ตอนที่ 209-2 ปะทะพระชายาจิ้นอ๋องครั้งแรก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เถาฮวาไม่เข้าใจ แต่เสิ่นเวยกลับรู้มูลค่าของฉากกั้นอันนี้ นางหน้าแดงกล่าว “พระชายา เป็นอาเวยที่สอนบ่าวไม่ดี ฉากกั้นนี้อาเวยจะหามาชดใช้ให้ พระชายาบอกราคามา อาเวยกลับจวนแล้วจะส่งเงินมาให้ ขอเพียงพระชายาอย่าได้โกรธอาเวยเลย” เสียงยิ่งพูดก็ยิ่งต่ำ หน้ายิ่งก้มก็ยิ่งต่ำ ท่าทางน่าสงสาร 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องจะทำอะไรได้ นางรับเงินจากว่าที่ลูกสะใภ้ได้หรือ ข่าวดังออกไปจะไม่ถูกคนหัวเราะแย่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเสิ่นเวย นางเป็นถึงพระชายาผู้ยิ่งใหญ่ จะไปหาเรื่องเด็กโง่ๆ คนหนึ่งได้อย่างไร ต่อให้ตีนางจนตายฉากกั้นก็เอากลับมาไม่ได้ ไม่สู้ใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยแสดงความอ่อนโยนเมตตาของนางดีกว่า 

 

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บความหงุดหงิดในใจลง กล่าวเสียงเรียบ “เด็กดี ลุกขึ้นเถิด คงตกใจแย่เลยสินะ เรื่องนี้ไม่โทษเจ้าหรอก! เพียงแค่ของนอกกาย พังแล้วก็พังไป บอกว่าจะชดใช้ก็ดูเป็นคนนอกเกินไปแล้ว” นางเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าว “แต่ว่าสาวใช้คนนี้ของเจ้ากลับต้องอบรมให้ดีจึงจะถูก!” 

 

 

เสิ่นเวยคล้ายยิ่งละอายใจ มองพระชายาจิ้นอ๋อง บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “เพคะ เพคะ ขอบพระคุณพระชายาที่ไม่ถือโทษ ต่อไปนี้อาเวยจะต้องอบรมเถาฮวาให้ดี ไม่ให้นางออกมาง่ายๆ” 

 

 

ทว่าคำพูดของเจ้าตัวเถาฮวายังพูดไม่จบ “พระชายา หลานสาวบ้านแม่ของท่านใช่แต่งไม่ออกจึงต้องแต่งเป็นอนุภรรยาของคุณชายใหญ่หรือไม่ ในจวนพวกเรากลับมีตัวเลือกดีๆ ไม่น้อย เหมือนอย่างพี่ใหญ่โอวหยาง พี่ใหญ่หู่โถว ยังมีอาจารย์ซู ท่านอย่ามองว่าบนหน้าพี่ใหญ่โอวหยางมีแผลเป็น เขามีกำลังมาก พอๆ กับเถาฮวาเลย แม้อาจารย์ซูจะอายุมากเล็กน้อย แต่เขาก็มีความรู้ ความรู้มากมายอย่างยิ่ง…” 

 

 

ตอนที่ซ่งจยาฮุ่ยเข้ามาก็ได้ยินเถาฮวาแนะนำบ้านสามีให้คนพอดี บนใบหน้านางมีไฟโกรธกระพริบผ่าน อยากจะตบหน้าเถาฮวาออกไป อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีตระกูลขุนนาง จะคู่ควรกับทาสรับใช้ได้อย่างไร 

 

 

สีหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่ดีเช่นกัน เปรียบเทียบหลานสาวของนางกับบ่าวรับใช้นางจะยังมีเกียรติอยู่ได้อย่างไร เพียงแต่เป็นห่วงเสิ่นเวย นางจึงไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่ก็เท่านั้นเอง 

 

 

เสิ่นเวยเองก็รู้ว่าควรหยุดก่อนที่เรื่องจะไปไกล รีบดึงเถาฮวาไปข้างหลัง แสร้งว่ากล่าว “หุบปาก พูดจาโง่ๆ อะไร ดูสิว่ากลับจวนแล้วข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” นางมองตาขวาง เถาฮวาก็ปิดปากสนิททันที เสิ่นเวยเห็นแล้วก็รีบส่งสายตาให้นาง เถาฮวาก็เข้าใจทันที อ้อ คุณหนูกำลังเล่นละครกับนาง 

 

 

คุณหนูเคยสอนนางไว้ หากนางสร้างเรื่องข้างนอก คนอื่นตามมาฟ้องร้องถึงบ้าน คุณหนูก็จะทำเป็นตำหนินางต่อหน้าคนนอก กลับไปถึงจวนแล้วก็จะให้คนทำของอร่อยๆ ให้นางกิน คุณหนูบอกว่า ตำหนินางเพียงแค่ทำให้คนนอกเห็น อันที่จริงในใจคุณหนูยังคงชอบนางอยู่ 

 

 

เถาฮวาได้รับสัญญาณลับจากคุณหนู ก็ปิดปากอย่างดีใจทันที คิดเงียบๆ ในใจว่ากลับจวนไปแล้วคุณหนูจะทำของอร่อยอะไรให้นางกิน 

 

 

ตอนที่ซ่งจยาฮุ่ยมาก็รู้เจตนาของท่านอาแล้ว นางทำความเคารพช้าๆ “หลานถวายความเคารพท่านอา” จากนั้นจึงหมุนตัวคำนับเสิ่นเวย “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น” 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องโมโหกล่าว “เรียกคุณหนูสี่อะไรกัน เป็นคนนอกคนไกลไปได้ ฮุ่ยเอ๋อร์เจ้าเรียกอาเวยว่าพี่สิ” 

 

 

บนใบหน้าซ่งจยาฮุ่ยมีความดีใจแวบผ่าน คำนับจากใจจริงให้เสิ่นเวย “จยาฮุ่ยคารวะท่านพี่” 

 

 

อะไรนะ นี่คือบังคับให้ตนยอมรับฐานะอนุภรรยาของซ่งจยาฮุ่ยหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร! เสิ่นเวยเบี่ยงตัวหลบการคำนับของซ่องจยาฮุ่ย กล่าวเสียงเรียบ “คุณหนูซ่งสุภาพเกินไปแล้ว อาเวยอายุน้อย ให้คุณหนูซ่งเรียกท่านพี่ไม่ได้หรอก” 

 

 

น่ารังเกียจจริงๆ คิดจะเป็นอนุภรรยาเจ้าก็พยายามเองสิ มาบีบบังคับผู้หญิงอ่อนแอเช่นข้าจะนับว่ามีความสามารถอะไร นางเคยบอกแล้วว่าการสมรสครั้งนี้ไม่คุ้มทุน ดูสิ ยังไม่ทันแต่งเข้ามา ปัญหาก็มาถึงที่แล้ว สวีโย่ว สวีโย่วเจ้าคนโรคจิตไปตายที่ไหนแล้ว เจ้ามานี่ ข้ารับปากว่าจะไม่ตีเจ้าตาย 

 

 

ซ่งจยาฮุ่ยคำนับได้ครึ่งหนึ่ง ก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น อึดอัดอย่างถึงที่สุด 

 

 

“ทำไมเล่า อาเวยไม่เห็นด้วยหรือ” รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องหายไปแล้ว 

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าวอย่างจริงจัง “ทูลพระชายา ไม่ใช่ว่าอาเวยไม่ยินยอม แต่ผู้อาวุโสในตระกูลสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก อยู่ในบ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนเชื่อฟังสามี อย่าว่าแต่อาเวยยังไม่ได้เข้าเรือน ต่อให้เข้าเรือนแล้ว อาเวยก็ต้องเชื่อฟังคุณชายใหญ่ หากคุณชายใหญ่ยินยอม อาเวยย่อมต้องยินยอม คุณชายใหญ่ไม่ยินยอม อาเวยย่อมไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ” 

 

 

ได้ยินคำพูดของเสิ่นเวย สีหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ดีขึ้นเล็กน้อย กำลังจะโน้มน้าวต่อ ก็ได้ยินเสิ่นเวยกล่าวขึ้นอีก “พระชายาถามเจตนาของอาเวยจริงๆ อาเวยทำได้เพียงบอกให้พระชายาไปถามความคิดเห็นของท่านพ่อ ท่านปู่ในตระกูล หากพวกเขาเห็นด้วย อาเวยย่อมไม่อาจคัดค้าน” 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องคล้ายถูกคนตบหน้าในชั่วขณะ บุตรสาวผู้อื่นยังไม่เข้าเรือน นางก็วิ่งไปบอกผู้อาวุโสของสตรีผู้นั้นว่าขอแต่งอนุภรรยา นี่ไม่ใช่การตบหน้าหรอกหรือ นี่ไหนเลยจะเป็นการผูกสัมพันธ์ ผูกอริน่ะสิไม่ว่า สมองนางยังดีอยู่ จะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้อย่างไร 

 

 

นางเพียงแค่เห็นเสิ่นเวยอายุน้อย หลอกง่าย อยากใช้คำพูดควบคุมนางก็เท่านั้นเอง เรื่องเช่นนี้นางไหนเลยจะกล้าไปพูดต่อหน้าผู้อาวุโสของคนอื่น หากนางกล้าเอ่ยปาก นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวก็คงจะเข้าวังคุกเข่าขอให้ฝ่าบาทถอนหมั้นทันที เจ้าหมายความว่าอย่างไร บุตรสาวตระกูลข้ายังไม่ทันเข้าบ้าน เจ้าก็ใจคดใจดำคิดจะทำอะไร ทำให้จวนจงอู่โหวไม่พอใจ ก็เท่ากับทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจมิใช่หรือ 

 

 

มือที่กำผ้าเช็ดหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องกำแน่น เค้นรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา “เรื่องเล็กเพียงนี้ไหนเลยจะต้องรบกวนนายท่านผู้เฒ่าโหวและใต้เท้าเสิ่น หากอาเวยไม่ยินยอมก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยขึ้นมาก่อน ข้าเองก็เพียงแค่เห็นคุณชายใหญ่สุขภาพไม่ดี อาเวยลำบากอยู่คนเดียว อยากหาผู้ช่วยมาให้เจ้าก็เท่านั้นเอง อาเวยไม่ยินยอมเช่นนั้นก็ช่างเถิด” 

 

 

ไอหยา มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะสาดน้ำสกปรกมาให้ข้าอีกหรือ คุณชายใหญ่เพิ่งจะร่างกายไม่ดีได้วันสองวันหรือไร เหตุใดตอนนี้เจ้าเพิ่งคิดจะแต่งอนุภรรยาให้เขาเล่า เจ้าเห็นข้าไม่เข้าตาจึงอยากสร้างปัญหาให้ข้าหรือไร ยังมีผู้ช่วย เหตุใดลูกชายสองคนนั้นของเจ้าถึงไม่ต้องการผู้ช่วยบ้างเล่า 

 

 

เหอะ เจ้าไม่ให้ข้ามีความสุข เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดจะสบายใจเลย 

 

 

เสิ่นเวยคล้ายจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ กล่าว “เมื่อวานท่านปู่รู้ว่าอาเวยจะมาเข้าเฝ้าพระชายา ก็ตั้งใจเรียกอาเวยไปสั่งสอนที่ห้องหนังสือเที่ยวหนึ่ง ท่านปู่เตือนอาเวยว่าต้องมีคุณธรรมรู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม เคารพผู้ใหญ่รักเด็ก อาเวยจำได้ว่าท่านอ๋องไม่มีอนุภรรยาใช่หรือไม่ พระชายาคนเดียวคงจะลำบากจริงๆ อาเวยยินดีแสดงความกตัญญูแทนคุณชายใหญ่ อนุภรรยาผู้นี้ให้ท่านอ๋องแต่งก่อนเถิด” 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินดังนั้นก็แทบจะโมโหจนชี้หน้าด่าเสิ่นเวย อาหลานมีสามีคนเดียวกัน นี่ไม่ใช่ขัดหลักศีลธรรมหรอกหรือ บนใบหน้าซ่งจยาฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มีความอับอายแวบผ่าน “เจ้า เจ้า เจ้าพูดเกินไปแล้ว” 

 

 

เสิ่นเวยไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิง ราวกับเพิ่งจะตอบสนองกลับมาได้ ยิ้มให้พระชายาจิ้นอ๋องอย่างเคอะเขิน “ดูข้าสิช่างโง่เขลา ท่านอ๋องกับคุณหนูซ่งอายุห่างกันเป็นรุ่น กลับไม่ควรแต่งกับคุณหนูซ่ง เอ๋ คุณชายรองคุณชายสามก็ยังไม่มีอนุภรรยาทั้งคู่มิใช่หรือ พวกเขากลับอยู่ในรุ่นเดียวกันกับคุณหนูซ่ง จะแต่งงานก็ไม่เป็นไร” เสิ่นเวยตาเป็นประกาย มองพระชายาจิ้นอ๋องอย่างคาดหวัง “พระชายา บ้านฝั่งมารดาของท่านยังมีหลานสาวอีกใช่หรือไม่ คุณชายรองแต่งหนึ่งคน คุณชายสามแต่งหนึ่งคน จากนั้นค่อยแต่งให้คุณชายใหญ่อีกหนึ่งคน โห เท่านี้ก็มีความสุขกันถ้วนหน้าแล้ว หากหลานสาวไม่พอก็ไม่เป็นไร คุณชายใหญ่สามารถถอยให้ได้ ใครให้คุณชายใหญ่เป็นพี่คนโตเล่า เป็นพี่คนโตจะแย่งน้องชายทั้งหลายได้อย่างไร พระชายาท่านคิดเหมือนกันหรือไม่” 

 

 

นี่จะให้พระชายาจิ้นอ๋องตอบอย่างไร จู่ๆ หลานสาวบ้านฝั่งมารดาก็ไม่มีค่าเพียงนี้ ทั้งหมดล้วนกลายเป็นอนุภรรยาให้คนอื่น เช่นนั้นพี่สะใภ้ฝั่งมารดานางจะไม่แค้นนางจนตายหรือไร 

 

 

ไม่ นางผิดแล้ว คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ไหนเลยจะเป็นคนโง่ที่ครอบงำได้ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนที่ร้ายกาจ! แต่พระชายาจิ้นอ๋องจ้องมองใบหน้าของนางมองอยู่เนิ่นนานก็รู้สึกว่าไม่เหมือน เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่จริงจังของนางกับแววตาที่คาดหวังจนมั่นใจได้ เห็นได้ชัดว่าคิดเช่นนั้นจริงๆ อันที่จริงเบื้องลึกในใจพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่ยอมรับว่าตนมองผิดไป เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้โง่เกินไป โง่จนทำให้คนเจ็บใจ มิน่าเล่าถึงได้ว่ากันว่าคนฉลาดคบค้าง่าย แต่คนโง่กลับตรงกันข้าม เพราะว่าเจ้าไม่มีวันรู้ว่าวินาทีต่อไปเขาจะทำอะไรออกมา 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องหมดแรงอย่างถึงที่สุด อุบายทั้งหมดที่มี แผนการทั้งหมดในสมองกลับนำออกมาใช้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว กลับถูกเสิ่นเวยทำให้โมโหจนปวดหัว ส่วนคนที่ทำให้โมโหก็ยังประคองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสา คิดว่าตนพูดดีทำดี พระชายาจิ้นอ๋องหาข้ออ้างออกไปอย่างรวดเร็ว นางยังโง่เขลาคิดจริงๆ ว่าพระชายาจิ้นอ๋องไม่สบายตรงไหนอยากตามไปดูแล ถูกแม่นมซือและคนอื่นๆ โน้มน้าวอยู่นานกว่าจะอยู่นิ่งๆ ได้ 

 

 

ในห้องเหลือเพียงเสิ่นเวยกับซ่งจยาฮุ่ยเจ้านายสองคน ซ่งจยาฮุ่ยมองเสิ่นเวย ในใจเหยียดหยัดอย่างถึงที่สุด เป็นแค่เด็กสาวชนบท คาดไม่ถึงว่าได้แต่งงานกับลูกผู้พี่ใหญ่ ตนด้อยกว่านางตรงไหน! เป็นภรรยาเอกไม่ได้ แม้แต่อนุภรรยาก็ยังเป็นไม่ได้ นี่จะให้นางยอมได้อย่างไร 

 

 

“ฟังว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นเติบโตในชนบทหรือ” ซ่งจยาฮุ่ยสีหน้าดูถูก ปิดปากหัวเราะ ท่าทางเต็มไปด้วยเจตนาร้าย 

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าด้วยความเปิดเผยอย่างยิ่ง กล่าวอย่างไร้กังวล “ใช่แล้ว! บ้านเก่าของจวนจงอู่โหวของข้าอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น ข้าสุขภาพไม่ค่อยดี ผู้อาวุโสในบ้านสงสาร จึงส่งข้าไปรักษาร่างกายที่บ้านเก่า กระทั่งถึงวัยปักปั่นก็เพิ่งจะกลับเมืองหลวง” 

 

 

สีหน้าซ่งจยาฮุ่ยแข็งทื่อ เดิมคิดว่าเอ่ยถึงชนบทแล้วจะทำให้คุณหนูแซ่เสิ่นผู้นี้น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่คิดว่านางไม่เพียงแต่จะไม่น้อยเนื้อต่ำใจ แต่ยังสบายใจอย่างยิ่ง นี่ทำให้ซ่งจยาฮุ่ยรู้สึกเหมือนต่อยหมัดลงไปบนฝ้าย ไร้เรี่ยวแรง 

 

 

แต่เสิ่นเวยกลับมีความสุขอย่างยิ่ง ชายตามองเด็กสาวที่กัดฟันกรอด คับแค้นเสียใจพักหนึ่งผู้นี้ตรงหน้า กล่าวในใจ ขนาดอาเจ้า ข้ายังรับมือได้ง่ายๆ คนทักษะอ่อนๆ เช่นเจ้า ข้าก็ยิ่งไม่กลัว 

 

 

นางเหลือบมองบนโต๊ะปราดหนึ่ง มุมปากเบ้ลง จวนจิ้นอ๋องขี้เหนียวจริงๆ แม้แต่ผลไม้สดๆ ยังไม่ให้กิน แค่ขนมแห้งๆ หนึ่งจานนั้น เห็นแล้วไม่อยากอาหาร ของว่างกินมากเข้าก็ต้องกินชามิใช่หรือ ใครจะรู้ว่าในชาใส่อะไรเพิ่มลงไปหรือไม่ ไม่แปลกที่เสิ่นเวยคิดมาก ในนิยายล้วนแต่เขียนไว้เช่นนั้น ไม่กลัวหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น ระวังไว้ก่อนดีกว่า 

 

 

“เด็กสาวชนบทเช่นเจ้ามีอะไรดีถึงได้แต่งงานกับลูกผู้พี่ใหญ่ เหอะ คงไม่ใช่ว่าเข้ามาสามวันก็ถูขับหรอกนะ” ซ่งจยาฮุ่ยเอ่ยปากว่าร้าย 

 

 

เสิ่นเวยไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว กล่าวด้วยความตั้งใจมากเป็นพิเศษ “ข้าโชคดีอย่างไรเล่า! มิเช่นนั้นจะได้แต่งงานกับคุณชายใหญ่หรือ คุณหนูซ่งอิจฉามากใช่หรือไม่ จะอิจฉากันก็ไม่ได้ จะต้องเป็นเพราะชาติที่แล้วข้าทำดีไว้แน่ๆ” ปากก็กล่าวเช่นนี้ แต่ในใจกลับบ่น ชาติที่แล้วคงจะไปขุดหลุมฝังศพของใครเข้า มิเช่นนั้นจะมาเจอสวีโย่วคนโรคจิตผู้นี้ได้อย่างไร 

 

 

“คุณหนูซ่งวางใจเถิด ข้ากับคุณชายใหญ่ได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่อาจขับข้าได้ แม้แต่หย่าก็ยังทำไมได้” ท่าทางแม้ว่าข้าจะไม่ต้องการแต่ก็ขอบคุณที่เจ้าคิดแทนข้า 

 

 

ใครคิดแทนเจ้า ซ่งจยาฮุ่ยโกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว เหตุใดถึงมีคนที่โง่เพียงนี้ได้ แม้แต่คำเหยียดหยามชัดแจ้งยังฟังไม่ออก ซ่งจยาฮุ่ยพ่ายแพ้ย่อยยับ 

 

 

อารมณ์ของเสิ่นเวยดียิ่งกว่าเดิม เด็กน้อย ฝีมือเป็นแมวสามขา[1]เช่นนี้ยังคิดจะมาสู้กับข้า น้อยๆ หน่อย! กระทั่งออกจากจวนจิ้นอ๋องมุมปากของนางก็ยกขึ้นมาโดยตลอด สวีโย่ว เห็นหรือยัง ความสามารถในการต่อสู้ของข้ายอดเยี่ยม เลื่อมใสข้าบ้างหรือไม่ อย่าทำตัวขี้ขลาดไปหน่อยเลย รางวัลในการทำงานคราวนี้ส่งไปที่คลังส่วนตัวของข้าให้หมด 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] แมวสามขา เปรียบคนไร้ความสามารถเป็นแมวสามขาที่จับหนูไม่ได้