ราชันเร้นลับ 625 : หนึ่งวันผ่านไป โดย Ink Stone_Fantasy
ฟู่ว…
อมิรุสกับออสเท่นวางแผนอะไรไว้ ถึงได้ถูกตักเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา…
อย่าเอาตัวเข้าไปขวางกระแสแห่งเวลา…
กุญแจสำคัญคือผลกระทบต่อประวัติศาสตร์… องค์กรลับที่แทบไม่เคยปรากฏตัวอย่างพวกมัน เหตุไฉนตัดสินใจเปิดเผยตัวและออกมาเตือนอย่างโจ่งแจ้ง?
ไคลน์กำลังยืนบนยอดปราสาทหลังใหญ่และสง่างามภายในดินแดนความฝัน สายตาจ้องไปยังจุดที่บุคคลลึกลับเพิ่งหายตัวไป
ท่ามกลางชุดความคิดอันเหม่อลอย ชายหนุ่มเริ่มได้สติ ภายในใจฉุกคิดถึงทฤษฎีใหม่ :
บางที นายพลอมิรุสกับน้องชายอาจไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์…
แม้จุดมุ่งหมายหลักของสภานักสิทธิ์สนธยาจะเป็นการแทรกแซงเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติศาสตร์ แต่ในฐานะผู้นำองค์กรลับ ไคลน์ย่อมทราบดีว่า สมาชิกในองค์กรหลายคนต่างก็มีจุดประสงค์ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลัก และในบางครั้ง กลุ่มสมาชิกจะมอบหมายภารกิจระหว่างกันเอง โดยที่องค์กรทำตัวเป็นเพียงพยานรู้เห็น
แม้แต่ในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ก็ยังมีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สมาชิกแต่ละคนของสภานักสิทธิ์สนธยาคือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีเส้นทางและลำดับแตกต่างกันไป หากไม่นับกลุ่มที่เชื่อในพระผู้สร้างต้นกำเนิด และรอคอยให้สนธยาตามคำทำนายมาถึง สมาชิกอื่นเช่นโรซายล์ต่างมีจุดมุ่งหมายส่วนตัว ตราบใดที่องค์กรมิได้ออกกฎห้ามปราม คงเลี่ยงการมอบหมายภารกิจระหว่างสมาชิกกันเองไม่ได้
บางที… แผนการของออสเท่น·รีเวลต์อาจส่งผลกระทบกับหนึ่งในสภานักสิทธิ์สนธยา และอีกฝ่ายสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีการบางอย่าง จึงฝากฝังให้สมาชิกคนอื่นมาเตือนอมิรุสโดยใช้ข้ออ้าง ‘อย่าขัดขวางกระแสแห่งเวลา’ ตามสไตล์ขององค์กร…
ถ้ามองจากมุมนี้ เรื่องราวชักเริ่มน่าสนใจ…
ด้วยศักยภาพของสภานักสิทธิ์สนธยา หากต้องการรับมือลำดับ 4 ‘นักสานกฎหมาย’ การให้เทวทูตออกโรงสักสามสี่ตนคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร นับเป็นขุมกำลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเจ็ดโบสถ์หลักเสียอีก…
แต่ว่า ทำไมถึงไม่จัดการทันที เพียงตักเตือน?
หากเป็นในเบ็คลันด์ยังพอเข้าใจได้ ที่พวกมันจะไม่ส่งเทวทูตลอบสังหารดยุคนีแกนโดยตรง นั่นเพราะเกรงว่าตัวตนระดับเทพธิดารัตติกาลหรือเทพวายุสลาตันจะ ‘ลงมาเยือน’ และไล่ตะเพิดจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก แต่ที่นี่คือเกาะโอลาวีแสนห่างไกล มีครึ่งเทพคอยปกป้องอารักขาแทบจะนับนิ้วได้…
หรือว่า สาเหตุที่ทำเพียงตักเตือน เพราะสภานักสิทธิ์สนธยาไม่ต้องการให้เรื่องแดง? นั่นสินะ ความตายของครึ่งเทพแห่งกองทัพเรือคงทำให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจ…
หืม… พวกมันไม่ต้องการให้เรื่องแดง หรือว่าสมาชิกที่มอบหมายงาน ไม่ต้องการให้อมิรุสตายกันแน่?
เป็นไปได้… ในสายตาของมัน อมิรุสอาจยังเป็น ตัวหมากที่ยังมีใช้งานได้ ถึงแม้จะมีโอกาสเข้ามาขัดขวางแผนการก็ตาม… การปล่อยให้อมิรุสมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเกิดประโยชน์มากกว่าฆ่าทิ้ง?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราสามารถตีกรอบเพื่อระบุตัวตน ‘ผู้จ้างวาน’ ให้แคบลงได้
ถึงจะไคลน์ผุดทฤษฎีใหม่ แต่มันก็ไม่มีข้อมูลสำหรับยืนยัน ทำได้เพียงเก็บประเด็นความสงสัยเอาไว้ในใจ รอโอกาสดึงออกมาใช้งานภายหลัง
คนที่สภานักสิทธิ์สนธยาตักเตือนคือตัวนายพลอมิรุส ไม่ใช่เราสักหน่อย… ขอเพียงเราไม่ทำพลาดในช่วงสองสามวันหลังจากนี้ และเอาตัวรอดได้จนกระทั่งนายพลกลับมา หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง… ไม่เกี่ยวกับเราอีกต่อไป!
หากประเมินจากขุมพลังในปัจจุบันของเรา การจะสืบสวนสภานักสิทธิ์สนธยายังเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่ควรเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น…
ไคลน์เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง พิจารณาว่าความแข็งแกร่งของชุมนุมทาโรต์ยังไม่เพียงพอ
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจก็คือ องค์กรลับอื่นจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายหลักเป็นอันดับแรกเสมอ โดยเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละสมาชิกจะเป็นประเด็นรอง แต่ในทางกลับกัน ชุมนุมทาโรต์ของเรากลับเน้นช่วยสมาชิกกันเองก่อน แทบไม่มีเป้าหมายหลักหรือคติพจน์ให้ยึดเหนี่ยว…
ไม่สิ ในสายตาสมาชิกคนอื่น ชุมนุมทาโรต์อาจมีเป้าหมายสักอย่างสองอย่าง ตามที่แต่ละคนจะจินตนาการกันเอาเอง ยกตัวอย่างเช่น มิสเตอร์มูนเชื่อว่า ชุมนุมทาโรต์มีเพื่อช่วยเหลือทุกคนให้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก…
ไคลน์ เดอะฟูล หัวเราะในลำคอ ส่งตัวเองออกจากดินแดนความฝัน
มันใช้มือปาดดวงตาปลอม ตามด้วยการตวัดดวงตาจริงบนโหนกแก้มกลับตำแหน่งเดิมอย่างชำนาญและลื่นไหล จากนั้นก็ชะงักมือค้างไว้เล็กน้อย โดยภายในใจพลันฉุกคิด :
เดี๋ยวก่อน… เมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันธรรมดา…
หลังจากตระหนักถึงความต่าง ไคลน์ขมวดคิ้ว
แล้วทำไมในตอนแรก อีกฝ่ายถึงพยายามดึงเราเข้าสู่ห้วงความฝัน?
ในเมื่อเรากำลังหลับ แค่บุกรุกเข้ามาก็เพียงพอไม่ใช่หรือ ทำไมต้องพยายามดึงเข้าสู่ความฝันให้วุ่นวาย? หัวหน้าเคยบอกว่า ลำดับ ‘ฝันร้าย’ จะมองเห็นความฝันของทุกคนโดยตรง ไม่มีทางทำพลาดเรื่องพื้นฐานแบบนี้…
ผู้บุกรุกไม่ได้ใช้พลังฝันร้าย เป็นเส้นทางอื่น…
ระบุตำแหน่งของเราจากวิญญาณดารา?
เมื่อทราบตำแหน่งที่แน่ชัด จึงทำการบุกรุก ‘ทะเลห้วงจิตรวม’ ที่มาดามดาลีย์เคยพูดถึง และสื่อสารกับร่างวิญญาณของเราโดยตรง?
อย่างหลังมีความเป็นไปได้สูง เพราะสามารถอธิบายได้ว่า ทั้งที่เราตระหนักถึงร่างกายทุกส่วนบนโลกความจริง แต่กลับมิอาจออกจากฝันของตัวเองได้ โรซายล์มหาราชเคยกล่าวไว้ในไดอารี ขณะเข้าร่วมชุมนุมลับที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา มันรู้สึกคล้ายกับผืนทวีปทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยดินแดนความฝัน เป็นความฝันอย่างแท้จริง…
ไคลน์พยักหน้ารับ ถอนหายใจพลางยิ้ม
นายพลอมิรุสมิได้กำชับเราล่วงหน้าว่าจะมีคำเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา… เขาไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน…
หรือก็คือ หากคนที่ปลอมเป็นอมิรุสไม่ใช่เรา ความจริงก็จะถูกเปิดโปงทันที… หึหึ… ไม่มีใครเหมาะสมกับยันต์กฎหมายที่เก้าเท่าเราอีกแล้ว…
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ ด้านในหอคอย
ณ ห้องทำงานเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด
เดอร์ริค ผู้ถูกเรียกตัวเข้าพบ เริ่มออกอาการประหม่าเมื่อชำเลืองเห็นเส้นผมสีเทาและรอยแผลเป็นลึกบนแก้มอีกฝ่าย
หลังจากเห็นเด็กหนุ่มทำความเคารพเสร็จ โคลินสำรวจหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ตามด้วยกล่าว
“เลื่อนลำดับแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ ปัจจุบันอยู่ลำดับ 7 ข้ารับใช้สุริยัน”
เดอร์ริคลงทะเบียนไปนานแล้ว จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง
ดวงตาสีเทาลุ่มลึกของโคลินเบือนไปทางอื่น ตามด้วยการซักถามหลังจากไตร่ตรอง
“มีสูตรโอสถลำดับถัดไปหรือยัง”
หากเป็นเดอร์ริคคนก่อนคงตอบ ‘ไม่’ โดยปราศจากความลังเล แต่สำหรับปัจจุบัน เด็กหนุ่มหัดครุ่นคิดให้รอบคอบก่อนเปิดปากพูด
หากเราตอบไปว่า ‘ไม่’ แต่ดันเลื่อนลำดับได้ในอนาคตโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่มากพอ นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่… แต่ถ้าตอบว่า ‘ใช่’ ท่านเจ้าเมืองอาจถามถึงสูตร เพื่อจะได้ช่วยเรารวบรวมวัตถุดิบ เพราะเส้นทางสุริยันเป็นที่ต้องการอย่างมากในสภาพแวดล้อมมืดมิด…
ถ้าบอกสูตรไม่ได้ เขาก็จะทราบว่าเราโกหก…
เดอร์ริคคิดหนัก ก่อนจะตอบไปตามจริง
“ไม่ครับ”
เด็กหนุ่มกำลังสั่งสมประสบการณ์ทีละนิด
โคลินพยักหน้า กล่าวโดยไม่เปลี่ยนอารมณ์
“ภายในสองเดือน ผมจะมอบภารกิจสำรวจให้คุณ จงติดตามเพื่อนร่วมทีมเพื่อไปเก็บกวาดเส้นทางหลักให้ปลอดภัย และเข้าสำรวจซากอาคารซึ่งแจ็คช่วยนำทาง ซ้ำเป็นหนที่สอง หวังว่าคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคมอบคำตอบ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มพลันนึกถึงเรื่องที่อาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัว
…
เข้าสู่ช่วงเช้า ไคลน์เปลี่ยนชุดโดยมีซินเธียคอยช่วยเหลือ ได้กินอาหารเช้าคุณภาพสูง จากนั้นก็นั่งรถม้าไปยังฐานทัพเรือโอลาวี โดยมีการอารักขาจากหน่วยทหารองครักษ์
ขณะกำลังรับประทานอาหารเที่ยงในโรงอาหารประจำฐานทัพเรือ ไคลน์เรียกทหารเรือที่มียศพลตรีขึ้นไป ให้เข้ามารายงานความคืบหน้า
ตลอดการรับฟัง มันจะถือสมุดบันทึกสีดำเล่มหนึ่งไว้ในมือเสมอ ภายในนั้นมีข้อมูลคำถามและคำตอบที่นายพลอมิรุสเตรียมไว้ให้
“ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน เนื่องด้วยเบี้ยเลี้ยงทหารที่ต่ำ รวมถึงเหตุการณ์ทรมานและลวนลามพลทหาร ฐานทัพเรือของเราจึงถูกทหารชั้นผู้น้อยก่อกบฏและประท้วงรวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดครั้ง แต่หลังจากกองทัพเรือประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ และเป็นเพราะได้รับคำชี้แนะจากท่านนายพล บรรยากาศของฐานทัพเรือแห่งนี้จึงดีขึ้นมาก ช่วงสามปีที่ผ่านมาจึงปลอดเหตุการณ์ดังกล่าวโดยสมบูรณ์…” พันเอกรายหนึ่งเริ่มชี้แจงสถานการณ์เบื้องต้น
บางครั้งบางคราว มันจะเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองนายพลอมิรุส และพบว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเสมอ มือขยุกขยิกจดบันทึกข้อมูลสำคัญตลอดเวลา บรรยากาศดังกล่าวทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดกล้าหย่อนยาน ต่างรีบก้มหน้าจดตามโดยไม่ปล่อยให้ประเด็นสำคัญตกหล่น
เมื่อเห็นการพยักหน้ารับในเชิงบวก พันเอกเร่งเสียงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
น่าเบื่อชะมัด…
ไคลน์ ผู้กำลังถือปากกาในมือ ก้มหน้าบรรจงวาดภาพเต่าทะเล หมึกกระดอง มังกร และสิ่งมีชีวิตในจินตนาการอีกมาก
เนื่องจากไม่เคยเรียนวาดเขียน ภาพที่ปรากฏออกมาจึงเข้าขั้นหายนะ
ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังขีดเส้นทึบตัดผ่านระหว่างกัน และเริ่มเล่น ‘โกโมกุ’ กับตัวเอง เป็นเกมที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้นมา
แน่นอน ด้วยประสบการณ์ของมืออาชีพด้านการตีเนียน ไคลน์จะเงยหน้ามองผู้รายงานอย่างสม่ำเสมอ คอยพยักหน้าเพื่อให้กำลังใจ
ส่วนเรื่องที่ว่า อีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ชายหนุ่มไม่ใส่ใจจะฟังสักเท่าไร เลือกจับใจความเฉพาะคำสำคัญ
ระหว่างฟังรายงาน ไคลน์จะหันไปส่งสัญญาณให้เลขานุการผมทอง ลัวอาน เดินเข้ามาอธิบายข้อมูลเชิงลึกเป็นระยะ
ทุกสิ่งเป็นไปตามข้อมูลที่ได้อ่านมา
เมื่อทั้งหมดจบลง ไคลน์พลิกหน้าสมุดบันทึกสีดำเล็กน้อย อ่านถ้อยคำที่เลขานุการเขียนเตรียมไว้ล่วงหน้า ด้วยน้ำเสียงอันสง่างามของขุนนางโลเอ็น และสำเนียงเฉพาะตัวของนายพลอมิรุส เช่นการเลือกใช้คำเชื่อมอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง ‘ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น’ หรือ ‘ตรงนี้ผมขอเสริม’
กว่าจะประชุมเสร็จก็ตกเย็นพอดี ไคลน์ ภายใต้การนำทางของลัวอาน ออกจากฐานทัพเรือโอลาวีด้วยรถม้าของกองทัพ ตรงไปร่วมงานเลี้ยงภายในคฤหาสน์ของคู่ค้ากับกองทัพเรือ
ตลอดช่วงค่ำ บทสนทนาส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับความผันผวนของราคาสินค้าท่าเรือ ไคลน์ที่ได้ทราบล่วงหน้าว่า อมิรุสมักชอบเล่นมุกตลกล้าสมัยของชาวเบ็คลันด์ จึงขยันหยอดมุกตามความเหมาะสม ผลลัพธ์ผ่านไปด้วยดี ทุกคนส่งเสียงเฮฮาตอบรับ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นพร้อมกับคำชม
เหตุการณ์ผ่านไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ไคลน์กลับเข้ามานั่งในรถม้าด้วยพลังกายและพลังใจที่ใกล้เหือดแห้ง
ไม่มีอะไรเหนื่อยกว่าการต้องคอยระวังคำพูดและพฤติกรรมทุกนาทีอีกแล้ว หมดแรงยิ่งกว่าการดวลกับพลเรือโจรสลัดเสียอีก…
ไคลน์ถอนหายใจยาว หลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มันทราบดี ส่วนยากที่สุดของวันนี้ยังไม่จบลง
ยังเหลือซินเธียเป็นบอสสุดท้าย!
…
ภายในคฤหาสน์ ซินเธียทราบจากคนรับใช้ว่านายพลอมิรุสกำลังเดินทางกลับ
เธอเดินกลับห้องนอนอย่างเงียบขรึม ถอดเครื่องประดับนอแรดจิ๋ว และใช้แผ่นเหล็กขูดจนเกิดเป็นผงจำนวนหนึ่ง ซินเธียนำผงดังกล่าวไปละลายกับน้ำร้อนภายในถ้วยชาลายคราม
หญิงสาวเอ่ยนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่พฤกษาแห่งแรงกระหายเจ็ดครั้ง ทิ้งไว้สักพัก สีหน้ากำลังเผยให้เห็นถึงความหวังอันเปี่ยมล้น
……………………