ตอนที่ 1,788 : ภูตมายาพันเงา
หากต้วนหลิงเทียนกับผู้พิทักษ์สตรีปะทะกันในที่เปิดโล่งด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกัน ด้วยลูกเล่นที่นางมีเขาอาจจะพลาดพลั้งหรือเสียท่านางได้
อนิจจาตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในพื้นที่ปิด
เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้แคบอะไรขนาดนั้น หากแต่อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้กว้างเทียบเท่าด้านนอกที่มีพื้นที่อิสระ จึงทำให้แลดูแคบลงถนัดตา
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงอาศัยการก้าวย่างคุมพื้นที่อย่างแยบคาย ไม่นานก็ต้อนนางให้จนมุมได้สำเร็จ
ในแง่ของความเร็วผู้พิทักษ์สตรีเทียบได้กับต้วนหลิงเทียน
หากแต่ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวมแล้ว นับว่านางด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนมาก เพราะความเร็วที่นางได้รับมา มันเป็นผลจากเวทย์พลังเท่านั้น
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงฆ่านางได้ไม่ยากเย็น มือพุ่งไปกอบกุมลำคอก่อนที่จะออกแรงบีบเล็กน้อย ค่อยชมดูร่างที่คอหักสลายหายไปในอากาศ
“เจ้า…”
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้หวางเฟยเซวียนตะลึงลานแล้วจริงๆ นางหันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลมหายใจยังรู้สึกขาดห้วง “กับสตรีงดงาม เจ้าต้องลงมืออำมหิตเพียงนี้…”
“อะไร? หรือเจ้าอยากให้ข้าปล่อยนางไป?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มเฉย ค่อยกล่าวตอบ
หลังจากนั้นไม่ทันไรความว่างกลางอากาศก็เริ่มสั่นไหว รอยแยกหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่นานก็มีป้ายศิลามหึมาหนึ่งค่อยเคลื่อนออกมาจากรอยแยก สุดท้ายก็ร่วงไปตั้งตระหง่านบนพื้น!
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวางเฟยเซวียนทั้งกล่าวบอกนางทันที “รีบไปรับสืบทอดเวทย์พลังนั่นเถอะ พวกเราจะได้ไปพื้นที่เวทย์พลังต่อไป…”
“อ่อ…ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่สมควรเป็นเวทย์พลังระดับสูงที่มีไว้เสริมการเคลื่อนไหว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสริม
เวทย์พลังระดับสูง?
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนจึงตระหนักได้ว่า ผู้พิทักษ์สตรีเมื่อครู่สมควรใช้เวทย์พลังบางประการ
ตอนนั้นนางเองก็คาดเดาไว้ว่าสมควรเป็นเวทย์พลังเสริมการเคลื่อนไหว
คราวนี้พอได้ต้วนหลิงเทียนกระตุ้นเตือน นางก็มั่นใจว่าผู้พิทักษ์สตรีใช้เวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวจริงๆ
และทันทีที่หวางเฟยเซวียนแผ่สำนึกสติไปสัมผัสป้ายศิลา ความรู้และข้อมูลที่บันทึกไว้ในนั้นก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของนาง
“เป็นเวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวระดับสูง…ภูตมายาพันเงา!”
นอกจากนั้นนางยังได้รับทราบนามของเวทย์พลังที่กำลังจะได้รับสืบทอด!
ยิ่งตระหนักถึงข้อมูลที่ได้รับมามากเท่าไหร่ หวางเฟยเซวียนก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะนางพบว่าเวทย์พลังเสริมท่าร่างภูตมายาพันเงานี้ กลับเป็นเวทย์พลังระดับสูงจริงๆ! ยังเหมาะสมกับนางนัก หากนางได้รับก็เสมือนได้ผลลัพธ์สองเท่าทั้งๆที่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว!
เพราะนี่เป็นเวทย์พลังที่เหมาะสำหรับอิสตรี!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่นางบรรลุถึงเซียนมนุษย์ นางจะทำความเข้าใจและเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลังนี้ได้ง่ายดายกว่าเดิมเพราะนางเป็นสตรี!
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเวทย์พลังนี้เพียงเพาะสร้างได้แต่อิสตรี เพียงแค่หากเป็นสตรีก็ใช้ความพยายามเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์สองเท่า! หากเป็นบุรุษคิดเพาะสร้างจำต้องเหนื่อยเป็น 2 เท่าแต่ผลลัพธ์กลับได้แค่ครึ่งเดียว!!
หวางเฟยเซวียนที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว นางก็ใช้เวลาแค่ 1 วัน 1 คืนในจดจำข้อมูลเวทย์พลัง ภูตมายาพันเงา จากป้ายศิลาได้สำเร็จ ตอนนี้นางเพียงรอให้ทะลวงถึงเซียนมนุษย์เท่านั้น นางก็จะทำความเข้าใจมันและลองเพาะสร้างต้นแบบของมันได้
และพริบตาที่หวางเฟยเซวียนรับข้อมูลเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าตัวเขากับหวางเฟยเซวียนได้หวนกลับมาหยุดยืนในสถานที่ก่อนหน้าที่จะเข้าพื้นที่มรดกเวทย์พลังแล้ว…
เขาก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้
นั่นเพราะเขามีประสบการณ์แบบนี้มามากกว่า 2 ครั้งแล้ว
“ไปกันต่อเถอะ…”
ในเมื่อออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าหวางเฟยเซวียนรับถ่ายทอดข้อมูลจากมรดกเวทย์พลังเสร็จสิ้น ต้วนหลิงเทียนจึงหันไปเรียกนางที่พึ่งลืมตาทันที เพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เวทย์พลังที่เขาพบก่อนหน้า
ตอนนี้เวลาอยู่ในแดนลับเซียน มันเหลืออีกแค่ 20 วันเท่านั้น
จะได้รับเวทย์พลังอะไรเพิ่มเติมอีก ก็ขึ้นอยู่กับว่าในเวลา 20 วันหลังจากนี้โชคของทั้งคู่ยังดีอยู่หรือไม่…
แน่นอนว่านอกจากพึ่งโชคแล้ว ประสิทธิภาพในการลงมือก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดเอ้อระเหย พอหวางเฟยเซวียนลืมตา ถึงได้เร่งชวนนางออกเดินทางทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ต้วนหลิงเทียนเหินร่างนำอยู่ด้านหน้า ส่วนหวางเฟยเซวียนติดตามอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าฝ่ายหลังนั้นพุ่งร่างด้วยความเร็วสูงสุด หากแต่คนหน้ากลับชะลอความเร็วไว้เพื่อให้คนหลังตามทัน
ในขณะที่เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมา หวางเฟยเซวียนรู้สึกซับซ้อนนัก สองตามองหลังต้วนหลิงเทียนอย่างเลื่อนลอย
‘ความเร็วที่เจ้าทึ่มใช้ออกก่อนหน้า สมควรก้าวข้ามเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดไปแล้ว…ความเร็วนั่นเทียบได้กับชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นเลย!’
ในฐานะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวีรสตรีของขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ดาบทรราช สายตาของหวางเฟยเซวียนย่อมไม่ใช่ชั่ว นางได้เห็นความเคลื่อนไหวของอริยะเซียนขั้นต้นมามากมาย
ดังนั้นนางจึงมั่นใจนัก ว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนช่วยให้นางผ่านบททดสอบสุดท้ายของพื้นที่มรดกเวทย์พลังก่อนหน้า อีกฝ่ายเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นแน่นอน!
‘ผู้พิทักษ์สตรีนางนั้นแม้พลังฝึกปรือมีเพียงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด หากแต่นางใช้เวทย์พลังภูตมายาพันเงาทำให้มีความเร็วสูงล้ำขนาดนั้น…ถึงขั้นเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นต้น! แต่หลิงเทียนกลับไล่ต้อนนางได้ง่ายๆราวต้อนไก่…นั่นหมายความว่าความเร็วมิได้ด้อยไปกว่านาง! ไหนจะบีบคอนางตายง่ายๆอีก!!’
พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกรอบ สายตาหวางเฟยเซวียนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ก็เผยประกายลุกวาวขึ้นมา
หัวใจของนางยังเต้นรัวไปไม่เป็นจังหวะ
‘ไม่จริงน่า…’
หากแต่ไม่นานหวางเฟยเซวียนก็สะบัดหัวไปมา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ชายเบื้องหน้านั้น พึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ไม่นาน และครั้งนั้นยังทำให้วังนภาปั่นป่วนครั้งใหญ่ ไม่สิโกลาหลไปทั้งตำหนักฟ้าลี้ลับเลยก็ว่าได้ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าทึ่มพึ่งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ให้มีพรสวรรค์เลิศล้ำปานใด ก็ไม่อาจทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ ไปถึงอริยะเซียนได้ในเวลาสั้นๆหรอก’
‘หากแต่…ถ้าเจ้าทึ่มยังมิได้ทะลวงด่านพลัง แล้วไฉนถึงบรรลุพลังกับความเร็วระดับนั้นได้เล่า?’
หวางเฟยเซวียนยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
สุดท้ายนางก็อดไม่ไหว จำต้องถามออกมาให้รู้แล้วรู้รอด “นี่…เจ้า…ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นแล้วเหรอ?”
“เจ้าถามข้า?”
ต้วนหลิงเทียนหันกลับมามองหวางเฟยเซวียนทั้งโค้งคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“เหลวไหล! พวกเรามีกันสองคนหากข้าไม่ถามเจ้าข้าจะถามใครเล่า!? หรือเจ้าคิดว่าข้าถามตัวเอง?”
หวางเฟยเซวียนที่แต่เดิมชักสีหน้าเคร่งขรึม พอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนนางก็คลายความขรึมหันกลับมากล่าวเสียงสูงด้วยความขุ่นขึ้งทันที
“ยังไม่”
เมื่อต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามนี้ เขาก็นิ่งไปพักหนึ่ง ค่อยส่ายหัวไปมา “ข้ายังไม่ได้ทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้น”
เขาเองก็อยากทะลวงถึงอริยะเซียนขั้นต้นให้เร็วที่สุดเช่นกัน เพราะตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตนั้น เขาก็จะสามารถใช้เวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้ได้ อีกทั้งยังเพาะสร้างเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินอันน่ากลัวนั่นไว้ใช้งานได้!
“เจ้ากลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของอริยะเซียนขั้นต้น ได้ แล้วไฉนยังมิใช่อริยะเซียนขั้นต้นเล่า?”
หวางเฟยเซวียนจ้องตาเขม็ง “เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
“หากข้าบอกเจ้าว่าข้าสามารถใช้เวทย์พลังเสริมความเคลื่อนไหวได้แล้ว เจ้าจะเชื่อข้ารึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะถาม
“เพ้ย!”
หวางเฟยเซวียนจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหยียดๆ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร ถึงมาหลอกข้าว่าใช้เวทย์พลังได้ตั้งแต่ยังไม่บรรลุเซียนมนุษย์! ฝันละเมอของตัวโง่ง่ม!!”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มและไม่ได้อธิบายอะไรสืบต่อ เขาไม่อยากบอกความจริงกับนาง
สำหรับเรื่องที่เขาใช้ความเร็วของขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้นได้ ล้วนเป็นเพราะปราณสุริยันแรกกำเนิดทั้งสิ้น…
อย่างไรก็ตาม ปราณสุริยันแรกกำเนิดนั้นเป็นความลับสำคัญของเขาอย่างหนึ่ง เพราะมันไม่เพียงเกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าหั่ว ยังพัวพันถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!
‘จะว่าไปนี่ก็ผ่านมานานแล้วที่ข้าไม่ได้ตามหาวัตถุดิบเพื่อซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเลย…หลังออกจากแดนลับเซียนครั้งนี้ ลองใช้อำนาจของตำหนักฟ้าลี้ลับในการตามหาวัตถุดิบเพื่อใช้ซ่อมแซมชั้นที่ 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติดีกว่า’
เมื่อคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็วางแผนคร่าวๆในใจ
การซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ได้ นับเป็นเรื่องที่สำคัญกับเขามาก
ก่อนอื่นเลยเขาจะได้รับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังที่ดีขึ้น!
นอกจากนี้อัตราการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง ตามที่ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้มันยังเชื่องช้ากว่าอัตราการไหลของห้วงเวลาบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาก
ชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น ด้านในเจดีย์ผ่านไป 8 วัน หากแต่ด้านนอกยังพึ่งผ่านพ้นไปวันเดียวเท่านั้น!
เมื่อเทียบกับอัตราการไหลของห้วงเวลาในชั้น 3 แล้ว การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!
แน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
เมื่อชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลงฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์ ผู้เฒ่าหั่วได้กล่าวบอกเขาเอาไว้ มิติภายในเจดีย์อาจมีเสถียรภาพ นั่นทำให้เขามีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น เพราะยามเจอภยันตรายใดๆ เขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์ได้!
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ความสามารถหลังสุดนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เย้ายวนใจเขามากที่สุด!
คนเราเกิดมามีหนึ่งชีวิต ต้วนหลิงเทียนเองก็เช่นกัน เช่นนั้นเขาจึงหวงแหนชีวิตของตัวเองนัก
หากให้กล่าวตามความสัตย์จริงก็คือ เขากลัวตาย!
อย่างไรก็ตามในโลกใบนี้นอกจากคนบ้ากับคนโง่แล้วยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวตาย?
ยิ่งพลังฝึกปรือสูงส่งเท่าไหร่พลังฝีมือก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาทุ่มเท่ฝึกฝน ตรากตรำผ่านพ้นความยากลำบากมามากมายนาๆนับประการ ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด
หากเป็นเขาในชีวิตที่แล้วเขาอาจคิดว่าร่างกายและชีวิตของตัวเองมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แต่ในชีวิตนี้มันไม่ใช่แบบนั้น…
ในชีวิตนี้เขามีญาติสนิทมิตรสหาย…
คนเหล่านี้คู่ควรให้เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้อง
“เวทย์พลังที่เจ้าได้รับสืบทอดมา ใช่เวทย์พลังที่ผู้พิทักษ์สตรีใช้รึเปล่า?”
เรื่องปราณสุริยันแรกกำเนิดเป็นความลับสำคัญของต้วนหลิงเทียน ดังนั้นเขาไม่คิดจะกล่าวถึงให้มากนัก จึงเลือกที่จะกล่าวถามหวางเฟยเซวียนเพื่อเปลี่ยนเรื่องออกมาทันที
“มิผิด!”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงเวทย์พลังที่นางได้รับ หวางเฟยเซวียนพลันฉีกยิ้มร่าเริงขึ้นมาทันที “เวทย์พลังที่ข้าได้รับสืบทอดมา เป็นเวทย์พลังของผู้พิทักษ์สตรีนั่นจริงๆ”
“มันเรียกว่าอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนถามด้วยความสงสัย
“ภูตมายาพันเงา!”
หวางเฟยเซวียนกล่าวตอบ
“ภูตมายาพันเงา?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นทันที พอคิดถึงฉากที่เขาประมือกับผู้พิทักษ์สตรีก่อนหน้า เขาก็จดจำได้ว่านางเคลื่อนที่ไปรอบๆ จนก่อให้เกิดภาพติดตามากมาย “ช่างตั้งชื่อเวทย์พลังได้เหมาะสมจริงๆ…”
หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พาหวางเฟยเซวียนมาถึงพื้นที่มรดกเวทย์พลังที่เขาพบเจอ
“เจ้าว่าเวทย์พลังที่อยู่ในพื้นที่มรดกเวทย์พลังแห่งนี้จะมีระดับใด”
ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่มรดกเวทย์พลัง หวางเฟยเซวียนก็มองถามต้วนหลิงเทียนออกมา
“ไม่รู้สิ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
“หากเจ้ายังมิได้เข้าไปสำรวจ…ข้าคิดว่ามันเป็นพื้นที่เวทย์พลังระดับต่ำแน่ๆ”
หวางเฟยเซวียนกล่าวออกมาด้วยท่าทางยียวน ยังใช้นิ้วปัดขนตาเล่น
“ข้าหวังว่าปากพาซวยของเจ้าจะไม่ทำงานนะ…เพราะเวทย์พลังที่นี่เป็นของข้า!”
ต้วนหลิงเทียนถลึงตามองหวางเฟยเซวียนตาขวาง อย่างไรก็ตามทีท่าของเขากลับเป็นกันเองมากขึ้น คล้ายเป็นสหายกันมานาน