บทที่ 630 พิธีศพ

บัลลังก์พญาหงส์

แม้ว่าอี๋เฟยจะตายไปแล้ว และยังถูกฮ่องเต้กักบริเวณ แต่คนใต้บังคับบัญชานั้นกลับไม่กล้าล่าช้า ร่างนั้นถูกจับแต่งกายเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง ใบหน้าประทินโฉมสวยงามเหมาะสม สวมชุดพิธีตอนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเฟย ประณีตและสวยงาม บนศีรษะยังมีมงกุฎอัญมณี ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนมีชีวิต

 

 

ถือว่าอี๋เฟยจากไปอย่างสงบแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปถามนางกำนัลใหญ่ของอี๋เฟย “อี๋เฟยสิ้นตั้งแต่เมื่อไร? เพราะเหตุใด?”

 

 

“บ่าวมั่วเซียงตอบพระชายาองค์รัชทายาท อี๋เฟยเหนียงเหนียงจากไปเช้าวันนี้เพคะ เมื่อคืนเหนียงเหนียงไม่ยอมให้พวกเรารับใช้ วันนี้พวกเราเข้ามาดูก็เป็นเช่นนี้แล้ว แต่ตอนนั้นร่างของอี๋เฟยเหนียงเหนียงยังอุ่นๆ คิดว่าน่าจะจากไปได้ไม่นาน” นางกำนัลอาวุโสคนนั้นพูดอยู่ดีๆ ก็เริ่มตาแดงเรื่อ

 

 

แต่เดิมถาวจวินหลันคิดว่านางกำนัลเป็นคนสวมใส่ชุดให้อี๋เฟย แต่คิดไม่ถึงว่าอี๋เฟยจะจัดการด้วยตนเอง ดูท่าทางอี๋เฟยคงจะกล้าหาญยอมรับความตายด้วยตนเอง ในตอนนั้นใจของนางก็อดรู้สึกแปลกไม่ได้ หรือว่านางจะเข้าใจฮองเฮาผิดอย่างนั้นหรือ?

 

 

“แต่เมื่อคืนนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงให้คนนำของมาให้ อี๋เฟยเหนียงเหนียงและนางกำนัลคนนั้นพูดคุยกันครู่หนึ่ง เหมือนว่ารับของบางอย่างมาจากมือของนางกำนัลคนนั้นด้วยเพคะ” มั่วเซียงร้องไห้ พูดพลางนั่งคุกเข่าลง “เหนียงเหนียงจะต้องตายเพราะฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นแน่เพคะ!”

 

 

มั่วเซียงพูดเสียงดัง จนถาวจวินหลันตกใจ ต้องกวาดตามองรอบข้าง ก่อนพูดตำหนิ “เจ้าพูดเรื่องนี้มั่วๆ ได้อย่างไร?” เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว หากโวยวายจนเกิดเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องเหนือคาดแล้ว

 

 

แต่หลังจากได้ยินคำพูดของมั่วเซียง ถาวจวินหลันก็แปลกใจจนอดคิดไม่ได้ อี๋เฟยเดาไม่ผิด ที่แท้ก็เป็นฮองเฮา

 

 

พอลองคำนวณดู อี๋เฟยคาดการณ์ไว้นานแล้ว มิเช่นนั้นคงจะไม่พร้อมรับความตายอย่างอาจหาญเช่นนี้

 

 

หลังจากอึ้งตะลึงไปครู่ใหญ่ ถาวจวินหลันก็กำชับมั่วเซียง “ต่อไปอย่าไปพูดเรื่องนี้กับใครอีก เข้าใจหรือไม่? อี๋เฟยตายไปเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้พวกเจ้าออกหน้าแทนนาง แต่อยากให้ปกป้องลูกของนาง” หลังจากพูดจบ นางก็หันไปมองท่าทีของมั่วเซียง

 

 

หากมั่วเซียงรู้เรื่องอาอู่ เช่นนั้นย่อมเข้าใจคำพูดของนาง ถ้าไม่รู้ก็อาจจะคิดว่าหมายถึงองค์ชายเก้า

 

 

มั่วเซียงมีท่าตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติตั้งท่าจริงจัง ปาดน้ำตาลวกๆ แม้จะยังสะอึกสะอื้นแต่ก็รับคำ “บ่าวเลอะเลือนไปแล้ว ขอบพระทัยที่ทรงเตือนบ่าวเพคะ”

 

 

“ข้าเป็นคนจัดการพิธีศพของอี๋เฟย เรื่องนี้ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่พวกเจ้า…” ถาวจวินหลันมองมั่วเซียงด้วยแววตาเป็นเชิงขอโทษ

 

 

ตามกฎเกณฑ์แล้ว หากเจ้านายตายไป นางกำนัลและขันทีที่รับใช้ข้างกายก็จะต้องตายเพื่อเฝ้าศพ มั่วเซียงถือเป็นนางกำนัลอาวุโส ยิ่งไม่อาจเกี่ยงงอนได้

 

 

เห็นได้ขัดว่ามั่วเซียงเข้าใจสิ่งที่ถาวจวินหลันพูด จึงแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนทำความเคารพถาวจวินหลัน “บ่าวเตรียมพร้อมมานานแล้ว พองานพิธีศพของอี๋เฟยจบลง บ่าวย่อมต้องตามเหนียงเหนียงไป บ่าวรู้เยอะเกินไปแล้ว ต่อให้ไม่ตามเหนียงเหนียงไป ก็ต้องตายอยู่ดีเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้ก็ดี หรือฮองเฮาก็ดี ย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ ตอนนี้ยังไม่ลงมือ ก็แค่เพียงอยากไว้หน้าเท่านั้นเอง

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็ลอบถอนหายใจเบาๆ นางกำนัลที่ชื่อมั่วเซียงคนนี้รู้ความยิ่งนัก ไม่มีท่าทีหวาดกลัวและลังเลเลยแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าคิดเอาไว้นานแล้ว

 

 

และด้วยเหตุนี้นางกลับยิ่งรู้สึกทำใจไม่ได้

 

 

“ช่างเถิด ข้าขอไปดูองค์ชายเก้าก่อน” ถาวจวินหลันทำใจมองมั่วเซียงไม่ได้อีก จึงพูดออกมาเช่นนี้ ในความจริงแล้วนี่เป็นจุดประสงค์หลักที่นางมาที่นี่

 

 

ตอนกลับไปยังวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันก็พาองค์ชายเก้ากลับมาด้วย เด็กคนนั้นมีดวงตาใสบริสุทธิ์ ไม่อาจปล่อยให้อยู่ที่นั่นได้ตลอด แต่คนอื่น… ถาวจวินหลันคิดว่าจะเอาไปให้ใครก็ไม่วางใจ ดังนั้นจึงทำได้แค่พากลับมาที่วังของตนเองก่อน แล้วส่งคนไปแจ้งข่าวกับฮองเฮาแล้วเช่นเดียวกัน

 

 

หากมอบองค์ชายเก้าให้ฮองเฮา นั่นอาจจะเป็นทางตัน แต่คนอื่นก็ใช่ว่าจะรับได้ อย่างไรก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เห็นองค์ชายเก้าแล้วตะขิดตะขวงใจจริงหรือไม่ อีกทั้งการตัดสินใจมอบให้พระสนมคนอื่นเลี้ยงอย่างฉุกละหุกก็ไม่เหมาะสม

 

 

ยังดีที่วังตวนเปิ่นมีเด็กอยู่บ้างแล้ว อุ้มกลับมาก็ถือว่ามีเพื่อนเล่น องค์ชายเก้าจะได้ไม่ต้องเหงาหงอย นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าอย่างไรองค์ชายเก้าก็คงรู้จักเสียใจ ตอนที่อุ้มเขาออกห่างจากวังอี๋เฟยองค์ชายเก้าก็ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ทั้งยังดิ้นรนแรงมาก หากไม่ใช่เพราะแม่นมของเขายังอยู่ เกรงว่าคงกล่อมให้เงียบไม่ได้

 

 

หงหลัวเห็นแล้วก็อดกล่าวโทษถาวจวินหลันไม่ได้ “พระชายาใจอ่อนเกินไปนะเพคะ ท่านอุ้มองค์ชายเก้ากลับมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าต้องเดือดร้อนมากมายเพียงใดกัน”

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “อย่างไรก็เป็นชีวิต คงไม่อาจมองดูเขารับโทษไปด้วยได้หรอกกระมัง? แต่เดิมเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอยู่แล้ว หากข้าไม่ช่วยเขา แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร” อีกทั้งอี๋เฟยเองก็เคยกำชับขอร้องมาก่อน

 

 

อี๋เฟยจากไปเช่นนี้ ไม่ได้ลากอาอู่เข้ามาเกี่ยว ต่อจากนี้อาอู่ก็จะปลอดภัย เรื่องของนางและองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็ถือว่าจบลงเช่นนี้ ขอแค่คนที่รู้เรื่องไม่พูดขึ้นมาอีก หลังจากนี้ไปก็จะไม่มีคนสงสัยอะไรอีก ดังนั้นสิ่งที่น่าห่วงเพียงอย่างเดียวก็คือองค์ชายเก้า

 

 

หลังจากหลี่เย่รู้ข่าวนี้ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้ม “เจ้าใจดีเกินไป แต่ในเมื่ออุ้มกลับมาแล้ว ก็ดูแลให้ดีเถิด อย่างไรเขาก็ไร้เดียงสา”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ยังคงคิดมากอยู่ดี “ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะจัดการกับองค์ชายเก้าอย่างไร คิดว่าคงไม่ได้เอามาเลี้ยงไว้กับข้ากระมัง?” เอามาเลี้ยงไว้กับนางตลอดก็ไม่ถูกต้องนัก

 

 

“ไม่มีคนรับเรื่องนี้ต่อ แยกวังออกไปลำพังก่อนก็พอแล้ว” หลี่เย่ยิ้มอ่อนโยน ช่วยถาวจวินหลันปลดปิ่นที่มีมากเกินไปออกมาจากผม “ไม่ว่าอย่างไรนางกำนัลที่รับใช้ก็ไม่ได้น้อย จะมีเสด็จแม่ในนามหรือไม่นั้นไม่สำคัญ”

 

 

ภายในวังหลวงไม่ต้องพูดถึงแม่เลี้ยง แม้แต่แม่แท้ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเลี้ยงลูกเองสักเท่าไร ได้พบหน้าลูกสักกี่ครั้งกันเชียว ดังนั้นหลี่เย่คิดว่าองค์ชายเก้าไม่จำเป็นต้องมีแม่เลี้ยงอีกก็ไม่เป็นไร เผลอๆ อาจจะสุขสบายกว่าด้วยซ้ำไป

 

 

“ระยะนี้ราชสำนักไม่ค่อยสงบเท่าไร ข้าเริ่มเป็นห่วงทางด้านอู่อ๋อง ไปนานขนาดนี้ยังไม่ส่งข่าวอะไรกลับมา ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง” หลี่เย่ถอนหายใจ รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้า “เจ้าก็ต้องระวังในวังหลังให้มากขึ้น ข้ากลัวว่าจะมาดูแลทางนี้ไม่ทัน”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ท่านวางใจเถิด ข้าจะดูแลวังตวนเปิ่นให้ดีเพคะ”

 

 

“อย่าให้พิธีศพของอี๋เฟยยิ่งใหญ่เกินไปนัก ทำให้สมหน้าตาก็พอแล้ว ตอนนี้ยังไม่ควรจัดใหญ่โต” หลี่เย่เอาแต่บ่นเรื่องเดิมซ้ำซาก

 

 

ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะออกมา มองหลี่เย่แล้วพูดว่า “ท่านเป็นเช่นนี้ไม่เหมือนองค์ชายรัชทายาทเลยเพคะ แต่เหมือนหญิงชราขี้บ่นต่างหาก ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ไฉนเลยจะไม่เข้าใจเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ลูบจมูกอย่างเขินอาย ปากก็อธิบายว่า “เพียงกำชับเจ้าเท่านั้น”

 

 

จากนั้นก็พาลโกรธเอาดื้อๆ “คนหวังดียังไม่ต้องการ ดูท่าทางข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าให้ดีแล้ว!” พูดพลางจับไหล่ของถาวจวินหลัน ก้มหน้าหอมลงไป

 

 

พอ ‘ลงโทษ’ เสร็จสิ้น ถาวจวินหลันก็หอบหายใจ แก้มทั้งสองข้างแดงมีเลือดฝาด

 

 

เพราะต้องจัดงานให้อี๋เฟย ดังนั้นถาวจวินหลันถึงได้รู้สาเหตุที่อี๋เฟยถูกกักบริเวณ มีคนแจ้งว่าอี๋เฟยวางยาฮ่องเต้ อีกทั้งยังไปมาหาสู่กับทหารองครักษ์เป็นการส่วนตัว

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้เข้าใจว่าทำไมอี๋เฟยถึง ‘ฆ่าตัวตายหนีความผิด’ เพราะการไปมาหาสู่เป็นการส่วนตัวนั้นไม่ได้มีหลักฐาน แต่มีบางครั้งที่อี๋เฟยหลบเลี่ยงคน ออกไปเพียงลำพังอยู่ครู่หนึ่ง หรือว่าพูดคุยกับองครักษ์และ นางกำนัล

 

 

แต่สำหรับเรื่องวางยานั้นถือเป็นเรื่องจริงจัง ได้ยินว่าไปค้นหาหลักฐานเจอ ผงยาที่เหลือเอาไว้ในกาลก่อน หลังจากพิสูจน์พิษแล้ว ผลออกมาว่าเป็นยาพิษที่ทำให้คนตื่นเต้น มีความสุข ที่บอกว่าเป็นยาพิษเพราะหลังจากใช้ยานี้เป็นเวลานาน จะทำให้คนไร้เรี่ยวแรง สติล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกทั้งยังเป็นประเภทไม่ค่อยแสดงอาการ แม้จะบอกว่าไม่รุนแรง แต่ก็มากพอส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ อย่างเช่นอยู่พักในเรือนนี้หรือไม่

 

 

หลังจากฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ แล้วหวนนึกไปถึงตอนที่ตนเองลุ่มหลงอี๋เฟยที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์โดดเด่น ไม่มีจุดพิเศษอะไรที่ต่างจากคนอื่น ฉับพลันก็ให้โกรธกริ้วยิ่ง

 

 

แต่ยังดีที่คิดถึงองค์ชายเก้าถึงไม่ได้ตั้งโทษให้อี๋เฟยทันที แน่นอนว่าเพราะโทษลักลอบมีความสัมพันธ์นั้นไม่มีหลักฐาน การที่ฮ่องเต้โมโหหลังจากอี๋เฟยตายก็เพราะว่ามีนางกำนัลพูดอย่างมั่นใจว่าเคยเห็นอี๋เฟยและองครักษ์คนหนึ่งพูดคุยอย่างสนิทสนม แล้วยังลอบเข้าไปอยู่ในสวนอยู่นานสองนาน

 

 

แต่นั่นก็เป็นเรื่องเก่าแก่นานนมแล้ว ไม่ตรงกับเวลาตอนที่ตั้งครรภ์องค์ชายเก้า

 

 

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็อดสงสัยไม่ได้ อีกทั้งยังพาลโกรธฮองเฮา คิดว่าเป็นเพราะฮองเฮาจัดการไม่เข้มงวดพอ เป็นเจ้านายของวังหลังที่ทำผิดพลาด

 

 

พอดูจากเรื่องนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ มิเช่นนั้นตอนที่สืบจริงๆ จะสืบไปถึงเรื่องที่อี๋เฟยใช้ยากับฮ่องเต้และลอบมีสัมพันธ์กับองครักษ์ได้อย่างไร?

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าต่อให้มีคนเห็นอี๋เฟยใกล้ชิดสนิทสนมกับคนที่แต่งตัวเป็นองครักษ์จริง องครักษ์คนนั้นก็ต้องเป็นองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อที่ปลอมตัวมา พอได้สืบเช่นนี้พูดง่ายๆ ก็มีเพียงอี๋เฟยที่มีความผิด กลับไม่ได้พาลลากไปถึงองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อและอาอู่

 

 

ดังนั้นไม่ใช่ฮองเฮาจะคิดว่าเป็นใคร? ฮองเฮาทำเช่นนี้จุดประสงค์ก็ชัดเจนมากแล้ว ไม่มีอะไรเกินไปกว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

 

 

อี๋เฟยยอมตายอย่างอาจหาญ ก็ใช่ว่าจะไม่คิดปกป้องอาอู่และองค์ชายเก้า มิเช่นนั้นคงไม่มาขอร้องให้นางปกป้ององค์ชายเก้าเอาไว้

 

 

เพราะท่าทีของฮ่องเต้ แม้ว่าอี๋เฟยจะได้ตำแหน่งเป็นเฟย แต่พิธีศพก็ยังดูเรียบง่ายไปเล็กน้อย ยังดีที่ตอนนี้ราชสำนักมีเรื่องมากมาย ท้องพระคลังก็ไม่ได้มีสมบัติเหลืออยู่เยอะ ดังนั้นยังสามารถรอดไปได้ แต่ที่ชวนให้หนาวเหน็บใจก็คืออี๋เฟยจากไปเช่นนี้กลับไม่มีใครมาไว้อาลัย ตราบจนวันที่ส่งอี๋เฟยลงโลง ก็มีเพียงแค่คนฐานะต่ำเช่นอิงผิน และคนอื่นๆ มาร่วมงานเท่านั้น

 

 

คนพวกนี้ก็ยังเป็นอิงผินที่เรียกมาเพราะสงสารองค์ชายเก้า

 

 

เรื่องที่ถาวจวินหลันแปลกใจก็คือกู้ซีก็มาร่วมงานด้วย หยวนฉงหวาก็พาอาอู่มา หยวนฉงหวานั้นเพราะในอดีตเคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน นับว่ายังมีความผูกพันธ์อยู่บ้าง แล้วที่พาอาอู่มานั้นคิดว่าเป็นเพราะอยากให้อาอู่ได้มาส่งแม่ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

กู้ซีก็ไม่ได้ก้าวเข้ามาส่งอี๋เฟยเป็นครั้งสุดท้าย แต่กลับถามถาวจวินหลันเรื่ององค์ชายเก้า “ช่วงนี้องค์ชายเก้าชเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินว่าร้องไห้ไม่หยุดเลยหรือ?”