บทที่ 393 แช่น้ำ

สิ่งที่เรียกว่าบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตคือสระน้ำที่มีรัศมีกว้างราว 4-5 เมตร ภายในสระมีของเหลวสีเขียวมรกต

แต่ของเหลวสีเขียวมรกตนี้มันกลับไม่มีรัศมีหรือความผันผวนของวิญญาณใด ๆ ปรากฎขึ้น

“นี่สินะคือบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต!” ตงฟางจุนพูดพร้อมกับถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณจำนวนมากต่างคลั่งไคล้ มันคือสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้ผู้บ่มเพาะทะลวงศักยภาพของชีวิตของพวกเขาได้”

เมื่อได้เห็นบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตต่อหน้าพวกเขา เสี่ยวหลิงเฟิงและเซียวเหลียนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นเต้น พวกนางเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหยดน้ำต้นกำเนิดชีวิตมาบ้าง ซึ่งมันทำให้พวกนางรู้ดีว่าสิ่งนี้สามารถทำให้พวกนางสามารถทะลวงศักยภาพของพวกนางเองได้

“สามี จากนี้เราต้องทำยังไงต่อ?” มี่ไลถามอย่างตื่นเต้น ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหยดน้ำต้นกำเนิดชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน นางจึงอยากรู้ว่าจะใช้มันอย่างไร

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดกับมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย “พวกเจ้าก็แค่ลงไปแช่อยู่ในสระ จากนั้นอันดับแรกก็โคจรวิชาพลังชีพหวนคืนเพื่อใช้น้ำในสระเสริมสร้างร่างกายของพวกเจ้าก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มการบรรลุระดับขอบเขตประสานทะเลปราณของตัวเองต่อไป ซึ่งข้ามั่นใจว่าด้วยศักยภาพที่พวกเจ้ามีอยู่ พวกเจ้าจะบรรลุไปถึงระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณแน่นอน”

หลังจากได้รับคำแนะนำ มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็ไม่ลังเลที่จะลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตและเริ่มบ่มเพาะตามคำแนะนำของหลิงตู้ฉิง

จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็พูดกับเสี่ยวหลิงเฟิงว่า “หลังจากที่เจ้าลงแช่ตัวในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตแล้ว เจ้าจงโคจรวิชาพลังวิญญาณไร้จุดจบของคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ในการบ่มเพาะ จงจำไว้ว่าอย่าใช้วิชาอื่น มิฉะนั้นมันจะส่งผลต่อการดูดซับน้ำต้นกำเนิดชีวิตได้”

เสี่ยวหลิงเฟิงผู้ซึ่งได้รับการชี้แนะแล้ว จึงลงไปแช่ในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตทันที

“หยุนเอ๋อ เจ้าก็ควรจะลงไปเช่นกัน! แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำลายศักยภาพของตัวเอง สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นมีอยู่สองอย่าง หนึ่งใช้มันในการเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย สองใช้พลังชีวิตที่อยู่ในน้ำต้นกำเนิดชีวิต ผสานเข้ากับเศษชิ้นส่วนของ ‘มายาเที่ยงแท้’ ซึ่งมันจะทำให้เศษชิ้นส่วนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเจ้าอย่างสมบูรณ์เพื่อที่ในอนาคตมันจะไม่มีใครสามารถพรากมันไปจากเจ้าได้” หลิงตู้ฉิงสั่งหลิงเทียนหยุน

หลังจากที่หลิงเทียนหยุนลงไปแช่แล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับเซียวเหลียนและตงฟางจุนที่อยู่ข้าง ๆ เขา “ศิษย์สำนักวิญญาณกระบี่ เจ้าเข้าไปทีหลัง และคอยจับตาดูคนข้างนอก ส่วนเซียวเหลียนมาข้างหน้าข้า ข้าอยากเห็นว่าเจ้ากำลังฝึกอะไรกันแน่”

แม้ว่าเซียวเหลียนจะติดตามเขามาหลายวัน แต่เขาก็ไม่เคยใช้ห้วงนิทราแห่งราชันย์เพื่ออ่านความทรงจำของเซียวเหลียน เขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวเหลียนและไม่สามารถให้คำแนะนำในทางปฏิบัติได้

เซียวเหลียนมองไปที่หลิงตู้ฉิงและเดินไปข้างหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง หลังจากการสังเกตอย่างถี่ถ้วนมา 2-3 วัน นางก็ยังไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงรู้จักองค์หญิงของนางจริง ๆ หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่นางค่อนข้างแน่ใจนั่นก็คือคนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ดูแลนางอย่างที่ทำและไม่พานางมาที่บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตอย่างแน่นอน นางรู้ตัวดีว่าหากวัดจากความแข็งแกร่งของนาง นางไม่มีความสามารถพอที่จะได้รับโอกาสนี้

หลังจากหลิงตู้ฉิงได้ตรวจสอบเซียวเหลียนอยู่สักพัก เขาก็ให้คำชี้แนะแก่นางและปล่อยให้นางเข้าสู่บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต เพื่อทะลวงศักยภาพของนางเอง

“ผู้อาวุโส ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถบรรลุระดับต่อไปได้?” ตงฟางจุนถามอย่างเคารพ

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ตงฟางจุนและพูดว่า “เจ้าได้สำเร็จร่างกระบี่จนถึงขั้นปลายแล้วแถมยังได้รับการถ่ายทอดเร้นคมกระบี่และเผยคมสะบั้น แต่นี่เจ้ายังต้องการที่จะบรรลุระดับขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 อีกงั้นเหรอ?”

“ข้าต้องลองดู!” ตงฟางจุนหัวเราะเบา ๆ

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “หลังจากที่เจ้าสำเร็จร่างกระบี่แล้วเจ้าจะไม่สามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตของเจ้าได้อีก! อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถใช้เร้นคมกระบี่เพื่อพัฒนา ‘ปราณกระบี่’ ในร่างกายของเจ้าได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางจุนเผยร่องรอยของความเสียใจ แต่เขาก็ยังพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ

แต่เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้าเขาสามารถสำเร็จร่างกระบี่แล้วพร้อมกับสามารถทะลวงศักยภาพชีวิตของตัวเองไปยังระดับ 14 ของขอบเขตประสานทะเลปราณได้มันจะดีแค่ไหน? เขาคงจะกลายเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานแห่งยุคเลยหรือไม่?

แต่เมื่อเขานึกถึงบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณกระบี่ของเขาที่ในอดีต ที่มีรากฐานเพียงแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 และร่างกระบี่ แต่ก็ยังสามารถสร้างชื่อเสียงจนดังกระฉ่อนไปทั่วมหาพิภพไร้จุดจบ ในทางกลับกันถ้าเขาสามารถบรรลุไปถึงระดับ 14 ของขอบเขตประสานทะเลปราณและมีร่างกระบี่แล้วล่ะก็…มันคงจะเป็นการท้าทายสวรรค์มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเขาคงจะต้องโดนทัณฑ์จากสวรรค์แน่นอนจริงไหม?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันน่าเสียดายอีกต่อไป เขามองออกไปด้านนอกถ้ำที่กลุ่มคนยังคงยืนรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็หันกลับมาและเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ใช่บรรพบุรุษของสำนักวิญญาณกระบี่ของเรา แต่ท่านก็น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับสำนักวิญญาณกระบี่ของเราใช่ไหม?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและไม่พูดอะไร

แน่นอนว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างที่เขายังไม่สามารถเปิดเผยได้

ตงฟางจุนที่เห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ปฏิเสธพร้อมกับไม่ยอมพูดอะไร เขาจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโส ท่านช่วยชี้แนะหน่อยได้ไหมว่าข้าควรทำอย่างไรต่อไปกับการอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแห่งนี้?”

หลิงตู้ฉิงจ้องมองไปที่ตงฟางจุนสักพักก่อนจะพูดว่า “หลังจากที่เจ้าทำลายกำแพงแบ่งเขตของโลกขอบเขตประสานทะเลปราณนี้แล้ว และพาภรรยาของข้าและหลิงเฟิงไปยังสถานที่ที่เหมาะสมของพวกนางเพื่อให้พวกนางฝึกฝน ข้าจะถ่ายทอดวิชากระบี่เผาผลาญให้เจ้า และจะให้คำชี้แนะเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่ให้เจ้าด้วย”

ตงฟางจุนพูดอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอ? ถ้างั้นทำไมท่านไม่ถ่ายทอดเพลงกระบี่หลอมผสานให้ข้าด้วย! ซึ่งถ้าท่านถ่ายทอดเพลงกระบี่ทั้งสามนั่นให้ข้าแล้ว มันก็จะเกือบครบพอดี มันก็จะขาดอีกเพียงแค่หนึ่งกระบี่! ดังนั้นถ้าท่านไม่ว่าอะไรข้าอยากจะเอ่อ…ให้ท่านช่วยถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้ข้าด้วยอีกอย่างจะได้ไหม…”

หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องการเรียนรู้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ? แล้วเจ้าพร้อมที่จะยอมรับผลที่ตามมาของมันแล้วรึยัง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าตื่นเต้นของตงฟางจุนก็เปลี่ยนเป็นยู่ยี่ทันที จากนั้นมันก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงอะไรบางอย่างออกและเหงื่อเย็น ๆ ก็เริ่มไหลออกมาจากหน้าผากของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ฝืนยิ้มและพูดว่า “เอ่อ….ผู้อาวุโส ข้าคิดว่า ข้าขอเรียนรู้เพียงแค่วิชากระบี่เผาผลาญเท่านั้นก็พอแล้วจะดีกว่า…”

เขาต้องการเรียนรู้ชุดเพลิงกระบี่ทั้งสี่นั้นจริง ๆ ในฐานะผู้ฝึกฝนกระบี่เขาจะไม่อยากเรียนรู้มันได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงผลของการเรียนรู้เพลงกระบี่เหล่านั้นจนครบ ขนทั้งหมดบนร่างกายของเขาก็ลุกชัน

เพลงกระบี่ทั้งสี่นั้นคือชุดเพลงกระบี่ที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง แต่หลังจากที่เรียนรู้มันจนครบแล้ว เขาจะต้องเผชิญกับการไล่ล่าของผู้คนนับไม่ถ้วนในโลกนี้และในหมู่พวกคนพวกนั้นยังรวมไปถึงกองกำลังที่มีชื่อเสียงมากมาย หากเป็นเช่นนั้นเขาคงมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตงฟางจุนจึงถอนหายใจและส่ายหัวด้วยความเศร้าสร้อย

หลิงตู้ฉิงที่เห็นอาการของตงฟางจุนก็ส่ายหัวเช่นกัน

มันน่าเสียดายที่แม้ว่าเด็กตรงหน้าเขาจะเหมาะสม แต่เขาก็ขาดความกล้าที่จะทำเช่นนั้น

หากปราศจากความกล้าหาญ เขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหมดในโลกได้อย่างไร หากปราศจากความกล้าเขาจะฝึกฝนเต๋ากระบี่ที่ไร้เทียมทานได้อย่างไร อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้…

หลังจากนั้นพวกเขาสองก็นั่งอยู่ริมบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เฝ้าดูผู้คนในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตที่กำลังทะลวงศักยภาพของตัวเอง และในบางครั้งพวกเขาก็เหลือบไปมองสถานการณ์ของเวทีประลองด้านนอกที่กำลังประลองกันเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นผู้เข้ามาใช้บ่อน้ำเป็นคนถัดไป

จากนั้นหนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดผู้คนที่อยู่ด้านนอกก็ตัดสินกันได้ลงตัว

ในท้ายที่สุด คนจากสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ก็ได้คะแนนนำกลุ่มที่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 อยู่ 2 คน และได้รับสิทธิ์ในการใช้บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตก่อน

จากนั้นพวกเขาก็จับตาดูหลิงตู้ฉิงและคนของเขาที่อยู่ด้านในอย่างใจจดใจจ่อ รอที่จะถึงตาพวกเขาที่ได้เข้าไปใช้บ้าง

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในตอนนี้มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยทั้งคู่ต่างก็ทะลวงศักยภาพของตัวเองและระดับการบ่มเพาะของพวกนางก็ได้บรรลุไปถึงระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณ

ส่วนเสี่ยวหลิงเฟิงและเซียวเหลียนก็ไปถึงระดับ 13 แล้วเช่นกัน ซึ่งมันยังส่งผลให้สายเลือดของพวกนางก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับ

ส่วนหลิงเทียนหยุน หากดูจากภายนอกแล้วเขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

ตอนนี้ผู้ที่กำลังใช้บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตคือหลิงตู้ฉิงและตงฟางจุน

พวกเขาสองคนใช้หยดน้ำต้นกำเนิดชีวิตอย่างรวดเร็ว หลังจากแช่อยู่ประมาณ 1 วันทั้งสองก็ออกมา

ภายใต้การใช้งานร่วมกันของคนทั้งเจ็ด น้ำต้นกำเนิดชีวิตก็ลดลงหายไปถึงสามในสิบส่วน!