บทที่ 631 หาเรื่อง

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันอึดอัดใจ แต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ยิ้มและตอบว่า “ร้องไม่หยุดนั่นถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรมารดาของเขาก็เพิ่งจากไป เขาจะเสียใจก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กนั้นลืมง่าย จะวุ่นวายก็เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผ่านไปไม่นานก็จะดีขึ้นเอง”

 

 

“ฮ่องเต้ยังทรงกริ้วอยู่ ทั้งยังตะขิดตะขวงใจกับองค์ชายเก้า ผ่านช่วงนี้ไปก็จะดีขึ้น พอฮ่องเต้คิดถึงองค์ชายเก้าขึ้นมา ย่อมต้องโปรดปรานเอ็นดูเหมือนแต่ก่อนแน่นอน” กู้ซีอมพูดยิ้มๆ แฝงไว้ด้วยคำขอโทษ “ก่อนจะถึงตอนนั้นเกรงว่าต้องลำบากพระชายาแล้ว”

 

 

กู้ซีพูดอย่างเกรงใจ ฟังแล้วก็พิลึกชอบกล แต่ถาวจวินหลันก็เพียงยิ้มตอบ “ก็ไม่ได้ลำบากอะไร อย่างไรวังตวนเปิ่นก็มีเด็กอยู่บ้าง จะเพิ่มอีกสักคนก็เลี้ยงอย่างเดียวกัน อีกอย่างหลักๆ ก็ต้องอาศัยแม่นมกับนางกำนัล ข้าไม่ได้เหนื่อยนักหรอกเพคะ”

 

 

หลังจากส่งอี๋เฟยเสร็จ ระหว่างทางกลับถาวจวินหลันก็บังเอิญร่วมทางไปกับอิงผิน

 

 

ตอนนี้ถาวจวินหลันละอายใจอยู่บ้าง “เรื่องที่รับปากองค์หญิงแปดไว้ก่อนหน้านี้ ข้าต้องเสียคำพูดแล้ว”

 

 

อิงผินยิ้มบางๆ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้รีบ อีกอย่างเป็นแค่ชื่อในนามเท่านั้น ต้องเอามาคิดจริงจังเช่นนี้เสียที่ไหน? นางก็เพียงกลัวเท่านั้น ถ้าจะให้ข้าพูด มีอะไรน่ากลัวกัน?”

 

 

ไม่รู้ว่อิงผินต้องการสื่อว่านางไม่กลัวตายหรือจะบอกว่านางไม่กังวลที่ต้องถูกฝังร่วม ถาวจวินหลันย่อมไม่คาดเดาไปมาก เพียงแค่พูดว่า “แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของไทเฮาและฮ่องเต้น่าเป็นกังวลยิ่งนัก เกรงว่าคงไม่ง่าย”

 

 

พูดถึงไทเฮาอิงผินก็ถามอย่างเป็นห่วง รอจนรู้ว่าไม่ได้มีอะไรน่าห่วง ก็คลายกังวลลงเล็กน้อย “ไทเฮานั้นเป็นผู้มีคุณธรรมได้ยาก นิสัยก็อ่อนโยน มีเมตตาต่อทุกคน หวังว่าไทเฮาจะมีพระชนมายุยืนยาว”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”

 

 

“ท่านคิดจะเลี้ยงองค์ชายเก้าเอาไว้ตลอดอย่างนั้นหรือ?” อิงผินถามอีกครั้ง

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่น “มิเช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า? เผือกร้อนเช่นนี้ย่อมไม่มีใครอยากได้ พูดไปชีวิตองค์ชายเก้าช่างน่ารันทดนัก”

 

 

อิงผินเม้มปาก “ข้าว่าไม่ใช่เช่นนั้นไปเสียหมด เพียงแค่ตอนนี้ไม่มีคนต้องการเท่านั้นเอง วันข้างหน้าก็ยังไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ต้องการ ท่านรอดูเองเถิด แต่ในเมื่อเลี้ยงแล้วท่านก็ห้ามชะล่าใจไปโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเพียงเล็กน้อย ท่านคงลำบากใจจะพูดไม่ออก”

 

 

พอได้ยินอิงผินเอ่ยเตือน ถาวจวินหลันก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “ขอบคุณอิงผินที่เตือนข้า”

 

 

เวลาเดินมาถึงเดือนหก ตอนนี้ท้ององค์หญิงเก้าใหญ่มากแล้ว เพราะงานวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา องค์หญิงเก้าจึงเข้าวังหลวงมาเพื่อแสดงความยินดีกับไทเฮา แม้นไทเฮาได้แสดงท่าทีไม่ให้จัดงานสมโภชอย่างชัดเจน ทั้งยังไม่รับการแสดงความยินดีจากทุกคน แต่ด้วยเป็นลูกหลาน ทุกคนย่อมต้องมาทำความเคารพไม่ขาดสาย ต่อให้ไม่ได้พบหน้าไทเฮา ก็พากันก้มลงทำความเคารพอยู่ด้านนอกประตูวัง

 

 

แทบจะไปกันครบทุกคน แม้แต่หวังฮูหยินเองก็พาคนในวังของนางมาร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน

 

 

ถาวจวินหลันย่อมต้องไป แต่รอองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าไปพร้อมกัน พูดตามจริงแล้ว องค์หญิงเก้าต้องแบกท้องใหญ่เช่นนี้ไปด้วย นางไม่วางใจจริงๆ ดังนั้นจึงต้องดูแลองค์หญิงเก้าให้อยู่ในสายตาตลอด

 

 

แม้จะเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ตอนที่นางมององค์หญิงเก้ายังอดตกใจไม่ได้ “ท้องใหญ่เพียงนี้เชียวหรือ?”

 

 

ด้วยเพราะใกล้เป็นแม่เต็มทีแล้ว องค์หญิงเก้าจึงดูอ่อนโยนมากกว่าเดิม แฝงไว้ด้วยความรักความเอ็นดู ลูบท้องตนเองเบาๆ พูดยิ้มๆ ว่า “หมอตำแยบอกว่าอย่างมากก็ยี่สิบวันถึงจะคลอด อย่างน้อยก็สิบวันเพคะ”

 

 

“เจ้าไม่ควรเข้าวังหลวงมาเลย” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วพูดขึ้น “แม้จะบอกว่านั่งเกี้ยวมาทั้งทาง แต่เจ้าก็ยังต้องขึ้นๆ ลงๆ จะทนความทรมานเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

 

 

องค์หญิงเก้ายิ้มบางๆ “พระชายาอย่ากังวลไปเลยเพคะ หมอตำแยบอกว่าไม่เป็นอะไร ยังให้ข้าเดินไปไหนมาไหนบ่อยๆ เวลาคลอดเด็กจะได้ง่ายด้วยเพคะ”

 

 

ได้ยินองค์หญิงเก้าพูดเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคนตั้งครรภ์มาก่อน แม้ว่าถาวจวินหลันคิดว่าน่ากลัว แต่สุดท้ายก็ยังข่มความหวั่นใจไว้ได้

 

 

“แต่เจ้าก็ต้องระวังไว้ด้วย จะทำอะไรก็ต้องช้าๆ อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเด็ดขาด” ถาวจวินหลันประคององค์หญิงเก้า พร้อมกำชับเสียงเบา “ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่ออกมา เพียงทำเป็นพิธีเท่านั้น เจ้าก็อย่างฝืนมากเกินไป ถ้ามีอะไรจะต้องบอกข้าทันที”

 

 

องค์หญิงเก้าเห็นถาวจวินหลันห่วงนางเช่นนี้ก็ทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เลินเล่อเป็นแน่” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดขอบคุณอย่างกระดากอาย “ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยเย้าหยอก “ไม่เป็นห่วงเจ้าแล้วจะไปห่วงใคร? ในท้องของเจ้ามีสายเลือดของตระกูลถาวเชียวนะ”

 

 

องค์หญิงเก้าหัวเราะ ไม่รู้ว่าอายหรือเพราะอะไร แต่ไม่ได้มีท่าทางอย่างอื่นอีก

 

 

ถาวจวินหลันหันไปสั่งให้คนเตรียมแบกเกี้ยวเอาไว้

 

 

เมื่อมาถึงด้านนอกวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นหมู่ผู้คนที่แน่นขนัดเฝ้าอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ไกล เจ้านายอาจจะไม่เยอะ แต่เจ้านายหนึ่งคนพานางกำนัลมาด้วยสองสามคน พอรวมเข้าด้วยกันจึงเยอะมาก

 

 

คนเยอะก็เลี่ยงเสียงดังวุ่นวายไม่ได้ แม้ว่าต่างคนต่างกระซิบกระซาบ แต่ก็ยังไม่อาจเลี่ยงความวุ่นวายได้อยู่ดี

 

 

ถาวจวินหลันเดินเข้าไปเห็นว่าพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องพูดคุยกันออกรสออกชาติมากที่สุด และใบหน้ามีความไม่พอใจไม่ยินยอมมากที่สุด จึงได้เอ่ยปากถามว่า “เป็นอะไรกันหรือ? ในเมื่อมาแล้วก็ควรจะทำตัวมีความสุขมิใช่หรือ ทำไมถึงได้ทำท่าทีเช่นนี้? ไทเฮาทำอะไรให้พวกเจ้าลำบากใจอย่างนั้นหรือ?”

 

 

พระชายาจวงอ๋องอับอายเล็กน้อย แต่พระชายาอู่อ๋องกลับไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “พระชายามาช้านะเพคะ ดูท่าทางคงเพราะฐานะสูงส่ง วางท่ามากเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่เป็นชายารอง กลับไม่เห็นมีท่าทีเช่นนี้?”

 

 

พระชายาอู่อ๋องกล้ามากเช่นนี้ ทำให้ถาวจวินหลันอดชายตามองไม่ได้ พระชายาจวงอ๋องก็เช่นเดียวกัน แต่พระชายาอู่อ๋องกลับมีสีหน้าเงียบสงบเป็นปกติ แล้วยังเชิดหน้าเชิดตา “ทำไมหรือ ข้าพูดไม่ถูกหรืออย่างไร?”

 

 

“คนอยู่ที่ตำแหน่งไหน ก็ต้องทำงานตำแหน่งนั้น ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้ามีฐานะไม่สู.นัก แต่นั่นก็หมายความว่าข้าทำสมหน้าที่ วันนี้ในเมื่อข้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ย่อมไม่อาจมีท่าทีเช่นนั้นได้อีก แต่พระชายาอู่อ๋อง เจ้าเกิดในตระกูลสูงส่ง ทำไมแม้แต่กฎเกณฑ์มารยาทก็ยังไม่เข้าใจ?” รู้ดีว่าพระชายาอู่อ๋องกำลังเย้ยหยันนาง ถาวจวินหลันกลับไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองออกมา เพียงแค่ตอบกลับไปเช่นนี้ มีดวงตาหลายคู่คอยจับจ้อง หากนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ดูใจไม้ไส้ระกำไปเสียหน่อย

 

 

อีกทั้งเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วนางไม่จำเป็นต้องปฏิเสธมิใช่หรือ? เคยเป็นชายารองแล้วอย่างไร? วันนี้ตอนนี้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เป็นภรรยาที่ถูกต้องของหลี่เย่ เท่านี้ก็พอแล้ว

 

 

“ต่อให้เจ้าไม่นับถือข้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็ควรต้องเคารพที่ข้าเป็นพี่สะใภ้เจ้า มีใครพูดเช่นนี้กับพี่สะใภ้กัน? หรือจะบอกว่าเพราะก่อนหน้านี้ข้าฐานะต่ำกว่า ดังนั้นเจ้าถึงไม่เคารพข้าอย่างนั้นหรือ ดูหมิ่นกฎเกณฑ์อย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันเห็นพระชายาอู่อ๋องพูดไม่ออก จึงพูดสั่งสอน น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา ทำให้พระชายาอู่อ๋องรู้สึกเสียหน้า

 

 

“ท่านอ๋องของพวกข้าเสี่ยงอันตรายพาทหารออกไปทำศึก ข้าอยู่ในเมืองหลวงกลับถูกคนรังแก” พระชายาอู่อ๋องพูดสะอึกสะอื้น แล้วยังเอ่ยขอโทษถาวจวินหลันอย่างประชดประชัน “พระชายาองค์รัชทายาทพูดถูก หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันหรี่ตาลง พระชายาอู่อ๋องคิดจะปัดแข้งปัดขานางอย่างนั้นหรือ? คำพูดนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่านางใช้ฐานะมาข่มคนอื่น อีกทั้งยังยกอู่อ๋องมาพูดถึง ยิ่งทำให้นางดูไม่เคารพแม้แต่คุณประโยชน์นี้ของอู่อ๋อง ก็เป็นการดูถูกคนอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เอาเข้าจริง พระชายาอู่อ๋องพูดเช่นนี้ไม่เพียงกระทบถึงนาง แม้แต่หลี่เย่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ถาวจวินหลันหน้าดำคล้ำทันที ก่อนเอ่ยปากต่อว่าอย่างหนัก “พอได้แล้ว! พระชายาอู่อ๋อง หากเจ้ายังเอาแต่ดื้อไม่มีเหตุผลเช่นนี้ก็กลับไปสงบสติอารมณ์เสีย! อู่อ๋องออกทัพก็เพื่อแผ่นดิน เพื่อราษฎร! ไม่ใช่เพราะว่าถือหางเจ้า! อู่อ๋องได้รับชัยกลับมา ราชสำนักย่อมต้องตกรางวัลตามผลงาน แต่นั่นก็เป็นผลงานของอู่อ๋อง! แล้วเจ้าเคยทำอะไร! อีกอย่างข้าอยากจะรู้นัก แท้จริงแล้วใครทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ?”

 

 

วันนี้พระชายาอู่อ๋องหาเรื่องเช่นนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ออกจะเหนือความคาดหมายของถาวจวินหลันอยู่เล็กน้อย แต่นางกลัวการหาเรื่องเพียงเท่านี้หรืออย่างไร? ไม่ว่าพระชายาอู่อ๋องจะมีจุดประสงค์อะไร อย่างไรก็แค่คำพูดเดียว ตีแสกหน้ากลับไปก็พอแล้ว!

 

 

พระชายาอู่อ๋องย่อมพูดไม่ออก คำพูดเหล่านี้พูดอย่างลับๆ ยังพอว่า แต่หากตัวพูดชื่อนั้นไม่อาจทำได้ อย่างไรถาวจวินหลันก็ยังไม่ได้ทำอะไร ต่อให้ตอนที่พูดออกจะเกินเหตุไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่

 

 

ในเมื่อเป็นพระชายาองค์รัชทายาท อีกทั้งยังเป็นพี่สะใภ้ ถาวจวินหลันเอ่ยสั่งสอน พระชายาอู่อ๋องย่อมทำได้แค่ก้มหน้ารับ

 

 

แต่ถาวจวินหลันไม่ได้คิดแค่เพียงตำหนิพระชายาอู่อ๋องไม่กี่คำเท่านั้น พระชายาอู่อ๋องกล้าหาเรื่อง ทำนางเสียหน้าเช่นนี้ นางย่อมต้องเรียกศักดิ์ศรีของตนเองกลับคืนมาบ้าง ตำหนิเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู นางจึงตำหนิเสียงเย็น “พระชายาอู่อ๋องเจ้าไปนั่งคุกเข่าครึ่งชั่วยาม คิดดูให้ดีว่าอะไรเรียกว่ากฎเกณฑ์ เรื่องไหนที่เจ้าควรพูด เรื่องไหนที่เจ้าไม่ควรพูด! แล้วคิดดูให้ดี อู่อ๋องนำทหารออกรบรักษาแผ่นดินเอาไว้เพื่ออะไรกันแน่! แล้วนั่นสมควรเป็นข้ออ้างที่เจ้าใช้มาโอหังอวดดีเช่นนี้หรือ!”

 

 

พอคำพูดนี้ดังออกจากปากไป คนจำนวนไม่น้อยก็พากันนิ่งอึ้งไป นี่ออกจะเข้มงวดไปหน่อยกระมัง? คุกเข่าสำนึกครึ่งชั่วยามอย่างนั้นหรือ? ตรงนี้หรือ? เช่นนั้นหน้าของพระชายาอู่อ๋องยังต้องเอาไว้อยู่หรือไม่? เกรงว่าไม่ทันจะครึ่งชั่วยาม เรื่องนี้คงต้องกระจายไปทั่ววังหลวง กลายเป็นเรื่องตลกเป็นแน่!

 

 

พระชายาอู่อ๋องที่หาเรื่องก่อนนั้นกลับโกรธจนใบหน้าซีดเผือด

 

 

เพียงไม่นาน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยออกมาพูดขอร้องแทนพระชายาอู่อ๋อง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมพระชายาองค์รัชทายาทจะต้องโมโหด้วยเล่า? วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา จะต้องทำให้บาดหมางเช่นนี้ด้วยหรือ? ปล่อยเรื่องนี้ไปเถิดเพคะ พระชายาอู่อ๋องก็ไม่ได้ตั้งใจ แค่เพียงล้อเล่นเท่านั้นมิใช่หรือ?”

 

 

เมื่อได้ยินคนพูดกล่อมเช่นนี้ หากถาวจวินหลันตามน้ำเสียหน่อย ก็ควรจะต้องคล้อยตามไป ปล่อยให้เรื่องนี้จบ อย่างไรนางก็แสดงอำนาจแล้ว เอาเรื่องนี้มาสร้างศัตรูให้ตนเองก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับกระตุกริมฝีปากเบาๆ ปรากฏเป็นท่าทีคล้ายยิ้ม “ล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?”