาดีกับอาเวยจริงๆ” เห็นชัดๆ ว่านางตื่นแต่เช้าตรู่มาทรมานตัวเอง ไม่สายแม้แต่ครึ่งเค่อ ทว่าพระชายากลับใช้คนวิ่งมารับนางรอบที่แปดแล้ว แสดงว่าร้อนใจอยากพบนางอย่างยิ่ง! คนที่ไม่รู้ ยังคิดว่าพวกนางเป็นแม่ลูกที่ไม่ได้พบหน้ากับหลายปี

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าหวาเยียนอึกอักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กลับเป็นปกติ “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นรีบเข้าไปข้างในเถิดเจ้าค่ะ” นางหาช่องว่างส่งสายตาให้แม่นมซือ คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่

 

 

แม่นมซือเหลือบมองนางปราดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้บอกเป็นนัยใดๆ ทำให้หวาเยียนไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

เสิ่นเวยทำความเคารพอย่างสง่างาม เรือนร่างยืดตรง ฝีเท้าอ่อนช้อย ทำให้คนไม่เห็นจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย หวาเยียนเห็นท่าที ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่ากันว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เติบโตในชนบทหรอกหรือ ทว่าดูไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว! ดูท่าแล้วข่าวลือจะเชื่อไม่ได้เสมอไป ความเคารพบนบนใบหน้าหวาเยียนเพิ่มขึ้นสองส่วน

 

 

เข้าไปในลานบ้านของพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว สายตาของเสิ่นเวยก็ยังคงไม่วอกแวก หากอยากมองทิวทัศน์ภายหลังก็ยังมีโอกาสอีกมาก แค่เวลาสั้นๆ นี้ไม่เป็นไรหรอก

 

 

“ในที่สุดก็มาแล้ว บ่าวคารวะคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น เชิญเข้ามา คอพระชายาของพวกเรายืดยาวหมดแล้ว” สาวใช้ใหญ่ที่ตากลมโตเหมือนผลซิ่งผู้หนึ่งหน้าประตูเปิดม่านขึ้นพลาง คำนับเสิ่นเวยไปพลาง ดูจากความสบายๆ ในคำพูดของนางก็รู้แล้วว่าได้รับความโปรดปรานจากพระชายาจิ้นอ๋อง

 

 

เสิ่นเวยก้าวเข้าไปช้าๆ แวบแรกก็เห็นสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพ สวมชุดสีเขียวไข่กาทอลายอย่างกลมกลืน ทั้งศีรษะโอบล้อมไปด้วยมุกหยก บนใบหน้าที่งดงามก็แต่งหน้าได้อย่างเหมาะสมพอดี ผิวพรรณขาวกระจ่าง หางตาไม่มีแม้แต่ริ้วรอย ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบ มุมปากนางอมยิ้ม ในความสุภาพสูงส่งยังมีความเป็นมิตรอีกหลายส่วน แตกต่างจากท่าทีสูงส่งเย็นชาในตอนที่มามอบสินสอดทองหมั้นที่จวนโหวครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง!

 

 

“คุณหนูสี่มาแล้วหรือ ครั้งก่อนเห็นไม่ชัด วันนี้เห็นแล้วช่างเป็นหญิงงามจริงๆ ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกชอบใจ” พระชายาจิ้นอ๋องแย่งพูดขึ้นก่อน สายตาที่มองเสิ่นเวยอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด เสมือนกับมองบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง

 

 

“ขอบพระคุณพระชายาที่ชื่นชมเพคะ ผู้น้อยมิกล้า” เสิ่นเวยรีบคำนับ “เสิ่นซื่ออาเวยถวายความเคารพพระชายาเพคะ” กระโปรงไม่ขยับปิ่นไม่ส่าย เอวบางขยับเบาๆ ประหนึ่งบุปผางามท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ต้องตาต้องใจยิ่งนัก

 

 

ในดวงตาพระชายาจิ้นอ๋องมีความชื่นชมแวบผ่าน ปากก็กล่าวซ้ำๆ “ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด รีบลุกขึ้น คุณหนูสี่จะสุภาพกับข้าไปไย มาที่นี่แล้วก็ทำตัวให้เหมือนอยู่บ้านตัวเองเถิด” นางมองเสิ่นเวยกล่าวด้วยความหมายลึกซึ้ง

 

 

เสิ่นเวยเพียงแค่ทำเป็นฟังคำหยอกล้อในคำพูดนางไม่ออก เม้มปากยิ้มอย่างเหนียมอาย “ขอบพระคุณพระชายาที่เมตตา ผู้น้อยนามว่าเวย พระชายาเรียกผู้น้อยว่าอาเวยก็ได้เพคะ”

 

 

“อาเวย ชื่อนี้ดีจริงๆ! ชื่อดี คนเองก็งาม มิน่าเล่าคุณชายใหญ่ของพวกเราถึงอยากรีบแต่งกลับบ้าน” พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ยชมอีกครั้ง แต่กลับไม่เอ่ยให้เสิ่นเวยนั่งลงสนทนาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าดีใจจนลืมหรือว่าตั้งใจ

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่รีบไม่ร้อน ยืนอยู่ในห้องโถงอย่างอ่อนหวานเช่นนี้ สบายอกสบายใจ ราวกับอยู่ในห้องของตัวเอง “ก่อนมาอาเวยยังพะว้าพะวง กลัวว่าตัวเองจะไม่รู้ประสาทำให้พระชายาไม่พอใจ ตอนนี้เห็นพระชายาใจกว้างเมตตาเพียงนี้ จิตใจของอาเวยก็วางลงได้แล้ว”

 

 

การพูดต่อหน้าคนเสิ่นเวยก็นับได้ว่าพูดเป็น นึกถึงปีนั้นที่นางควบคุมและรวบรวมอำนาจใหญ่มักจะต้องคบค้าสมาคมกับพวกเสือสิงห์กระทิงแรด ฝึกฝนเอาไว้นานแล้ว

 

 

“ดูสิเด็กคนนี้ซื่อสัตย์ยิ่งนัก! ข้าน่ะชอบคนนิสัยตรงไปตรงมา ชอบแม่นางที่จริงใจเช่นอาเวยที่สุด มีอะไรก็พูด ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก พวกเราสองคนเพิ่งจะทำความรู้จัก ภายหลังรู้จักกันนานเข้าอาเวยก็จะรู้ว่าข้าเป็นคนชอบพูดที่สุด” พระชายาจิ้นอ๋องหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “เจ้ามาจวนอ๋องเป็นครั้งแรก กำไลหยกมันแพะอันนี้ข้าใส่มาหลายสิบปีแล้ว วันนี้ก็ให้อาเวยเอาไปเล่นแล้วกัน”

 

 

เสิ่นเวยโบกมือถี่ๆ “อาเวยจะกล้าแย่งของรักของพระชายาได้อย่างไร พระชายาเพียงแค่เลือกปิ่นแหวนธรรมดานั่นมามอบให้อาเวยก็พอแล้ว”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องแสร้งปั้นหน้าขรึมกล่าว “ผู้อาวุโสให้ของอย่าได้ปฏิเสธ อาเวยถูกชะตาข้านัก รีบมารับไปเถิด”

 

 

เสิ่นเวยปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงทำท่าทีซาบซึ้งยื่นมือทั้งคู่ออกมารับ “อาเวยขอบพระคุณของขวัญของพระชายาเพคะ” คำนับอย่างตั้งใจจริง จากนั้นจึงกล่าว “พระชายาดีกับอาเวยจริงๆ!” รับแล้วก็นำกำไลมาสวมลงบนข้อมือตนด้วยความดีใจ ทั้งยังยกให้พระชายาดู หัวเราะแหะๆ ราวกับเด็กที่ได้ของล้ำค่า

 

 

บนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องจึงปรากฎรอยยิ้ม “นี่สิถึงจะเป็นเด็กดี” จากนั้นก็ก่ายหน้าผากคล้ายนึกอะไรขึ้นได้กล่าว “ดูข้าสิ เอาแต่ดีใจ จนลืมเชิญอาเวยนั่งลงคุย เร็ว หวาเยียน เอาเก้าอี้มาให้คุณหนูสี่” จากนั้นก็กล่าวตำหนิแม่นมซือและคนอื่นๆ “พวกเจ้าแต่ละคนก็เหมือนกัน ข้าลืมแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่เตือนข้าสักคำ” แม่นมซือและคนอื่นๆ ย่อมขอโทษไม่หยุดหย่อน

 

 

เสิ่นเวยเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่พูด มองพระชายาจิ้นอ๋องแสดงละครอยู่ตรงนั้นเงียบๆ นางตอบสนองเช่นนี้ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องเกือบเผยพิรุธ คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เป็นคนโง่หรือไร ไม่ใช่ว่านางควรพูดขอความเมตตาอะไรสักหน่อยหรือ เอาแต่ยิ้ม คงไม่ใช่ว่า…

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องตาลุกวาว รู้สึกว่าตนคล้ายหาข้อเท็จจริงได้แล้ว ก็ใช่ คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เติบโตในชนบท หน้าตาได้มาแต่กำเนิด แต่การอบรมกฎมารยาทกลับหลอกไม่ได้ ต่อให้นางจะฉลาดกว่านี้ก็ไม่อาจถอดรูปเปลี่ยนร่างได้ในระยะเวลาอันสั้น คาดว่าคงจะเลียนแบบการวางท่าทางเพื่อข่มคนเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรก็แค่ยิ้มไว้มิใช่หรือ

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องก็เด่นชัดขึ้นหลายส่วน เหอะ ได้รับพระราชทานเป็นจวิ้นจู่แล้วอย่างไร ไม่ใช่เป็นหญิงงามสมองขี้เลื่อยหรอกหรือ เหมาะสมกับคนขี้โรคผู้นั้นพอดี

 

 

ตอนที่พระชายาจิ้นอ๋องเห็นเถาฮวากลืนน้ำลายกับขนมบนโต๊ะก็ยิ่งมั่นใจว่าเสิ่นเวยเป็นคนสมองขี้เลื่อย ดูสิ แม้แต่สาวใช้ข้างกายยังโง่เขลา ผู้เป็นนายจะฉลาดกว่าสักเท่าไร

 

 

เมื่อมั่นใจเช่นนี้ ท่าทีของพระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งสบายใจ ถามเสิ่นเวยว่าชอบอะไร วันปกติทำอะไร เสิ่นเวยล้วนแต่ตอบตามคำตอบมาตรฐาน อีกทั้งยังเผยความจริงด้วยความเขินอายอย่างยิ่ง แม้ว่าจะชอบงานเย็บปักถักร้อยมาก แต่ฝีมือกลับธรรมดา ความหมายของเสิ่นเวยก็คือ ข้าบอกให้เจ้ารู้ล่วงหน้า ในภายหน้าหากเจ้าให้ข้าแสดงความกตัญญูข้าก็จะหลอกได้

 

 

ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับเข้าใจผิดแล้ว คิดว่าท่าทีสนิทสนมของนางชนะความเชื่อใจของเสิ่นเวย มิเช่นนั้นจะเผยจุดอ่อนของตนได้อย่างไร “จะเป็นอะไรไป คนอย่างพวกเราไหนเลยจะต้องลงมือเย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเอง อาเวยไม่ต้องกลัว ไม่มีใครตำหนิเจ้าเรื่องนี้หรอก” นางยังปลอบขวัญเสิ่นเวยหนึ่งครา พูดจนใบหน้าของเสิ่นเวยลอยขึ้นไปบนชั้นเมฆ ดูดีอย่างถึงที่สุด

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องมองเสิ่นเวยที่ก้มหน้าเล็กน้อยนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุข งดงามก็ดี งดงามจึงจะสามารถมัดใจคนชั่วที่มีนิสัยเย็นชาผู้นั้นได้ อ่อนข้อก็ดี อ่อนข้อจึงจะเชื่อฟังนาง สมองขี้เลื่อยก็ยิ่งดี เช่นนั้นจึงจะครอบงำง่ายมิใช่หรือ

 

 

ด้วยเหตุนี้คำพูดของพระชายาจิ้นอ๋องยิ่งพูดจึงยิ่งเผยธาตุแท้ “จุๆๆ คนดีเช่นอาเวยแม้แต่ข้าที่เป็นสตรีเห็นแล้วก็ยังรัก มิน่าเล่าคุณชายใหญ่ของพวกเราจึงไปขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ได้” นางปิดปากหัวเราะ ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับจ้องมองเสิ่นเวยนิ่ง นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าการสมรสพระราชทานนี้มีที่มาแปลกประหลาด

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบเล็กน้อย นี่จะบอกว่าสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นเจ้าชู้ หรือว่าจะดูถูกที่นางมีความสัมพันธ์ลับๆ กับชายอื่น เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็โยนความผิดไปที่สวีโย่ว ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เดิมการสมรสพระราชทานครั้งนี้ก็เป็นฝีมือของสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้น

 

 

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงก้มหน้าอย่างเขินอาย กล่าวเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ได้มีวาสนาพบหน้าคุณชายใหญ่ที่จวนองค์หญิงใหญ่ ตอนนั้น ตอนนั้นอาเวยเพิ่งจะกลับเมืองหลวง ไม่รู้ว่านั่นคือคุณชายใหญ่ ยังคงเป็นฝ่าบาทที่ออกพระราชโองการพระราชทานสมรส อาเวยจึงได้รู้ว่านั่นคือคุณชายใหญ่”

 

 

ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้! พระชายาจิ้นอ๋องพยักหน้าเงียบๆ ในใจ แรกพบก็ขอพระราชทานสมรส ที่แท้แล้วคนชั่วผู้นั้นก็ชอบคนงามเช่นนี้! นางใจเต้น เรียกหวาเยียนเข้ามากำชับสองสามประโยค หวาเยียนพยักหน้าถอยออกไป ตอนที่ถอยออกไปคล้ายยังมองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยเดาว่านี่คงเกี่ยวข้องกับนางใช่หรือไม่ แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย ก็แค่ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน พลิกแพลงตามสถานการณ์ก็เท่านั้นเอง

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอธิบายกันเสิ่นเวย “บ้านฝั่งมารดาข้ามีหลานสาวคนหนึ่งพักอยู่ในจวนชั่วคราว พวกเจ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน น่าจะเข้ากันได้ดี ข้าเรียกนางมาให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันเสียหน่อย”

 

 

เสิ่นเวยพูดในใจว่าคงไม่ใช่แค่พบหน้ากันหรอกกระมัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงของพระชายาจิ้นอ๋องดังขึ้นอีกครั้ง “จะว่าไปนี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของข้า คุณชายใหญ่ของพวกเราสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เล็ก ซ้ำเขายังขึ้นเขาไปพักฟื้นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าพวกเราจะเป็นห่วงแต่กลับเหนือบ่ากว่าแรง หลานสาวฝั่งแม่ข้าคนนี้นิสัยอ่อนโยนละเอียดอ่อนที่สุด ข้าคิดว่าจะให้แต่งนางให้เป็นอนุภรรยาของคุณชายใหญ่ ติดตามข้างกายเขาปรนนิบัติเขา ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเคยเอ่ยปากไป แต่คุณชายใหญ่สวีกังวลว่าอาเวยยังไม่เข้าเรือน จึงไม่ยินยอมอย่างยิ่ง”

 

 

ดวงตาของนางจ้องมองเสิ่นเวย “ตระกูลเช่นพวกเรา สามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ฮุ่ยเอ๋อร์นิสัยดี ไม่ใช่คนดื้อรั้นเช่นนั้น ไม่มีทางทะเลาะกับเจ้าแน่นอน อีกทั้งข้างกายคุณชายใหญ่มีคนเพิ่มขึ้นมาก็จะได้ช่วยเจ้าได้มิใช่หรือ อาเวยคิดว่าอย่างไร”

 

 

นี่จะบังคับให้ตนหาจังหวะแต่งอนุภรรยาให้สวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นหรือ นางยังอึดอัดที่เหตุใดพระชายาจิ้นอ๋องถึงได้สุภาพอ่อนโยนกับนางเช่นนี้ ที่แท้แล้วก็รอโอกาสนี้อยู่

 

 

ช่วยนางหรือ นางพูดได้หรือว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ สวีโย่วนะสวีโย่ว เจ้ายังไม่แต่งงาน แม่เลี้ยงเจ้าก็ยื่นมือเข้ามาจะแต่งอนุภรรยาให้เจ้าแล้ว เสน่ห์แรงจริงๆ! ในใจเสิ่นเวยเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด หากว่าสวีโย่วอยู่ตรงหน้า นางจะต้องถีบเขาหลายครั้งแน่นอน

 

 

ในสมองเสิ่นเวยมีความคิดหมื่นพันแวบผ่าน อันที่จริงจากมุมมองคนนอกก็เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา นางเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเถาฮวาข้างหลังตะโกนเสียงดัง “ไม่ได้!”

 

 

“บังอาจนัก นายพูดอยู่บ่าวเล็กๆ เช่นเจ้าพูดแทรกได้อย่างไร ลากไปตบปากเสียง” แม่นมซือสีหน้าเคร่งขรึมตะคอกด่า

 

 

เสิ่นเวยรีบลุกขึ้นขอความเมตตา “พระชายาโปรดระงับโทสะ สาวใช้ผู้นี้ของอาเวยไม่ค่อยปราดเปรื่องนัก นางเติบโตมาพร้อมกับอาเวยที่บ้านเก่า ใจร้อนชั่วขณะ หวังว่าพระชายาจะให้อภัยนางครั้งนี้”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องมองออกว่าเถาฮวาเป็นคนโง่ทึ่ม คิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่ไม่ใช่เป็นการลดตัวลงหรอกหรือ นางไม่ได้โกรธ ห้ามแม่นมซือ ถามเถาฮวาด้วยความสนใจใคร่รู้ “เหตุใดถึงไม่ได้เล่า”

 

 

เสิ่นเวยปาดเหงื่อแทนเถาฮวา นางเองก็ไม่รู้ว่าเถาฮวาที่แต่ไหนแต่ไรในสายตามีแต่ของกินผู้นี้วันนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเถาฮวากล่าว “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ คุณชายใหญ่ห้ามแต่งอนุภรรยา มารดาของคุณหนูพวกเราก็ถูกอนุภรรยาทำให้โกรธจนตาย คุณหนูดีต่อเถาฮวา เถาฮวาไม่อาจปล่อยให้คุณหนูถูกคนทำให้โกรธจนตายได้ ใครเป็นอนุภรรยาเถาฮวาจะตีคนผู้นั้นให้ตาย แรงเถาฮวาเยอะ”

 

 

นางกล่าวอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำยังกลัวว่าพระชายาจะไม่เชื่อ ดวงตาเหลือบมอง วิ่งตรงเข้าไปที่ฉากกั้น คำพูดห้ามปรามของเสิ่นเวยยังอยู่ในลำคอ นางก็ยกขาเหยียบย่ำฉากกั้นที่มองดูแล้วราคาไม่น้อยฉากนั้นจนแหลกละเอียด

 

 

เสิ่นเวยเห็นสีหน้าพระชายาจิ้นอ๋องไม่พอใจแล้ว บ่าวที่รับใช้ในห้องต่างก็ปากอ้าตาค้าง ในใจแอบสบายใจ แต่สีหน้ากลับละอาย “พระชายา เอ่อ…คือ…” นางร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำ ตำหนิเถาฮวา “เถาฮวา ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ยังไม่รับคุกเข่าขอโทษพระชายาอีก”

 

 

เถาฮวากลับคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง “พระชายา ขออภัยจริงๆ เพคะ เหยียบฉากกั้นของท่านพังหมดแล้ว จะให้ข้าชดใช้อันใหม่ให้ท่านหรือไม่ ข้ามีเงินเดือน ทั้งหมดเก็บออมอยู่ที่คุณหนู น่าจะพอ”

 

 

ยังกล้าพูดอีก! พระชายาจิ้นอ๋องแทบจะกระอักโลหิต ฉากกั้นอันนี้เป็นไม้จินซือหนาน (ไม้ไหมทอง) ราคากว่าหมื่นตำลึง เงินเดือนสาวใช้เช่นเจ้าจะชดใช้ได้หรือไร