บทที่ 2254+2255

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2254 ท่านผู้สูงศักดิ์ต้องการอะไร?

นางไม่ได้สูงขนาดนี้ รูปร่างก็ไม่ได้คล้ายคลึงกันไปเสียทั้งหมด เส้นผมก็มิใช่สีขาวพิสุทธิ์เช่นนี้ ยิ่งไม่ได้ผมยาวขนาดนี้ด้วย…

ประสาทสัมผัสกู้ซีจิ่วยังคงเฉียบไวอยู่

“เจ้ารู้จักสตรีนางนี้หรือ?”

“ไม่รู้จัก”

อวิ๋นเยียนหลีปฏิเสธทันที

ยามนี้กุญแจหยกอายุยืนแขวนอยู่บนลำคอของเด็กชายแล้ว กุญแจหยกเดิมทีก็วาววามอยู่แล้ว หลังจากแขวนอยู่บนร่างของเด็กชายก็ยิ่งวาววามขึ้นไปอีก ราวกับเช็ดฝ้าที่เกาะออกไปแล้ว ทอประกายแสงห้าสีสลัวๆ อยู่ภายใต้แสงมุกราตรี

“กุญแจดอกนี้มีวาสนากับบุตรชายท่าน”

สตรีนางนั้นถอยหลังไป หันหลังหมายจะจากไป

“ช้าก่อน!”

จู่ๆ เจ้าบ้านชายผู้นั้นก็ก้าวเข้ามา ฉวยมือของสตรีนางนั้นไว้

“แม่นางมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เช่นนี้ ดื่มสุราสักจอกแล้วค่อยไปดีกว่าไหม?”

สตรีนางนั้นมุ่นคิ้วนิดๆ ยังไม่ทันได้ทำอะไร พลันได้ยินเสียงดังฟุ่บเบาๆ แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งลงมาจากชั้นสอง

เจ้าบ้านชายผู้นั้นร้องโหยหวน ทรุดฮวบลงบนพื้น เหงื่อเม็ดโตบนศีรษะไหลลงมา

กระดูกข้อมือเขาหักแล้ว!

ถูกลำแสงสีขาวสายนั้นซัดหักแล้ว!

ฝ่ามือห้อยลงเป็นมุมฉาก ดูแปลกประหลาดยิ่ง

ฝูงชนตกตะลึง พากันร้องตะโกน

“ผู้ใด?”

“ผู้ใดทำร้ายคนเช่นนี้? ถ้ามีฝีมือก็ไสหัวลงมา!”

ท่ามกลางแขกเหรื่อที่อยู่ด้านล่างมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยเลย มีสองสามคนที่ทะยานกายขึ้นมา พุ่งไปยังประตูห้องรับรองชั้นสองที่มีแสงสีขาวลอยออกมา!

‘ฟุ่บ!’

‘ฟุ่บ!’

‘ฟุ่บ!’

ลำแสงสีขาวนับไม่ถ้วนมุดออกมาจากด้านในห้องรับรองนั้น โจมตีเข้าที่ข้อพับของคนเหล่านั้นอย่างแม่นยำ ทำให้คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้เข้าไปในห้อง ก็ร่วงลงพื้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนผู้หนึ่งตั้งตัวไม่ได้ชั่วขณะ พลัดตกลงมาจากราวกั้นบนชั้นสอง กระแทกลงบนโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่ง

เกิดเสียงแตกหักโครมคราม โต๊ะอาหารพลิกคว่ำแขกเหรื่อหวีดร้อง โกลาหลอย่างยิ่ง

สายตากู้ซีจิ่วเฉียบไว มองแวบหนึ่งก็ทราบแล้วว่าลำแสงสีขาวเหล่านั้นมิใช่แสงอาคม แต่เป็นเส้นไหม! เส้นไหมนับไม่ถ้วนเหินร่อนร่ายรำ เจาะลงบนจุดตรงข้อพับของคนที่พุ่งขึ้นมา ทำลายขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายไปเลย…

ภายในห้องรับรองนั้นมียอดฝีมือผู้เลิศล้ำอยู่!

และเห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือผู้เลิศล้ำคนนี้เป็นพวกเดียวกับสตรีชุดขาวนางนั้น เนื่องจากสตรีชุดขาวก็เพิ่งจะเหินร่อนลงมาจากห้องรับรองนั้นเช่นกัน

สตรีชุดขาวถูกแทะโลม ยอดฝีมือผู้เลิศล้ำคนนั้นจึงระบายแค้นให้นาง…

คู่ควรจะเรียกขานว่าผู้พิทักษ์บุปผายิ่งนัก เพียงแต่อาจจะลงมือโหดเหี้ยมไปหน่อย…

ถึงอย่างไรเจ้าบ้านชายผู้นั้นก็แค่คิดจะแต๊ะอั๋งเล็กน้อย จับมือของโฉมงาม ผลคือถูกเล่นงานจนเป็นเช่นนี้…

คนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นกลับเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ดี ทราบว่าพบพานกับยอดฝีมือผู้เลิศล้ำเสียแล้ว จึงไม่กล้าอาละวาดอีก มองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็ร้องตะโกน แล้วพุ่งออกไปด้านนอกอย่างพร้อมเพรียง

‘ปัง!’

จู่ๆ ประตูร้านอาหารก็ปิดลงโดยไร้แรงลม คนที่วิ่งอยู่ด้านหน้าสุดนั้น เกือบจะถูกบานประตูที่ปิดอย่างกะทันหันซัดเข้าที่จมูกเสียแล้ว!

ทุกคนโง่งมไปครู่หนึ่ง มองไปที่ห้องรับรองห้องนั้นอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง

ห้องรับรองนั้นมีผ้าม่านห้อยลู่ลงมา บดบังด้านในไว้ ฝูงชนมองเห็นเพียงเงาเลือนรางร่างหนึ่ง

คนผู้นั้นยืนพิงหน้าต่างอยู่

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น กลับทำให้เหล่าคนที่อยู่ด้านล่างกลับสัมผัสถึงความเหน็บหนาวที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูกได้

เจ้าบ้านชายของตระกูลนั้นทราบว่าเจอตอเข้าแล้ว ไม่สนใจข้อมือที่เจ็บปวดอีก พยายามมองไปที่ภรรยาของตนอย่างสุดชีวิต เม้มริมฝีปาก ทำใจกล้าเอ่ยถามไปประโยคหนึ่ง

“ท่าน…ท่านผู้สูงศักดิ์ต้องการอะไร?”

“คำขอโทษ!”

น้ำเสียงยะเยือกสามคำแว่วมาจากชั้นบน น้ำเสียงนั้นกังวานอยู่ในอากาศปานหยกเหมันต์

“ขออภัย! ขอภัยด้วย!”

เจ้าบ้านชายผู้นั้นกล่าวขอโทษติดๆ กัน

“คุกเข่า!”

มีเสียงแว่วมาจากชั้นบนอีกสองคำ

เจ้าบ้านชายผู้นั้นทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าอาละวาด ทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้แล้วคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยสตรีนางนั้น

————————————————————————————-

บทที่ 2255 จะใช่เขาไหม?

เจ้าบ้านชายผู้นั้นทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าอาละวาด ทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้แล้วคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยสตรีนางนั้น

ดวงตาของสตรีนางนั้นหยีโค้งนิดๆ คล้ายจะค่อนข้างดีใจยิ่งนัก เหินขึ้นสู่ชั้นบน

มีเสียงสนทนาแว่วแผ่วๆ มาจากชั้นบน

“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความกับคนถ่อยพวกนี้หรอก พวกเราไปกันเถอะ”

“เป็นเด็กสาวต้องถือตัวไว้เกียรติ ไม่อาจถูกผู้อื่นแทะโลมส่งเดชได้”

“อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว”

“ไปเถอะ”

….

เสียงสนทนานั้นไม่ดัง เป็นเพียงการพูดคุยธรรมดาของคนในห้องเท่านั้น

หากว่าเป็นเช่นก่อนหน้านี้ ภายในร้านอาหารมีเสียงคนจอแจ ย่อมไม่มีผู้ใดได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

แต่เหตุการณ์เมื่อครู่น่าตระหนกเกินไป ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงในชั้นหนึ่งหรือว่าในห้องรับรองบนชั้นสองล้วนเงียบกริบกันหมด บทสนทนาของพวกเขาจึงค่อนข้างสะดุดหูขึ้นมา

คนที่อยู่ด้านล่างพวกนั้นทั้งขุ่นเคืองทั้งค่อนข้างอับอาย

โดยเฉพาะเจ้าบ้านชายที่แทะโลมผู้อื่นไม่สำเร็จซ้ำยังถูกหักข้อมืออีกคนนั้น สีหน้าแดงคล้ำเสมือนเลือดหมูแล้ว

แน่นอน คนเหล่านี้ก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน สรุปแล้วคนที่เรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่? ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวรยุทธ์ที่วิปริตพิสดารเช่นนี้ ซ้ำยังพูดจากับโฉมงามชุดขาวที่สง่างามแผ่ไอเซียนเช่นนี้อีก

ในเมื่อสองคนนั้นจะจากไป ย่อมต้องลงมาจากชั้นสอง ผ่านห้องโถงใหญ่

ดังนั้นทุกคนจึงตั้งตารอชมโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันโดยมิได้เจตนา…

ในห้องรับรองบนชั้นสอง กู้ซีจิ่วก็คอยอยู่เช่นกัน…

ปลายนิ้วเธอเย็นเฉียบเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่ารัวกลอง!

เสียงนั้น…

ถึงแม้เสียงนั้นจะไม่ได้คล้ายคลึงกับเสียงของตี้ฝูอีไปเสียหมด ทว่าทำให้หัวใจเธอสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

จะใช่เขาไหม?

มือเธอจับราวกั้นแน่น จับแน่นจนปลายนิ้วขาวซีดแล้ว!

สายตาของอวิ๋นเยียนหลีก็ร่อนลงด้านล่างเช่นกัน ดวงตาฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง เส้นไหมที่ดูคล้ายลำแสงสีขาวเมื่อครู่นั้น คล้ายกับไหมเชิดหุ่นชั้นเลิศ

เท่าที่เขารู้ บนโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่เก่งกาจด้านศาสตร์การเชิดหุ่น นั่นก็คืออวิ๋นชิงหลัว…

แต่ว่าต่อให้เป็นอวิ๋นชิงหลัวก็ไม่สามารถใช้วิชาเชิดหุ่นอย่างเลิศล้ำเช่นนี้ได้!

หรือว่าบุรุษที่อยู่ในห้องรับรองจะเป็นอาจารย์ของอวิ๋นชิงหลัว? หรือไม่ก็ผู้สืบทอดของนาง?

แววตาเขามืดมิด พิงราวกั้นรอชมอย่างเฉื่อยชาเช่นกัน

ผู้คนมากมายต่างเฝ้ารอคอย รอให้สองคนนั้นก้าวออกมาจากห้องรับรอง

ผลคือ สายตานับไม่ถ้วนรออยู่พักใหญ่ สองคนนั้นก็ไม่ออกมา

คนที่อยู่ด้านล่างมองหน้ากันเหลอหลา หรือว่าสองคนนั้นจะไม่ไปแล้ว?

ทว่ากู้ซีจิ่วกลับฉุกใจขึ้นมาในทันใด พลันตัดสินใจ เคลื่อนย้ายเข้าไปโดยตรง!

อันที่จริงเธอก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะใช่ตี้ฝูอีไหม การเข้าไปครั้งนี้จึงสุ่มเสี่ยงยิ่งนัก

บุรุษที่อยู่ในห้องยากจะตอแยยิ่งนัก เธอเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวอาจเป็นการยั่วโมโหเขา ไม่แน่ว่าอาจจะใช้วิชาเชิดหุ่นมาโจมตีเธอก็ได้…

แต่กู้ซีจิ่วไม่แยแสไปชั่วขณะ!

ลำบากลำบนตามหามากว่าหนึ่งปี ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีความหวังเล็กน้อย แล้วเธอจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร?

เธอเตรียมพร้อมที่จะรับมืออีกฝ่ายแล้ว

ผลคือ เมื่อไปถึงที่นั่นก็ว่างเปล่า สองคนนั้นไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงซากอาหารโต๊ะหนึ่ง

คนอยู่เต็มร้านอาหารทว่าไม่มีใครเห็นเลยว่าสองคนนี้จากไปได้อย่างไร…

กู้ซีจิ่วรีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่างฝั่งที่ติดกับถนน หน้าต่างบานนั้นเปิดอ้ากึ่งหนึ่ง สองคนนั้นกระโดดออกหน้าต่างไปแล้วหรือ?

เธอสูดหายใจนิดๆ ระงับจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว วนสำรวจรอบห้องรับรองคราหนึ่ง

ภายในห้องนี้นอกจากกลิ่นหอมของอาหารแล้ว ยังมีกลิ่นหอมประหลาดอย่างหนึ่งอยู่จางๆ กลิ่นหอมนั้นอ่อนจางยิ่งนัก ทำให้คนแทบไม่ได้กลิ่น แต่กลับสะกดข่มกลิ่นหอมอื่นๆ ภายในห้องรับรองนี้ได้ กลิ่นนี้คล้ายกล้วยไม้คล้ายชะมด เหมือนกลิ่นกายสตรี

ไม่มีกลิ่นอย่างอื่นแล้ว

กู้ซีจิ่วไม่ได้กลิ่นอายที่คุ้นเคยภายในห้องนี้เลย