TQF:บทที่ 644 ลางสังหรณ์เท่านั้น (3)

 

จากนั้นก็ปะทุเส้นชีพจรเส้นถัดไป กระบวนการนี้ให้พูดน่ะมันง่าย แต่จริงๆแล้วทรมานอย่างถึงที่สุด เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เส้นชีพจรของเขาได้หดตัวลง ตอนนี้ต้องปั้นขึ้นมาใหม่ด้วยการประสานกันของยาและพลังวิญญาณ ความทรมานนี้ใช่ว่าทุกคนจะรับไหว ต่อให้เขามีพลังจิตใจที่ไม่ธรรมดามาหลายสิบปี แต่ในตอนนี้ก็ยังต้องหลับตาแน่น เหงื่อไหลเป็นทาง

 

โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็ไม่กล้าดูด้วยจิตเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเขา ถ้าหากมีใครเห็นละก็ต้องตกใจมากแน่ๆ เพราะมองเห็นได้ชัดเจนเลยว่ากล้ามเนื้อทั่วร่างของฟางหมิงเห้อกำลังเกร็งอยู่

 

ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน ฟางหมิงเห้อก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสลบไปเด็ดขาด เพราะเขารู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เขาจะต้องเพ่งพลังจิตทั้งหมดต่อสู้กับไออุ่นที่ปั่นป่วนในร่างอยู่

 

ขอแค่เขาชนะเขาก็จะมีชีวิตใหม่ ดังนั้นเขาจึงต้องกำราบฤทธิ์ยาและพลังวิญญาณในร่างกายให้ได้ กำราบให้มันยอมกลายเป็นพลังของตัวเขาเอง แล้วเปลี่ยนเป็นพลังเซียนเพื่อบรรลุระดับวิทยายุทธเดิมของเขา

 

ความอัปยศอดสูในหลายสิปปีนี้ทำให้เขาแข็งแกร่งทั้งกายและใจ และบัดนี้ก็เกิดประโยชน์อย่างมาก เขาค่อยๆดูดซับลมปราณที่รุนแรงนั้นและร่างกายก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา ส่วนเขาก็เข้าสู่ภวังค์

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมที่ลอยอยู่ในอากาศเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และใบหน้าเคร่งขรึมของนางก็ดูผ่อนคลายลง

 

ท่าทางท่านปู่เล็กจะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คาดฝัน

 

ที่จริงเฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนในร่างกายของฟางหมิงเห้อเมื่อกี้ ถ้าบอกว่านางไม่กังวลเลยเห็นทีจะไม่จริง

 

หากไม่ระวังหรือถูกรบกวนจากภายนอกก็อาจมีอันตรายถึงขั้นร่างระเบิดได้ และหากระเบิดละก็ ชีวิตเขาก็ถือว่าจบแล้ว

 

เพราะเฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกถึงอันตรายนี้ นางจึงไม่สนว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ยอมปล่อยสัตว์อมตะร้อยตัวออกมาช่วยคุ้มกัน

 

ตราบใดที่เขาผ่านด่านนี้ได้อย่างปลอดภัยและบรรลุสำเร็จ นางก็ไม่คิดมากในการเปิดเผยความสามารถออกไปบ้าง กับญาติๆแล้ว นางให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่เสมอ

 

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ

 

ผู้คนที่ล้อมวงอยู่ก็ยังไม่ล่าถอย ทุกคนเหมือนถูกสะกดเอาไว้ ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

 

“ตู้มมม”

 

หลายชั่วยามต่อมา วังวนพลังวิญญาณด้านบนก็พังทลายลง ทุกอย่างค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ

 

ในขณะที่ฝูงชนกำลังมึนงง จู่ๆก็มีเสียงร้องดังออกมาจากห้องนอน

 

ในเสียงร้องมีความปิติยินดีแฝงอยู่ด้วย

 

บรรลุสำเร็จ

 

ความคิดนี้เข้ามาในหัวของทุกคน

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเก็บสีหน้าเคร่งเครียดเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วจึงเรียกเหล่าสัตว์อมตะทั้งหมดให้กลับเข้ามิติไป

 

หลังจากนั้น บ้านโทรมๆของตระกูลฟางหลังนี้ก็คึกครื้นอย่างถึงที่สุด ทุกคนพากันมาที่นี่หมดไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก

 

ส่วนฟางหมิงเห้อที่ยืนไม่ได้มานานหลายสิบปีไม่เพียงฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์เท่านั้น แล้วยังบรรลุเป็นก้าวสู่เทพเทวาจากวิทยายุทธระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ที่ถูกทำลายไปเมื่อตอนนั้น นี่มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ

 

คนที่รู้ข่าวต่างอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้มาเยี่ยมเยียนจึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

หลายๆคนได้รับข่าวว่าเรื่องที่ฟางหมิงเห้อฟื้นตัวเกี่ยวข้องกับคุณหนูผู้เป็นญาติของตระกูลฟาง คุณหนูอายุน้อยคนนี้สามารถรักษาคนพิการของตระกูลฟางได้

 

ข่าวนี้ทำให้ผู้คนอีกมากมายต้องตกตะลึง สายตาที่พวกเขามองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่านางเป็นสมบัติที่หายาก แทบจะเทิดทูนไว้ในมือหรือไม่ก็ลักพาตัวนางไว้ซะเลย

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เอาซะเลย ตอนนี้ได้เห็นท่านปู่เล็กฟื้นตัว เห็นท่านปู่ทวดท่านย่าทวดและท่านย่าของตัวเองมีความสุขก็พอใจแล้ว ส่วนคนอื่นนางไม่สนใจ

 

โดยเฉพาะพวกคนหนุ่มที่ตั้งใจมา ท่าทางแต่ละคนราวกับมองเหยื่ออยู่ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้นางอยากจะกระทืบคน

 

สุดท้ายเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็หาโอกาสชิ่งกลับห้องนอนพร้อมหยูเฮงน้อย

 

“เฮ่ะๆ เจ้าพวกนั้นน่ารังเกียจซะจริง จะพูดอะไรก็ไม่พูดตามที่ใจคิด พูดกันแบบนึงในใจก็คิดอีกแบบนึง หน้านี่ไม่ได้ด้านธรรมดานะ ไร้ยางอายเกินจะทนจริงๆ”

 

หยูเฮงน้อยด่าคนข้างนอกไปด้วยพลางกินผลไม้ไปด้วย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยิบน้ำวิเศษออกมาเทเรียบๆและดื่ม

 

“หยูเฮงน้อย ทรัพยากรที่เรารวบรวมได้ในครั้งนี้เพียงพอที่จะเลื่อนขั้นอีกหรือไม่”

 

เมื่อนึกไปถึงทรัพยากรที่เอามาจากผู้เฒ่าหยิงเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ถามขึ้น

หยูเฮงน้อยโยนเม็ดผลไม้ออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ น่าจะเลื่อนขั้นได้หลายสิบขั้นอยู่ คุณหนูจะเลื่อนขั้นเลยเหรอ”

 

“ใช่ เลื่อนขั้นได้รีบเลื่อนจะดีที่สุด” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายเจิดจ้า “ข้ามีลางสังหรณ์ ในอนาคตพวกเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย เราจึงต้องเลื่อนขั้นโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าเราจะสามารถรอดพ้นจากวิกฤตินี้ได้มั้ย”

 

“คุณหนู นี่เกี่ยวข้องกับท่านเขยรึเปล่า” หยูเฮงน้อยเอียงคอใช้ความคิด พูดถึงคนที่ไม่ได้พูดถึงมานานแล้ว

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเสียอาการไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว “ไม่น่าจะใช่ ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าอันตรายนี้ไม่ได้มาจากผืนดินฉางไห่แค่ความรู้สึกลางๆเท่านั้น ข้าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

 

“อ่อ ถ้าท่านเขยอยู่ก็คงจะดี ให้เขาคำนวณดูก็น่าจะพบอะไรบางอย่าง”

 

หยูเฮงน้อยพูดถึงโม่ซวนซุนครั้งแล้วครั้งเล่า เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบมองนางด้วยความสงสัย “เป็นอะไรน่ะ เพ้อเจ้ออะไรอีกแล้วน่ะ”

 

“อิอิ ที่ไหนกันคุณหนู ข้าเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปงามด้านนอกนั่นมีมากเกินไป ข้ากลัวว่าคุณหนูจะตาพร่าเอาแล้วเห็นพวกเขาเป็นท่านเขย” หยูเฮงน้อยขยิบตาอย่างอารมณ์ดี

 

“ไร้สาระ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอมยิ้มแกล้งด่าไป ก่อนจะถอนหายใจเศร้าๆ “นี่ก็ผ่านไปอีก 1 ปีแล้วสิ เขาจากพวกเราไปได้ 2 ปีกว่าแล้วสินะ”

 

“ใช่แล้ว ท่านเขยจากพวกเราไปได้ 2 ปี 3 เดือนแล้ว คุณหนู ตอนที่ท่านเขยกลับมาพวกเราจะลงโทษเขาอย่างไรดี”

————————————