ตอนที่ 462 มอบยา / ตอนที่ 463 เชิญในฐานะผู้อำนวยการ

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 462 มอบยา

 

 

มาถึงห้องของมั่วเวิ่นแล้ว อีลั่วเสวี่ยจึงคลายความกังวลลง ยังไม่ทันเดินขึ้นชั้นสอง ก็เอาหลังแนบกับประตู สองขาอ่อนยวบนั่งลงไปบนพื้น

 

 

“เจ๊ เป็นอะไรไป อย่าทำให้ผมตกใจสิ!” เฟิงฉี่ร้อนใจจนเสียงพูดแทรกด้วยเสียงสะอื้น น่ากลัวจริงๆ เขาไม่เคยเห็นอีลั่วเสวี่ยอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างนี้มาก่อน ทั้งกระอักเลือดและยังต้องพาพวกเขาหลบออกมา สูญเสียพละกำลังไปมาก

 

 

มั่วเวิ่นวางเตาหลอมไว้ข้างๆ รีบยื่นมือออกไปตรวจชีพจรให้อีลั่วเสวี่ย เธออ่อนแอจนไม่มีแรงจะพูด พอตรวจเสร็จมั่วเวิ่นจึงถอนหายใจ “ยังดีที่บาดเจ็บภายในเล็กน้อย ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”

 

 

“เป็นไปได้ยังไง อาจารย์ งั้นทำไมพี่ลั่วเสวี่ยจึงเป็นแบบนี้?” เฟิงฉี่ไม่เชื่อ เพราะขณะนี้แม้อีลั่วเสวี่ยจะลืมตาอยู่ แต่แววตาดูเลื่อนลอยเหมือนคนป่วยหนัก ลมหายใจอ่อน

 

 

“หมดแรง สูญเสียพลังทิพย์มากเกินไป รวมทั้งกำลังกายด้วย” เหมือนการออกกำลังหนักเกินไป ทำให้สมรรถภาพทุกส่วนของร่างกายเหนื่อยล้าสุดขีด

 

 

เฟิงฉี่มองอีลั่วเสวี่ย แม้เธอจะลืมตาพูดอะไรไม่ออก แต่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต จึงคลายควากังวลลง

 

 

เขาเม้มริมฝีปาก แล้วจู่ๆ ก็ทำตัวเหมือนชายชาตรี อุ้มอีลั่วเสวี่ยขึ้นไปชั้นบน ส่วนมั่วเวิ่นรีบอุ้มเตาหลอมยาเดินตามไป

 

 

“เจ๊ อย่าร้อนใจ พักสักหน่อย เราจะดูแลเตาหลอมยาให้เอง” เฟิงฉี่พูดกับอีลั่วเสวี่ยซึ่งขณะนี้กึ่งหลับกึ่งตื่น เธอผงกศีรษะอย่างอ่อนแรง แล้วผล็อยหลับไปบนโซฟา

 

 

ขณะที่หมดสติไป อีลั่วเสวี่ยครุ่นคิดในใจ ตนเองมีพลังน้อยเกินไป เธอมั่วเสี่ยวชิงไม่เคยหลอมยาแล้วเกือบต้องแลกด้วยชีวิตอย่างนี้ คงต้องพูดว่านี่เป็นเหตุสุดวิสัย ในเมื่อพลังยังไม่เข้มแข็ง จากนี้ไปก็ไม่ควรหลอมยาอีก

 

 

เมื่อแสงอรุณลำแรกสาดลงบนใบหน้าเธอ เธอตื่นแล้ว เฟิงฉี่กับมั่วเวิ่นเปิดฝาหม้อบนโต๊ะ โจ๊กที่หอมกรุ่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร

 

 

“เจ๊ หิวล่ะสิ ลุกขึ้นมากินอะไรหน่อย จะช่วยให้มีแรง” เฟิงฉี่พูดพลางเดินเข้ามาประคองให้อีลั่วเสวี่ยนั่งขึ้น แต่เธอลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนแล้ว เฟิงฉี่จึงยื่นเสื้อคลุมให้เธอ

 

 

“บนเขาตอนเช้าอากาศหนาว”

 

 

เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นผู้ชายที่อบอุ่นจริงๆ เป็นเหมือนน้องชายที่ซื่อสัตย์

 

 

“จริงสิ เตาหลอมยาของฉันล่ะ?” อีลั่วเสวี่ยถาม แล้วจึงเห็นเตาหลอมยาอยู่ใต้โต๊ะชา ที่จริงเมื่อวานมั่วเวิ่นวางไว้ตรงหน้าเธอแล้ว กลัวว่าเธอจะหาไม่เจอ

 

 

“เราไม่ได้เปิดดู” มั่วเวิ่นอธิบาย เขานับถืออีลั่วเสวี่ยยิ่งขึ้นโดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อวาน

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วค่อยๆ เปิดฝาเตาหลอมยา ในนั้นมีโอสถทิพย์ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย สีขาว มีทั้งหมดสิบเม็ด ใหญ่เล็กต่างกันบ้าง มีกลิ่นหอมจางๆ ของยาฟุ้งออกมา

 

 

เพียงแค่ได้กลิ่นหอมของยาถึงกับทำให้มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ราวกับทุกเซลล์ในร่างกายถูกเปิดออก

 

 

อีลั่วเสวี่ยเลือกหยิบโอสถทิย์ขนาดกลางออกมาสองเม็ด ยื่นให้เฟิงฉี่และมั่วเวิ่นคนละเม็ด “พวกคุณก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร สามารถทนต่อฤทธิ์ของโอสถทิพย์ได้ ถ้าเม็ดใหญ่เกินไปอาจทำให้พวกคุณบาดเจ็บ อย่างไรพวกคุณก็รู้ดีถึงพลังทิพย์ที่ซ่อนอยู่ในสมุนไพรทิพย์เหล่านี้”

 

 

“ให้เราหรือ ทำอย่างนี้ดีหรือ แล้วพี่เขยผมล่ะ?” เฟิงฉี่ถาม เขาไม่รับโอสถทิพย์ที่อีลั่วเสวี่ยยื่นมา

 

 

มั่วเวิ่นพยักหน้า “ลั่วเสวี่ย เราไม่ได้มุ่งหวังโอสถทิพย์ของคุณ” สิ่งที่เธอนำมาให้พวกเขาเป็นของล้ำค่าที่ไร้รูป ไม่จำเป็นต้องใช้โอสถทิพย์เพื่อขอบคุณหรอก

 

 

“ฉันรู้ดี แต่นี้เป็นการมอบให้คุณสองคน บนโลกนี้คนที่มีโอกาสกินโอสถทิพย์มีไม่มาก ฉันไม่คิดจะให้คนอื่น กินเถอะ ช่วยให้อายยืนยาว ยังมีผลดีต่อการบำเพ็ญเพียรข้างหน้าด้วย”

 

 

 

 

ตอนที่ 463 เชิญในฐานะผู้อำนวยการ

 

 

ทั้งสองฟังเธอพูดเช่นนี้จึงเลิกโต้แย้ง รับโอสถทิพย์มาแล้วกลืนลงไป ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะกินโอสถทิพย์นี้ได้หรือไม่ เพราะอย่างไรของสิ่งนี้อีลั่วเสวี่ยตั้งใช้ทำขึ้นมาเพื่อรักษาอาการป่วยของเฉวียนหมิง

 

 

ความจริงแล้วใครๆ ก็กินโอสถทิพย์นี้ได้ หลอมขึ้นจากพื้นฐานตัวยาเดิมที่เฉวียนหมิงเคยกิน แล้วเพิ่มและปรับเปลี่ยนสมุนไพรทิพย์ มีสรรพคุณยืดเส้นเอ็นกระตุ้นเลือดลม เท่ากับเป็นโอสถทิพย์ที่ช่วยปลุกพลังชีวิต

 

 

เมื่อเฟิงฉี่และมั่วเวิ่นกินแล้ว จะช่วยทะลวงเส้นชีพจร ทำให้เส้นประสาทในร่างกายแข็งแรงขึ้น สุขภาพแข็งแรง บำเพ็ญเพียรได้ง่ายขึ้น

 

 

“ว้าว ผมรู้สึกถึงฤทธิ์ยาแล้ว” เฟิงฉี่ยื่นมือไปลูบท้องตัวเอง รู้สึกเหมือนดื่มน้ำอุ่นลงไป เริ่มจากที่ลงไปในลำคอ เหมือนมีกระแสไออุ่นไหลจากจุดตานเถียน ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

 

 

มั่วเวิ่นประปลาดใจยิ่งกว่า เขารู้สึกเหมือนได้ยินกระดูกตัวเองลั่นเปรี๊ยะๆ ราวกับหน่อไม้ที่แทงขึ้นมาหลังฝนตก เต็มไปด้วยพลังชีวิต

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วเก็บเตาหลอมพร้อมยาในนั้น มองดูเตาหลอมหายวับไปต่อหน้าตนเอง เฟิงฉี่กับมั่วเวิ่นตะลึงงันแต่ไม่ถามอะไร

 

 

หลังจากที่พวกเขาได้สัมผัสมากขึ้น กลับรู้สึกว่าบางเรื่องถ้าไม่รู้เลยกลับจะปลอดภัยกว่า และที่อีลั่วเสวี่ยไม่พูดนั้นที่จริงเป็นการคำนึงถึงพวกเขา

 

 

“เอาละ ไม่ต้องตื่นเต้นแล้ว กินอะไรหน่อยดีกว่า ฉันหิวแล้ว” อีลั่วเสวี่ยพูด แล้วเริ่มตักโจ๊กกิน

 

 

เฟิงฉี่ยิ้มร่า แล้วเริ่มกินอาหารด้วยความเบิกบาน มั่วเวิ่นก็เช่นกัน เขารู้สึกว่าตนเองโชคดี ดีที่ตอนนั้นเขาช่วยผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่โชคดีอย่างนี้หรอก

 

 

เขาสังหรณ์ใจว่าประโยชน์ของโอสถทิพย์ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ จะอย่างไรอายุขัยของตนเองก็ยืนยาวขึ้นถึงหกสิบปี แน่นอนว่าเขาเก็บความคิดนี้ไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกมา

 

 

ขณะที่ทั้งคู่กำลังกินอาหาร เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น

 

 

“ใครกัน มาแต่เช้า จะไม่ให้กินข้าวเช้าหรือไง” เฟิงฉี่ถือชามโจ๊กวิ่งลงไปชั้นล่างเปิดประตู นึกอยากจะต่อว่าสักหน่อย แต่พอเห็นคนที่มาก็ถึงกลับรีบกลืนโจ๊กลงคอ

 

 

“ท่านผู้อำนวยการ มาทำไมหรือครับ เชิญ…เข้ามาครับ” เฟิงฉี่ชะงักเล็กน้อย จงใจพูดสองคำหลังดังขึ้น

 

 

อีลั่วเสวี่ยและมั่วเวิ่นสบตากันเงียบๆ จากนั้นลุกขึ้นรอให้ผู้อำนวยการขึ้นมาชั้นบน

 

 

พอท่านผู้เฒ่าขึ้นมาชั้นสองก็มองตรงไปที่อีลั่วเสวี่ยทันที “คนเมื่อคืนคือเธอใช่ไหม?”

 

 

มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่รู้สึกหวั่นใจ แต่สีหน้าเรียบเฉย เอ๊ะ ตรงนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด ทำไมผู้อำนวยการถึงรู้ หรือว่าเมื่อคืนเห็นพวกเขาแล้ว?

 

 

อีลั่วเสวี่ยกลับมีท่าทีสงบนิ่ง “ฉันไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร จริงด้วย ท่านคือผู้อำนวยการ เมื่อกี้เฟิงฉี่กับอาจารย์มั่วยังเอ่ยถึงท่าน สวัสดีค่ะท่านผู้อำนวยการ” เธอผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วทักทายในฐานะคนรุ่นหลัง

 

 

ผู้อำนวยการแห่งสำนักแพทย์โบราณเทียบเท่ากับเจ้าสำนักแห่งสำนักแพทย์โบราณ มีฝีมือสูงมาก! มีพลังเหนือกว่าตน แต่น่าเสียดายที่เธอสามารถท้าประลองข้ามขั้นได้ เพราะเธอมีความเป็นมาและประสบการณ์ในการต่อสู้เหนือกว่าคนผู้นี้

 

 

“ไม่ต้องปิดบังหรอก ฉันไม่ได้มากล่าวโทษ จริงสิ เราไม่ควรผลีผลามเข้าไป รบกวนการบำเพ็ญเพียรของเธอ ไม่เกิดผลย้อนกลับใช่ไหม?” คำพูดของท่านผู้เฒ่าทำให้มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่งุนงง แม้แต่อีลั่วเสวี่ยเองก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร

 

 

อีลั่วเสวี่ยแน่ใจว่าเธอคงถูกพบเห็นแล้ว สุดท้ายจึงเผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณที่ท่านผู้อำนวยการเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่รู้ว่าท่านมาเยี่ยมเพราะเรื่องอะไร?”