บทที่ 394 ทำลายกำแพง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 394 ทำลายกำแพง

“พวกเจ้าสามารถเข้าไปใช้ได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงพูดกับผู้คนจากสำนักสวรรค์สัประยุทธ์

ผู้คนของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พากลุ่มคนของพวกเขาเข้าไปที่บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต

แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปด้านในแล้วเห็นว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงได้ดูดซับน้ำต้นกำเนิดชีวิตจากในบ่อไปกว่าสามในสิบส่วน พวกเขาทุกคนก็อยากจะร้องไห้

พวกเขาต่างมีคำถามในใจ ทำไมคนเพียงแค่ 7 คนถึงสามารถดูดซับได้เท่ากับคน 70 คนได้กัน? แล้วคราวนี้เมื่อมันเหลือน้ำเพียงเท่านี้มันจะเพียงพอกับทุกคนที่เหลือได้ยังไง?

ในเวลานี้ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขาจากไปโดยไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของผู้คนกลุ่มอื่น ๆ ที่มองเขา และอันที่จริงสาเหตุหลักที่น้ำต้นกำเนิดชีวิตหายไปถึงสามส่วนนั่นก็เป็นเพราะหลิงตู้ฉิงเป็นผู้ที่ดูดซับมากที่สุด

ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงนำทุกคนเดินไปตามเทือกเขาสูง จากนั้นในขณะที่พวกเขากำลังเดินเขาสั่งว่า “หยุนเอ๋อและเซียวเหลียน พวกเจ้าตามข้าไปยังโลกของขอบเขตรวมแสงดารา สำหรับเจ้า มี่ไล เจ้าไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมตายตัว ดังนั้นเจ้าจะไปที่ไหนก็ได้ ส่วนเฟ่ยเฟ่ย เจ้าไปที่หุบเขาหยินสุดขั้ว และหลิงเฟิง เจ้าจงกลับไปที่ทะเลสาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อทำความเข้าใจกับมัน แล้วเมื่อข้าเสร็จธุระเมื่อไหร่ข้าจะกลับมารับพวกเจ้าทุกคน”

ทุกคนพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ โดยเฉพาะมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยต่างก็รู้ดีว่าที่หลิงตู้ฉิงต้องเข้ามาในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนี้เพื่ออะไรบางอย่าง

มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาไม่จำเป็นต้องเข้ามาด้วยซ้ำ

หลังจากจัดแจงสิ่งที่ทุกคนควรรู้เรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็พากลุ่มของเขามาถึงยอดเขาพอดี

หลิงตู้ฉิงมองไปบนท้องฟ้าและพูดกับตงฟางจุนว่า “เอาล่ะ ตอนนี้มันก็ถึงตาของเจ้าแล้ว เจ้าจงมองไปที่เมฆก้อนใหญ่นั่น มันคือกำแพงกั้นระหว่างโลกของขอบเขตประสานทะเลปราณกับโลกของขอบเขตรวมแสงดารา จงทำลายมันให้ข้าซะแล้วจากนั้นเมื่อข้าเสร็จธุระ ข้าจะกลับมาถ่ายทอดเพลงกระบี่เผาผลาญให้เจ้า”

“ผู้อาวุโส ข้าเข้าใจแล้ว!” ตงฟางจุนพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

ถึงแม้ว่ากำแพงกั้นนี้จะเป็นกำแพงของโลกขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่ถ้าหากใครต้องการที่จะทำลายมันคนผู้นั้นจะต้องมีพลังอยู่ในระดับรวมแสงดาราขึ้นไป

เนื่องจากกำแพงนี้จะเป็นเครื่องวัดด้วยว่าผู้ที่ต้องการไปยังโลกถัดไปนั้นมีความสามารถพอหรือไม่ที่จะไปเผชิญกับอุปสรรคของโลกถัดไป

แน่นอนว่าเมื่อตอนนี้ตงฟางจุนมีวิชาเผยคมสะบั้นแล้ว มันจึงนับได้ว่าเขามีความสามารถพอในการทะลวงกำแพงโลกขอบเขตประสานทะเลปราณได้

อย่างไรก็ตาม เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว หากเขาทำพลาด เขาจะต้องรออีกเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะฟื้นตัว

จากนั้นเขาก็เริ่มทำสมาธิปรับลมหายใจ และโคจรพลังให้อยู่ในระดับสูงสุด

“ท่านพ่อ ท่านเองก็สามารถทำลายกำแพงโลกนี้ได้ไม่ใช่เหรอ?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน พ่อสามารถทำลายมันได้ แต่ถ้าพ่อทำลายกำแพงนี้ด้วยตัวเองแล้วการที่พ่อจะไปทำลายกำแพงถัดไปมันจะยากขึ้นมาก ดังนั้นถ้าเราสามารถให้คนอื่นทำลายมันแทนได้มันก็จะสะดวกกว่า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มี่ไลและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงที่ดูแล้วยังไงก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอในการทำลายมัน เขาถึงไม่ทำลายมันด้วยตัวเองและให้ตงฟางจุนเป็นผู้ลงมือแทน

ทางด้านของตงฟางจุน หลังจากที่เขาปรับการหายใจของตัวเองได้สักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนแผดเสียงขึ้นคำรามและส่งปราณกระบี่ที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายไปยุ่งกลุ่มเมฆที่อยู่บนฟ้าทันที ส่งผลให้กลุ่มเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าถูกแยกออก และรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

“พวกเจ้าทุกคนทำตามคำที่ข้าได้บอก เมื่อเสร็จธุระแล้วข้าจะกลับหาพวกเจ้าอีกที” เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็จับแขนของหลิงเทียนหยุนและเซียวเหลียน แล้วใช้วิชาตัวเบาสะบั้นวายุพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังรอยแยก

หลังจากหลิงตู้ฉิงเข้าไปในรอยแยกแล้ว รอยแยกก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิม

ซึ่งหลังจากที่รอยแยกสมานคืนเหมือนเดิมแล้ว บนร่างของตงฟางจุนก็มีเครื่องหมายแปลก ๆ ปรากฎขึ้น

“ตงฟางจุน เจ้าสบายดีไหม?” มี่ไลถามด้วยความกังวล

ตงฟางจุนยิ้มอย่างอ่อนแรง “พี่สาวมี่ข้าสบายดี แต่เนื่องจากข้าพึ่งใช้ปราณกระบี่ทั้งหมดที่ข้ามีอยู่ในร่างออกไป ข้าคงจะต้องพักฟื้นตัวอยู่ 2-3 วัน เพื่อให้ข้ากลับมามีกำลังเหมือนเดิม ในช่วงเวลานี้ข้าคงจะต้องขอรบกวนให้พวกท่านช่วยปกป้องข้าสักหน่อย”

หลิวเฟ่ยเฟ่ยพยักหน้า “ไม่เป็นไร เจ้าใช้เวลานี้ฟื้นตัวเถอะ และเมื่อเจ้าฟื้นตัวแล้วเราค่อยออกไปจากที่นี่พร้อมกัน”

ตงฟางจุนหัวเราะ “อืม หลังจากที่ข้าฟื้นตัวเสร็จเราควรจะไปจากที่นี่ทันที เพราะอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้น่าจะมีผู้คนมาเยือนอีกหลายคนแน่นอน เนื่องจากการทำลายกำแพงนี้มันคือการได้รับประโยชน์อย่างหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วต้องใช้คนหลายคนในการทำลายมัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้รับมันด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเช่นนี้”

“โอกาส? ประโยชน์?” มี่ไลถามขึ้น

“ถูกต้อง!” ตงฟางจุนพยักหน้า “การทำลายกำแพงของโลกเช่นนี้ผู้ที่ทำลายจะได้รับประโยชน์ของโลกที่อยู่ถัดไป ซึ่งโลกที่อยู่ถัดไปที่ข้าพึ่งทำลายกำแพงไปก็คือขอบเขตรวมแสงดารา ดังนั้นข้าจึงได้รับพรที่จะทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดาราได้อย่างราบรื่นและบ่มเพาะไปถึงจุดสูงสุดในเวลาเร็วกว่าปกติมากกว่าผู้อื่น”

เมื่อได้ยินคำอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเครื่องหมายที่ปรากฏบนร่างกายของเขา

จากนั้นทุกคนจึงรอให้ตงฟางจุนฟื้นคืนกำลังและจากนั้นพวกเขาจะได้ออกไปจากที่นี่พร้อมกัน แต่น่าเสียดายที่ผู้มาใหม่กลับไม่คิดเช่นนั้น

ในเวลานี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนยอดเขาเช่นกัน ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ที่พวกของหลิงตู้ฉิงเคยพบเมื่อตอนที่อยู่หน้าบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต

เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดเขา กลุ่มคนเหล่านั้นก็มองไปที่กลุ่มของมี่ไลที่เหลืออยู่

และเมื่อพวกเขาเห็นตงฟางจุนกำลังอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้า ดวงตาของพวกเขาเริ่มสั่นไหว

คนที่แข็งแกร่งที่สุดดูเหมือนจะหมดสภาพแถมผู้เชี่ยวชาญร่างเงาปริศนานั่นก็หายตัวไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าพวกที่เหลือจะขึ้นไปที่โลกขอบเขตรวมแสงดาราแล้ว?

ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายก็เริ่มผุดขึ้นในสมองของพวกเขา

“ตงฟางจุนเป็นเพราะเจ้าที่ทำให้เราพลาดบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต” จู่ ๆ ก็มีคนพูดออกมา “ถ้าไม่ใช่เพราะเราได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ของเจ้า เราคงไม่พลาดโอกาสที่จะได้ใช้บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องรับผิดชอบ!”

สีหน้าของตงฟางจุนเปลี่ยนไปเป็นซีดเซียวทันที ในตอนนี้เขาไม่มีความสามารถในการใช้เพลงกระบี่ของเขาได้ชั่วคราว แล้วเขาจะเอาอะไรไปปกป้องคนในกลุ่มที่เหลือได้กัน?

เขาเงียบไปครู่หนึ่งและเมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นเริ่มตีวงล้อมรอบพวกเขาไว้ ตงฟางจุนก็ถอนหายใจและพูดว่า “เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา ข้าคิดว่าพวกเราควรถอนตัวออกไป เฮ้อ…น่าเสียดายจริง ๆ ที่ตอนนั้นข้าไม่ได้สังหารพวกเขาให้หมด ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราคงไม่ต้องมามีปัญหาแบบนี้”

มี่ไลมองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่เป็นไร ที่ในตอนนั้นเจ้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา เดี๋ยวตอนนี้พวกข้าจะเป็นคนฆ่าพวกเขาให้หมดเอง! เฟ่ยเฟ่ย หลิงเฟยลงมือ!”

เมื่อพูดจบ มี่ไลร่ายคาถาฝนใบไม้ผลิด้วยมือซ้ายของนางให้ละอองฝนปกคลุมผู้คนทางด้านซ้ายมือ ส่วนมือขวานางดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋วได้ปรากฎขึ้น จากนั้นนางจึงร่ายสุริยันสังหารไปทางผู้คนที่อยู่ทางขวามือทันที

ตามคำสั่งของมี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ยผู้อยู่ทางซ้ายโบกมือร่าย ‘สายลมเยือกแข็ง’ และ ‘โลกน้ำแข็ง’ ออกมาพร้อม ๆ กัน และเมื่ออำนาจของทั้งสองวิชาของนางได้รวมกับผลของ ‘ฝนใบไม้ผลิ’ ของมี่ไล ส่งผลให้เหล่าผู้คนที่อยู่ทางซ้ายมือที่อยู่ในสภาพเปียกปอนจากฝนใบไม้ผลิอยู่แล้วกลายเป็นแข็งค้างด้วยความเย็นสุดขั้วและเพียงชั่วพริบตาคนเหล่านั้นก็อยู่ในสภาพเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งทันที

ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวหลิงเฟิงซึ่งอยู่ทางด้านขวาก็ปลดปล่อยคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ของนางส่งผลให้ทุกคนที่อยู่ทางด้านขวาเริ่มถูดเผาไหม้ทันทีจากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

ก่อนที่ทั้งสามจะเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ พวกนางได้ฝึกซ้อมการประสานวิชาเหล่านี้อยู่หลายต่อหลายครั้งแล้ว และผลของการประสานวิชาของพวกนางก็คือคนที่อยู่ทางขวาต้องถอนตัวออกไปจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างเร่งร้อนโดยที่ไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาถอนตัวออกไปแล้วพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่

ส่วนกลุ่มคนทางซ้ายพวกเขาได้ถูกแช่แข็งจนโดนน้ำแข็งปกคลุมจนมิดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครทราบได้ว่าพวกเขาตายไปแล้วหรือยัง?

ตงฟางจุนมองพวกนางสามคนด้วยความตกใจ ตามความเข้าใจของเขา ที่หลิงตู้ฉิงทิ้งเขาไว้ที่นี่ก็เพราะให้เขาปกป้องพวกนาง แต่ไหงตอนนี้เขากลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องไปเสียได้!?

เมื่อทุกอย่างสงบลง หลิวเฟ่ยเฟ่ยก็ไม่ได้สนใจเหล่าผู้คนที่ถูกแช่แข็งอีก นางหันไปยิ้มและพูดกับตงฟางจุนว่า “เราจะออกไปด้วยกันหลังจากที่เจ้าฟื้นกำลังของเจ้านะ”