ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

บทที่****185: ภายหลังการปะทะ

ในตอนนี้ทั้งสามคนเห็นแล้วว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองคนคือจ้าวสำนักและภรรยา เพื่อช่วยเหลือศิษย์ของตนเอง พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินทางหลายพันลี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แต่ความเหนื่อยล้านั้นไม่อาจห้ามได้ แต่หลังจากเห็นบุตรของตนเองกำลังไล่ล่าผู้ฝึกตนระดับจินตัน อารมณ์ของพวกเขาดีขึ้นมากจนความเหนื่อยล้าหายไปจนหมดสิ้น ทั้งสองคนมองมาที่เจ้าอ้วนด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

หลังจากนั้นเพียงครู่จ้าวสำนักได้กล่าวบางอย่างออกมา “เจ้าทำได้ดีมากเด็กน้อย เจ้ามีความกล้าหาญอยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้เจ้ากลับลักพาตัวหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักเสวียนเทียนออกมาด้วยถึงสองคน!”

ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกนางกลายเป็นแดงก่ำ ฉุ่ยจิ้งไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าหงหยิงไม่คิดเงียบ “ท่านพ่อ ท่านกำลังกล่าวเรื่องไร้สาระอะไรกัน?”

“แค่กแค่ก” เจ้าอ้วนรู้สึกอึดอัดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงพร้อมกับรีบอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาที่แห่งนี้เพื่อเที่ยวเล่นเท่านั้น!”

“เที่ยวเล่น?” จ้าวสำนักหัวเราะออกมา “เจ้าเดินทางมานับพันลี้เพื่อมาเที่ยวเล่นงั้นหรือ? แล้วเจ้าก็พบกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินในขณะเที่ยวเล่นงั้นหรือ?”

“เรื่องนั้น…” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาร้องไห้ออกมา “เราเพียงแต่ออกมาไกลนิดหน่อยและไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบปัญหากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน สถานที่แห่งนี้ไม่ควรจะมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่พวกเราได้พบกับเขา!”

“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเสริม “เห็นได้ชัดเจนว่าคนจากสำนักพันปีศาจวางแผนที่จะซุ่มโจมตีพวกเรา พวกเขาวางกับดักไว้ที่นี่ ต้องขอบคุณความฉลาดของศิษย์พี่ที่สามารถส่งตาเฒ่าเฟิงออกไปได้ ช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราทั้งหมดคงจะตายตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้!”

“กับดักแบบใดกัน?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่อ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้วจะซุ่มโจมตีทำไม? แปลก พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะปรากฏตัวที่นี่?”

“เรื่องนั้นพวกข้าไม่รู้” หงหยิงรีบตอบ

“เจ้าได้บอกกล่าวกับผู้อื่นหรือไม่ว่าจะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้?” จ้าวสำนักถามอย่างรวดเร็ว

“พวกเราไม่ได้บอกกับผู้ใด แล้วเราจะบอกผู้อื่นทำไม?” หงหยิงรีบกล่าว “มีแค่พวกเราสามคนเท่านั้น ภายในสำนักไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

“บางทีบางคนภายในสำนักพันปีศาจอาจจะรู้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา

“เป็นไปไม่ได้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเด็ดขาด “เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรนั้นเป็นการฝึกฝนที่ยากที่สุดในโลก ในโลกนี้มีเพียงข้าและท่านอาจารย์เท่านั้นที่เข้าใจมัน สำนักพันปีศาจเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีวันรู้!”

“อย่างนั้นก็แปลกมาก!” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาของเขาพลันเบิกโพลงพร้อมตะโกนออกมา “ข้ารู้แล้ว! ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าถามบุคคลผู้หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของข้า แม้ว่าข้าจะกล่าวกับเขาว่าไม่คิดจะมาที่นี่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา!”

“อือ! มันควรจะเป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เห็นได้ชัดว่ามีคนทรยศอยู่ภายในสำนัก กล่าวมาว่าใครเป็นคนบอกเจ้า?”

“เรื่องนั้น…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “ข้าถามหลายสิบคน!”

“สวรรค์! มันมากเกินไป ถ้าหากพวกเขาแพร่กระจายมันออกไปในครั้งเดียว ทุกคนก็คงรู้เรื่องนี้ไปทั่วใช่หรือไม่? ทำไมเจ้าจึงไม่ใช้สมองสักหน่อยล่ะ?” จ้าวสำนักตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด

เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างเสียใจ “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลเหล่านั้นสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพันปีศาจ? เรื่องนั้น… มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้!”

“เหอะ!” จ้าวสำนักส่ายศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “มันไม่สามารถคาดเดาได้? งั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจค้นหาความจริงได้!”

“อย่ากล่าวมั่วซั่วถ้าหากไม่มีหลักฐาน!” ภรรยาจ้าวสำนักขมวดคิ้วพร้อมกล่าวต่อ “ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน เราสามารถตรวจสอบมันได้ภายในอนาคต ตราบใดที่เรามีหลักฐาน แน่นอนว่าพวกเราจะทำอย่างยุติธรรมที่สุดเพื่อครอบครัวของเจ้า!”

“ขอบคุณขอรับ!” เจ้าอ้วนโค้งคำนับในขณะตอบกลับ

“ใช่แล้ว มันไร้ประโยชน์ถ้าหากเราพูดเรื่องนี้ในเวลาเช่นนี้ พวกเราต้องกลับไปคุยกันถึงการวางแผนในระยะยาว!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวตอบ

“เป็นเช่นนั้นก็ดี!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าว “สำนักพันปีศาจคงได้รับข่าวสารแล้ว พวกเราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน!”

ทั้งห้าคนเดินทางกลับเพื่อประหยัดเวลาและปราณจิตวิญญาณ เจ้าอ้วนหยิบนาวายักษ์สีดำออกมาอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของจ้าวสำนักทำให้นาวายักษ์แล่นได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่า ช่วยให้พวกเขาเดินทางกลับมายังสำนักเสวียนโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ในตอนนี้การเดินทางออกตามหาครอบครัวของตนเองได้สิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากที่เขากลับมายังสำนักเสวียนเทียน ทั้งสามคนถูกย่องเป็นวีรบุรุษ ไม่เพียงแต่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันและจับกุม แต่ยังสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อีกด้วย ทำให้ชื่อเสียงของทั้งสามแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว!

ทุกคนรู้ดีว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งยังมีชีวิตแทบเป็นอมตะ ภายใต้สถานการณ์ปกติยากมากที่พวกเขาจะถูกสังหาร แม้ว่าจะถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันก็ตาม มีวิธีการมากมายที่พวกเขาสามารถใช้หลบหนีได้ อัตราการเสียชีวิตของพวกเขานั้นน้อยมาก เหตุการณ์เช่นนั้นภายในหนึ่งร้อยปียังนับว่ายากพบพาน

แต่ในตอนนี้ สำนักเสวียนเทียนสามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้ และยังจับกุมตาเฒ่าเฟิงได้ภายในเวลาไม่กี่ปี นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหลัง ทุกคนรู้ดีว่าชื่อเสียงของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นมีความสำคัญอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะตายตกไปในสนามรบยังดีเสียกว่าการถูกจับกุม แต่ตาเฒ่าเฟิงได้สิ้นชื่อเสียงของเขาแล้ว เขาไม่มีโอกาสที่จะตาย ทั้งยังถูกจับกุมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตต่อไป นับได้ว่าเป็นความสำเร็จของสำนักเสวียนเทียนในรอบหลายร้อยปี!

เหตุผลที่สำนักประสบความสำเร็จเช่นนี้เป็นเพราะพวกเขาทั้งสามคน บุคคลที่สำคัญมากในตอนนี้คือเจ้าอ้วน แก่นศิลาสายลมของเขานั้นเต็มไปด้วยไหวพริบจนถึงจุดที่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเสียสติเพราะมัน ดังนั้นเขาจึงได้รับชื่อเสียงอย่างมากจากเรื่องนี้ แต่มีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงทำการเตรียมแก่นศิลาสายลมไปพร้อมกับซ่อนยันต์เคลื่อนย้ายระดับต่ำไว้ด้านใน เว้นเสียแต่ว่าเขาสามารถทำนายอนาคตได้?

แท้จริงแล้ว เจ้าอ้วนสั่งให้หญิงงามทั้งเก้าทำมันในตอนนั้นทันที ไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมการมาก่อน

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าอ้วนคือผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการจับกุมตาเฒ่าเฟิง สำหรับเรื่องนี้สำนักได้จัดงานเลี้ยงให้กับทั้งสามคน และให้เจ้าอ้วนเลือกสมบัติของตาเฒ่าเฟิงหนึ่งชิ้น

ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดมากมาย แน่นอนว่าเจ้าอ้วนต้องเลือกยันต์ไม้ของเขาโดยไม่ต้องคิด ยันต์ไม้นั้นมีชื่อเดิมว่ายันต์เจ็ดดาว มันดูเหมือนกับยันต์ไม้สีเขียวธรรมดา แต่รูปแบบของมันนั้นซับซ้อนเกินกว่าเจ้าอ้วนจะเข้าใจได้

ตามหลักของสำนักแล้ว ยันต์เจ็ดดาวนี้เป็นสมบัติโบราณที่จะต้องถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น มันไม่ใช่สมบัติที่สามารถโจมตีหรือป้องกันดังเช่นสมบัติวิญญาณอื่น ในความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ แต่ความพิเศษของมันคือการปิดกั้นการทำนาย!

ในความคิดของเหล่าคนธรรมดา ผู้ใดที่ครอบครองยันต์นี้จะสามารถหลบหนีการทำนายได้ แม้แต่เทพธิดาเหมยฮวาก็ไม่สามารถทำนาย มีเพียงการทำนายระดับสูงเท่านั้นจึงจะทะลวงผ่านยันต์เจ็ดดาว

ตอนนี้เจ้าอ้วนครอบครองระฆังทองแดงเพื่อป้องกันและมีเวทมนตร์สายฟ้าเพื่อโจมตี อีกทั้งยังมีดาบแห่งธาตุทั้งห้ารวมถึงภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ด้วยสิ่งของเหล่านี้เขาสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นอกจากนั้นเขายังมีแผนการที่จะปรับแต่งหุ่นกลรุ่นใหม่ออกมาในเร็ว ๆ นี้ เขาไม่ต้องการสมบัติวิญญาณอื่นอีก ดังนั้นเขาจึงเลือกสมบัติวิญญาณนี้ทันที อีกเหตุผลที่สำคัญมากสำหรับเขาคือเกรงกลัวการทำนายของฉุ่ยจิ้ง เขาเตรียมอุปกรณ์นี้ไว้เพื่อการปกปิดความลับของตนเอง นอกจากนั้นเขายังป้องกันตนเองจากศัตรูที่สามารถทำนายอนาคตได้อีกด้วย

แน่นอนว่าการเลือกเช่นนี้ทำให้ฉุ่ยจิ้งรู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่นางรู้ดีว่าเจ้าอ้วนไม่มีเจตนาร้ายกับนาง แต่เขาทำเพื่อปกป้องตนเอง ดังนั้นนางจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

หลังจากงานเลี้ยงที่สนุกสนาน ความเงียบสงบกลับมาสู่สำนักเสวียนเทียนอีกครั้ง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ เจ้าอ้วนถูกบังคับให้ยุติการเดินทางเพื่อตามหาครอบครัวของตนเองทันที แน่นอนว่าเขาไม่มีอะไรที่จะทำในวันหนึ่งวัน นอกเหนือจากการฝึกฝน เขาเดินมาพร้อมกับหงหยิงที่กำลังจะออกเดินทางในวันนี้ ในเวลาเดียวกัน เขายังแอบนำการปรับแต่งสายฟ้าออกมาด้วย

วันที่เงียบสงบนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จ้าวสำนักพันปีศาจได้ส่งจดหมายมายังสำนักเสวียนเทียน ภายในจดหมายเขากล่าวว่าต้องการใช้สมุนไพรอายุหนึ่งพันปีเพื่อล้างคำสาปให้กับดาบเทวะไร้ผู้ต้านเพื่อแลกกับอิสระของตาเฒ่าเฟิง

เหตุผลที่พวกเขายอมก้มหัวลงและยอมประนีประนอมเพราะไร้หนทางแล้ว ภายในสำนักพันปีศาจมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเพียงสี่คน เซือหมัวและตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นเพื่อนร่วมค่ายเดียวกัน ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นฝาแฝดอีกค่ายหนึ่ง พวกเขามีชื่อว่าแม่มดเมฆและสายลม โดยปกติแล้วเซือหมัวนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาตาเฒ่าเฟิงในการฝึกฝนช่วงสุดท้ายของระดับหยวนหยินเพื่อสนับสนุนกันและปรามแฝดทั้งสองคนนั้น แต่หลังจากที่ตาเฒ่าเฟิงประสบโชคร้าย ฝาแฝดเมฆและสายลมไม่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเซือหมัว

แม้ว่าทั้งคู่จะอ่อนแอว่าเซือหมัว แต่ระดับของพวกเขานั้นอยู่ใกล้ระดับหยวนหยินขั้นสุดท้ายแล้ว ทั้งคู่นั้นเข้าขากันได้ดีอย่างมากในการต่อสู้ ถ้าหากทั้งสองร่วมมือกัน แน่นอนว่าจะต้องเอาชนะเซือหมัวได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังจากที่เขาทราบข่าวเรื่องตาเฒ่าเฟิงถูกจับกุมโดยสำนักเสวียนเทียน ทั้งสองวางแผนที่จะล้มจ้าวสำนักพันปีศาจลงทันที

เมื่อไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ เซือหมัวไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงของเขาอีกต่อไป เขายอมก้มหัวและเริ่มเขียนจดหมายถึงสำนักเสวียนเทียนเพื่อขอให้เขาคืนอิสระให้กับตาเฒ่าเฟิง

ภายใต้สถานการณ์ปกติ สมุนไพรหลักหมื่นปีนั้นยังไม่อาจทำให้สำนักเสวียนเทียนสั่นไหวได้ แต่ในตอนนี้สถานการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว