เรื่องแปลกๆ

ห้าวันต่อมา แผนการที่จะทวงคืนภาพเขียนเทพธิดาไม่เป็นไปอย่างที่คิด ลุงหลี่และลุงหวังพยายามใช้วิธีทางการฑูตกับญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ฝั่งญี่ปุ่นเองนั้นยึดถือแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ถึงจะมีการเสนอข้อเสนอเงื่อนไขในการส่งมอบคืนก็ตาม แต่ก็เป็นเงื่อนไขที่ญี่ปุ่นได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว แน่นอนว่าประเทศจีนไม่มีทางยอมรับข้อเสนอแน่นอน

ซูจิ้งเองก็ยังคงรอคอยต่อไป

 

ในวันที่ห้านั้นเขาได้จัดการขยะจากห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน(โซเฉินจิ) ปะการังแดงจำนวนมากถูกคัดแยกออกมา บางต้นก็ใหญ่จนทำให้โลกตะลึงได้เลย บางต้นก็เล็ก บ้างก็แตกหัก แน่นอนว่าซูจิ้งได้เก็บรวมรวบเอาไว้เพื่อเอาไว้ขาย ไม่ว่าชิ้นจะเล็กแค่ไหน สภาพยังไงแต่ก็ยังขายได้ราคาดีอยู่ดี นอกจากนั้นเขายังเจอม้วนตำราเวทมนต์ดีๆ อยู่บ้าง มันเป็นชุดม้วนตำราที่ชื่อว่า “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” ซึ่งเป็นชุดเวทมนต์ที่ใช้ในการรักษาของเผ่าไม้ ตอนที่เขาพบเขาแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะว่าชุดเวทมนต์นี้มีผลให้เกิดการรักษาทันทีที่ใช้ ถึงแม้ว่าระดับของชุดเวทมนต์นี้จะต่ำไปหน่อยแต่ความสามารถของมันก็ยังดีเทียบเท่ากับการรักษาของราชันย์พรงไพรแห่งอาณาจักรมู่อยู่ดี ตราบใดที่ไม่ได้บาดเจ็บหนักก็ยังถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก

เนื้อสัตว์วิเศษ ปลาเขี้ยวหยก พลังวิญญาณ​ ไอเทม น้ำยา หรือแม้แต่ สสารต่างๆ ที่มีผลต่อการรักษานั้นพวกมันยังมีข้อจำกัดในการรักษาอยู่บ้าง สิ่งที่กล่าวมานี้แค่ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นมากกว่า ต่อให้รักษาได้ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา การใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อหวังในการรักษาถือได้ว่ายังไม่ใช่การรักษาที่แท้จริง แต่เมื่อเทียบกับเวทรักษาแล้วผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ถือว่าดีกว่ามาก

อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนของเผ่าไม้ที่มีวิญญาณแห่งป่าสถิตอยู่ในร่าง

 

หลังจากที่ฝึกใช้อยู่สองวันเขาก็ยังไม่สามารถใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ เขาฝึกฝนจนทำได้แค่ใช้เวทรักษาได้แค่ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าถ้าเขาอยากจะฝึกให้สำเร็จทั้งหมดจริงๆ จำเป็นจะต้องทำอะไรเพิ่มซะก่อน

หลังจากนั้นเขาก็พักการฝึกโดยการไปจัดการขยะต่อ เขาไม่พบอะไรที่มีค่ามากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพบอำพันมังกร(T-Tไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงดีคิดว่าน่าจะคล้ายกับอำพันทะเล(อ้วกปลาวาฬ)นะ) หนังฉลาม แมลงไวน์ อำพันทะเลมรกต ปะการังแดง บทกลอนใบไม้ผลิ ฯลฯ นี่คือรายการของทั้งหมดที่เขาพบเจอจากห้วงเวลาและอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน เขาคิดอยู่ว่าจะเอาของพวกนี้ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง

เขาเคยทดลองใช้อำพันมังกร(Longgu)ดูแล้วทำให้พอจะเข้าใจผลลัพท์ของมันอยู่บ้าง เขาลองใช้มันกับม้าผอมๆ ที่ให้ฉินซู่หลานไปซึ่งมีผลทำให้ม้าตัวนั้นเพิ่มสมรรถนะร่างกายด้านความแข็งแรงของร่างกายและความเร็ว ถึงแม้ว่าสมรรถนะที่เพิ่มนั้นจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเพราะว่าซูจิ้งไม่ได้เป็นคนขี่ม้าตัวนั้นแต่นั่นก็ยังทำให้ฉินซูหลานทำลายสถิติได้อยู่ดี ซึ่งในตอนนั้นฉินซูหลานพอใจเป็นอย่างมาก

 

ม้าสีขาวตัวน้อยๆ ตัวหนึ่งถูกนำมาทดลองดูบ้าง ผลที่ได้คือทำให้สมรรถนะร่างกายดีขึ้นอย่างมาก ร่างกายอึดขึ้น ความแข็งแรงและความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ขนาดผลจากการใช้อำพันมังกรยังแสดงผลอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพแต่ก็ยังทำให้ร่างกายของม้าพัฒนาขึ้นประดุจดั่งอาชาสวรรค์ วันต่อมาเขาได้ใช้อำพันมังกรกับม้าตัวนั้นต่อไป ถึงแม้จะทำให้เสริมศักยภาพร่างกายอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ไม่ได้ผลดีเท่ากับการใช้ครั้งแรกที่เขาใช้กับมัน ในตลอดห้าวันเขาลองใช้วันละก้อนผลจากการใช้ค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งไม่เกิดผลอะไรขึ้นเลย

 

อย่างไรก็ตามหลังจากร่างกายปรับสภาพได้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงจะทำให้สมรรถนะร่างกายสูงขึ้นและร่างกายแข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์ยังทำให้ร่างกายฟื้นฟูสู่สภาพดั้งเดิม หรือจะเรียกว่าสภาพที่ดีที่สุดก็ว่าได้ เขาที่หายไปกลับงอกขึ้นมาทำให้มันดูเหมือนกับยูนิคอร์นในตำนาน ยิ่งกว่านั้นความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกันแล้วถึงแม้เจ้าม้าผอมตัวนั้นจะรวดเร็วแต่ก็ยังไม่เท่ากับเจ้าม้าขาวตัวนี้ แถมเจ้าม้าขาวตัวนี้ยังเด็กอยู่ยังมีเวลาเติบโตอีกมากนัก

 

สำหรับเจ้าหนอนแดงนั้นซูจิ้งได้รู้ซึ้งถึงคุณสมบัติของมันอย่างดี ความสามารถในการดื่มแบบไร้ขีดจำกัดและที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถที่จะดื่มแอลกอฮอล์ 70 ดีกรีได้ถึง 30 ชั่งในหนึ่งวัน มันทำความเข้าใจได้ยากยิ่งว่าร่างกายเล็กๆ ของมันรับเอาไว้ได้ยังไง ยิ่งมันดื่มมากเท่าไหร่คุณภาพและความบริสุทธิ์ของไวน์ที่ได้จากการนำมันไปแช่น้ำจะยิ่งสูงขึ้น เมื่อนำมันแช่น้ำไปหนึ่งครั้งแล้วก็จะต้องเริ่มให้แอลกอฮอลล์มันดื่มใหม่อีกครั้งไม่งั้นมันจะไม่สามารถผลิตไวน์ได้อีก มันเหมือนกับเครื่องผลิตไวน์ชั้นเลิศที่ไม่จำเป็นต้องใช้การหมักด้วยด้วยข้าวหรือมอลต์ มันเหมือนกับการทำไวน์ด้วยการหมักไวน์ทำให้ไวน์ที่ได้กลายเป็นสุดยอดไวน์ไปเลย

 

นอกจากนี้ยังมีเจ้าดินจอมเขมือบ(ดินเซราง)ที่ตอนนี้มีน้ำหนักโดยรวมได้ 20 ชั่งเข้าไปแล้วและยังเติบโตมากขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับสารอาหารในดินที่เพิ่มขึ้นตามไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย

หลังจากซูจิ้งแน่ใจแล้วว่าเขาได้จัดการทุกอย่างแล้ว

เขาจึงได้ทำการกวาดล้างของไร้ค่าทั้งหมดออกไปทันทีเพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและเพิ่มเนื้อที่รองรับขยะ ทำให้สถานีกำจัดขยะของเขาว่างเปล่าอีกครั้ง

 

ในคืนนั้นหลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว เขานั้นได้หลับเป็นตายจนถึงตอนเช้าของอีกวันนึง เมื่อเขาลุกขึ้นก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วเขาก็กินข้าวเช้า เลี้ยงสัตว์ รดน้ำต้นมา ตามปกติของเขา อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังจะขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อให้อาหารแมลงปอ เขาต้องพบเจอเรื่องที่ต้องทำให้มึนงงอีกครั้ง สิ่งที่เขาเห็นคือในโหลแก้วเหล่าแมลงปอตัวเล็กนั้นยังอยู่ดี ร่างของเจ้าแมลงปอตัวใหญ่เองก็เริ่มเน่าและสลายไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขามึนงงนั้นเป็นเพราะที่ข้างโหลแก้วนั้นกลับปรากฎใบไม้หล่นอยู่ข้างๆ ผงเศษกิ่งไม้บางอย่างและกองผ้าเก่าๆ

 

พื้นที่เลี้ยงสัตว์ของซูจิ้งนั้นเป็นพื้นที่ที่ลับสุดยอดและรัดกุมอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าสัตว์เลี้ยงไม่มีวันหลุดออกมาได้อย่างแน่นอน รวมถึงเจ้าแมลงพวกนี้เองก็ไม่มีทางหลุดออกมาได้ แล้วของพวกนี้มาได้ยังไงกัน มันมาจากสิ่งมีชีวิตอื่นที่เขายังไม่พบตัวงั้นรึ

ซูจิ้งนั่งยองๆ เขาพยายามมองสำรวจอย่างถี่ถ้วนจนกระทั่งเขาพบบางอย่างที่ทำให้เขาต้องตกใจจนอ้าปากค้าง

เขาพบสิ่งที่คล้ายๆเม็ดถั่วซึ่งก็คือใบไม้ที่มีสีของเลือดสีดำสองใบ ลักษณะของใบคล้ายกับใบไม้ที่หล่นออกมาจากต้นอึ่งน้อย(Coptis ,สมุนไพรชนิดหนึ่ง) ซึ่งนิยมกินกันอย่างแพร่หลายในห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ซึ่งจะลักษณะเดียวกับต้นอึ่งน้อยของโลกนี้ ถึงแม้จะเหมือนกันมากแต่ซูจิ้งก็เข้าใจถึงสรรพคุณที่แตกต่างกันอย่างมากของสมุนไพรนี้

เขาเองก็จำได้ว่าเจ้าใบนี้คือใบไม้ที่เปื้อนเลือดที่พบบนตัวแมลงปอตัวแม่ เขาจำได้ว่าลูกแมลงปอนั้นไม่สนใจมันและเขาได้ทิ้งมันพร้อมขยะอื่นๆ ไปแล้วทำไมมันยังมาอยู่ตรงนี้อีกล่ะ เขาพลาดอะไรไปนะ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้พลาดยังไงมันก็ไม่ควรมาอยู่ที่ชั้นสามได้เลย

 

ซูจิ้งได้หยิบผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเก่าๆ ขึ้นมาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งแล้วพบว่าทั้งผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเหล่านี้ล้วนเปื้อนเลือด แถมยังเป็นเลือดของเจ้าแมลงปอตัวใหญ่ที่กระจายไปทั่วกองขยะเมื่อตอนนั้น แต่ปัญหาคือมันอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

 

“ฉันอาจจะเผลอหยิบมาหรือไม่ก็มีสัตว์เลี้ยงบางตัวที่เจอแล้วเอากลับมาด้วยเพราะว่ามีกลิ่นเลือดเหมือนเจ้าแมลงปอนั่น” ซูจิ้งคิดไปต่างๆนาๆถึงเหตุผลที่มันมาปรากฎอยู่ที่นี่ จนกระทั่งเขาเลิกคิดและโยนพวกมันทิ้งไปรวมกับขยะอื่นๆ

ตอนแรกเข้าก็คิดว่าเรื่องๆนี้จบลงแล้วแต่ว่าเมื่อรุ่งเช้าอีกวันมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ใบไม้ใบเดิม ผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเก่าๆ กลับมาอยู่ข้างโหลแก้วอีกครั้งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้งนี้ทำให้เขาอึ้งกว่าเดิมจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก

 

“เป็นไปไม่ได้น่า ต่อให้สัตว์เลี้ยงจะเก็บกลับมาจอกกองขยะอีกครั้งแต่มันก็ไม่ควรจะเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย” ซูจิ้งรู้สึกฉงนสงสัยอย่างหนักและติดสินใจหาคำตอบในเรื่องนี้

 

เขาทดลองนำทุกอย่างแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วนำแต่ละส่วนไปทิ้งไว้ในถุงขยะต่างที่กัน โดยนำส่วนหนึ่งไปทิ้งขยะในบ้าน อีกส่วนไปทิ้งไว้ที่ขยะหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมาและรอดูผลลัพธ์