“คุณหลิงครับ..รบกวนช่วยดูให้ผมหน่อยว่าร่างกายของผมมีอะไรผิดปกติบ้างมั๊ย”
เมื่อกลับออกมาจากบ้านของเหยียนเค่อหมิงแววตาของเฉินเจี้ยนเตาที่มองหลิงหยุนก็ต่างไปจากเดิมมาก เวลานี้เขามองหลิงหยุนราวกับเทพมาจุติ..
ความมั่นใจความหนักแน่น และความสามารถในการต่อรองธุรกิจของหลิงหยุนนั้น ทำให้เฉินเจี้ยนเตารู้สึกประทับใจอย่างที่สุด!
เฉินเจี้ยนเตารู้ว่านับเป็นความโชคดีของตนเองอย่างมากที่ได้ทำงานให้กับหมออมตะเช่นหลิงหยุน และนี่นับเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะมันหมายถึงความโชคดีของคนในครอบครัวของเขาด้วย..
“ตอนนี้ร่างกายของคุณไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่เมื่อไหร่ที่คุณป่วยขึ้นมา ผมจะรักษาให้คุณเอง อ่อ.. แล้วก็ต้องดื่มให้น้อยลงด้วยล่ะ!”
ทางด้านโม่วู๋เตานั้นได้แต่นั่งบ่นพึมพำ“หึ.. เจ้าคนเสียสติ! เจ้าสามารถประหยัดเงินไปได้ตั้งสี่ร้อยล้าน ความจริงเงินจำนวนนั้นควรต้องเป็นของข้าถึงจะถูก!”
หลิงหยุนเหลือบมองโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดยิ้มๆ“เจ้าพูดเช่นนี้คงอยากถูกข้าเตะลงจากรถมากสินะ”
โม่วู๋เตาถึงกับถอนหายพร้อมกับโวยวายเสียงดัง“นี่.. ถ้าเช่นนั้นในวันข้างหน้า เจ้าอย่ามาขอความช่วยเหลือจากข้าก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง..“ได้ๆ วันนี้ข้าจะทำบุญกับเจ้า ให้เจ้าหนึ่งล้านหยวน พอใจหรือไม่”
โม่วู๋เตาผู้เห็นแก่เงินเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะมอบเงินให้หนึ่งล้านหยวนก็ถึงกับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“แต่..เจ้าต้องช่วยข้าทำงานบางอย่างเสียก่อน!”
โม่วู๋เตาที่กำลังยิ้มกว้างถึงกับปากคว่ำลงทันทีพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกน่า..พอดีคลินิกสามัญชนของข้าเพิ่งจะตกแต่งเสร็จไปเมื่อวาน บ่ายนี้เจ้าไปดูฮวงจุ้ยให้ข้าที..”
“เรื่องแค่นี้เองรึได้ๆ..” โม่วู๋เตารับปากทันที
“คุณเฉิน..หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้ว คุณกลับไปช่วยเถ้าแก่เหยียนจัดการเรื่องเอกสาร อย่าให้การเปิดบริษัทเทียนตี้ต้องล่าช้าไปเพราะเรื่องนี้..”
“ครับคุณหลิง..”
ทั้งสามคนเข้าไปรับประทานอาหารเที่ยงในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งหลิงหยุนได้ซื้อกิจการไว้แล้วและเมื่อทั้งหมดกินเสร็จแล้ว เฉินเจี้ยนเตาก็แค่เซ็นต์บิลค่าอาหาร แล้วทั้งหมดก็เดินออกมาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
“เจ้าคนเสียสติ..ข้าว่าทั้งจิงฉูคงจะกลายเป็นบ้านหลังใหญ่ของเจ้าไปแล้ว เหลือเพียงแค่มุงหลังคาทั่วทั้งเมืองจิงฉูเท่านั้น..” โม่วู๋เตาอดที่จะประชดประชันออกมาไม่ได้
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้วทั้งสามคนต่างก็แยกย้ายกัน โม่วู๋เตาไปจัดการเรื่องฮวงจุ้ยที่คลินิกสามัญชน เฉินเจี้ยนเตาไปที่บ้านของเหยียนเค่อหมิง ส่วนหลิงหยุนกลับไปยังบ้านเลขที่-1..
…..
หลิงหยุนสำรวจดูสมุนไพรที่สวนภายในบ้านและพบว่าส่วนมากโตเต็มที่พร้อมใช้งานแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เติบโตดีนัก
หลิงหยุนกำลังคิดว่าคงจะต้องใช้วิชาพฤกษาขจีเข้าช่วยซึ่งเวลานี้วิชาพฤกษาขจีของเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นที่ห้าแล้ว สามารถใช้ได้ในพื้นที่ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็นั่งลงขัดสมาธิบนพื้นดิน และเริ่มเดินวิชาพฤกษาขจี เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรภายในสวน
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ในบริเวณที่กว้างขึ้นแต่ผลลัพธ์ของมันก็ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก และหากใครได้พบเห็นเข้าก็คงต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน!
ภายใต้วิชาพฤกษขจีนั้น..ในเวลาเพียงแค่สองสามนาที สมุนไพรภายในสวนต่างก็เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม้ใบก็ผลิใบเขียวขจี ไม้ดอกก็ผลิดอกบานสะพรั่ง ไม้ผลก็ให้ผลงอกงาม..
ส่วนสมุนไพรที่ยังไม่โตเต็มที่เวลานี้ก็โตเต็มวัยพร้อมใช้งานแล้ว บางต้นก็ออกหน่อสีเขียวราวกับฤดูใบไม้ผลิเลยทีเดียว..
หากใครได้มาพบเห็นภาพการเจริญเติบโตของเหล่าพฤกษาในเวลานี้เข้าคงต้องยืนอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึงอย่างแน่นอน เพราะเวลานี้ต้นไม้ ดอกไม้ และสมุนไพรต่างๆ ได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังฉายภาพเร่งเวลาจากหนึ่งปีมาเป็นหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว!
และก็มีคนเข้ามาทันเห็นภาพนี้พอดี..ซึ่งคนผู้นั้นก็คือเหมี่ยวเสี่ยวเหมา!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้ยินเสียงหลิงหยุนกลับมาจึงชะเง้อมองจากหน้าต่างห้องนอนของตนเอง และเมื่อเห็นหลิงหยุนตรงไปที่สวนสมุนไพรซึ่งตนเองดูแลอยู่ เธอก็รีบวิ่งลงมาดูทันที และได้เห็นภาพที่น่าตกใจนั้เข้าพอดี!
ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงในการใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้หลิงหยุนต้องใช้พลังชีวิตในร่างกายไปถึงสามสิบส่วน..
นั่นเพราะเมื่อใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของเหล่าพฤกษานั้นผู้ใช้จะต้องปลดปล่อยพลังชีวิตในร่างกายของตนเองให้กับพฤกษาทั้งหลาย และพลังชีวิตที่ปลดปล่อยออกไปจะทำหน้าที่เป็นอาหาร และน้ำบำรุงหล่อเลี้ยงเหล่าพฤกษาให้เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว!
หลังจากที่ลุกขึ้นยืน..หลิงหยุนก็เห็นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่กำลังยืนอ้าปากค้าง จึงร้องถามขึ้นว่า
“เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“……”เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่นิ่งอึ้ง
หลิงหยุนจึงร้องถามขึ้นว่า“อยากจะเรียนวิชานี้กับผมมั๊ย ผมจะสอนให้คุณเอง..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้องตะโกนตอบกลับไปทันที“หึ.. ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงใหนเลย”
…….
เวลาบ่ายสามโมงตรง..ถังเมิ่งได้โทรมารายงานหลิงหยุนว่าการรวมบริษัทเฉิงเมดิคัลกรุ๊ปเข้ากับบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นนั้น เป็นไปได้อย่างราบรื่น ขาดเหลือเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น และพรุ่งนี้เฉียนหยูไห่จะไปจัดการต่อให้เสร็จ..
หนึ่งชั่วโมงต่อมา..ถังเมิ่ง เฉินเจี้ยนเตา และเฉียนหยูไห่ ต่างก็มาหาหลิงหยุนที่บ้าน ทั้งหมดได้นำสัญญากองใหญ่จากรถมาให้หลิงหยุนเซ็น หลิงหยุนได้แต่มองเอกสารตรงหน้าด้วยความรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก..
จากนั้นได้แต่บ่นพึมพำออกมา“ฉันมอบอำนาจให้นายจัดการทุกอย่างแทนฉันแล้วไม่ใช่เหรอ นายเป็นประธานบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นนี่ ทำไมฉันยังต้องเซ็นเอกสารบ้าบอพวกนี้อีกล่ะ?!”
ถังเมิ่งหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“พี่หยุน.. ประธานก็ส่วนประธาน แต่พี่เป็นเจ้าของบริษัท”
ถังเมิ่งได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หยุน.. พี่กว้านซื้อบริษัทตั้งมากมาย พวกเราวิ่งซื้อกิจการมาตั้งหลายวัน พี่แค่เซ็นเอกสารไม่กี่หน้าเอง อย่าบ่นนักเลยน่า!”
หลิงหยุนไม่มีทางเลือกได้แต่หยิบปากกาขึ้นมาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก “เซ็นตรงใหนบ้าง”
………….
หลิงหยุนนั่งเซ็นเอกสารกองโตจนถึงหกโมงเย็นและในที่สุดทุกอย่างก็เรียบร้อย จากนั้นจึงหันไปคำรามใส่ถังเมิ่ง
“ได้เวลาจัดการกับนายแล้ว!”
หลิงหยุนเห็นถังเมิ่งวิ่งหนีเช่นนั้นจึงใช้กระแสวนหยิน-หยางดูดร่างของถังเมิ่งเข้ามา และถังเมิ่งก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีก
ถังเมิ่งได้แต่หันหลังไปมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไป“พี่หยุน.. ชีวิตก็แบบนี้ล่ะ! อีกอย่างนี่ก็เป็นกิจการของพี่ทั้งนั้นนะ..” ไอลีนโนเวล
หลิงหยุนตอบเสียงเย็น“ตอนนี้มาทำเป็นกลัว.. เอาล่ะ! ฉันจะยังไม่คิดบัญชีกับนายตอนนี้ กลับมาคุยธุระเรื่องอื่นกับฉันก่อน..”
ถังเมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็รีบกลับมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกทันทีและได้ส่งรายชื่อแขกที่เขาจะเชิญมาในวันเปิดกิจการของบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นให้หลิงหยุน..
“พี่หยุน..ฉันจดรายชื่อออกมาให้พี่ทั้งหมดแล้ว มีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ สื่อต่างๆ แล้วก็เพื่อนๆ”
“พี่ลองตรวจรายชื่อดูอีกที..”
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูก็นึกพอใจในผลงานของถังเมิ่งมากเขาพยักหน้า และพูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนจะไม่ขาดใครนี่..”
“แต่..ทำไมนายถึงได้เชิญแขกมามากมายขนาดนี้ บางคนฉันเองยังไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำไป!”
ถังเมิ่งอธิบายว่าบางคนก็เป็นแขกของกิจการที่เพิ่งกว้านซื้อมาหากไม่เชิญก็เท่ากับไม่ให้หน้าพวกเขา
หลิงหยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจและถามต่อว่า “ดูเหมือนในจิงฉูคงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเราแล้วสินะ”
“แต่จากนี้ไปนายเองก็ต้องแยกแยะให้ดีเพราะต่อไปนายต้องพบปะกับผู้คนมากมาย ต้องรู้ว่าใครคือคนสำคัญ และใครรองลงมา จัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้องด้วย..”
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“พี่หยุน.. ฉันรู้!”
จากนั้นโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนก็ดังขึ้นทันทีที่กดรับก็ได้ยินเสียงของฉินตงเฉี่วยถามขึ้นว่า..
“เจ้าเด็กดื้อ..บริษัทเทียนตี้เปิดวันที่ 8 เดือน 8 ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วน้าหญิง..”
“ข้าแค่จะโทรมาบอกเจ้าว่า..ฉินฉางชิงจะมาร่วมพิธีเปิดด้วย!”
หลิงหยุนถามขึ้นอย่างงงๆ“ฉินฉางชิงหรือน้าหญิง เขาเป็นใครกัน?”
ฉินตงเฉี่วยสวนกลับทันที“เจ้าเด็กโง่.. เขาก็เป็นท่านพ่อของข้าไงเล่า! และเจ้ากับหลิงยู่ก็ต้องเรียกเขาว่าท่านตา!”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนและรีบถามต่อทันที “แล้วท่านตาจะมาทำไมกัน”
“จะมาทำไมงั้นรึในเมื่อเป็นวันเปิดบริษัทของเจ้าทั้งที ท่านพ่อของข้าก็จะมาทำพิธีตัดริบบิ้นให้ไงเล่า!”
พูดจบฉินตงเฉี่วยก็วางสายไปทันที..
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปและคล้ายเป็นอัมพาตไปครู่ใหญ่..
ฉินฉางชิงเป็นพ่อของฉินจิวยื่อกับฉินตงเฉี่วยและเป็นผู้นำตระกูลฉินคนปัจจุบัน แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่เคยถามเรื่องภายในตระกูลฉิน แต่เขาก็พอรู้อะไรมาบ้าง
อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินนั้นไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งแต่ครอบคลุมเทือกเขาฉินหลิ่งซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศจีน
ตระกูลฉินนั้นตั้งอยู่ตรงจุดตัดระหว่างมณฑลเสฉวนส่านซี และฮู๋เป่ย อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินนั้นครอบคลุมไปจนถึงทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงเลยทีเดียว..
หลิงหยุนทำตัวไม่ถูกแน่หากท่านตาของเขามาที่นี่จริงๆแต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้คิดอะไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง..
และครั้งนี้เป็นหลินเมิ่งหานโทรมา“หลิงหยุน.. ท่านปู่รู้ว่านายจะเปิดบริษัท ก็เลยจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วย..”
หลิงหยุนได้แต่นึกปวดหัว“อีกแล้วรึ”