บทที่ 5 เหมือนปัญญาอ่อน Ink Stone_Fantasy
ลั่วเพียนเซียนมองภาพของลุงปีศาจหนูแวบหนึ่ง ซ้อปีศาจหนูเอาภาพงานแต่งงานของพวกเขาออกมา
หลังจากดูแล้ว ปีศาจผีเสื้อน้อยก็วางมันเอาไว้ในกระเป๋าเป้ของตนเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็โค้งเอวลงเล็กน้อย “พี่จื่อจวิน พวกเราจะเข้าไปได้ยังไง”
เพราะถึงแม้ว่าปีศาจผีเสื้อน้อยจะเป็นปีศาจประเภทค่อนข้างตัวเล็ก แต่ซูจื่อจวินที่เป็นครึ่งผีดิบก็ยังดูตัวเล็กกว่าหน่อย
ซูจื่อจวินมองดูสีท้องฟ้าและก็เห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว พวกเธอรอจนถึงตอนค่ำ หลังจากปิดศูนย์สัตว์เลี้ยงแล้วถึงได้เริ่มเดินทาง
เดิมทีลั่วเพียนเซียนก็ไม่คิดที่จะมา ผีเสื้อน้อยเชื่อฟังคำสั่งของหลงซีรั่วว่าไม่ต้องไปเรียนพิเศษชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่ให้เธอเข้าร่วมทดสอบ ดังนั้นทุกคืนหลังจากเลิกงานแล้วเธอก็จะอ่านหนังสือ
อีกอย่างช่วงนี้ตอนที่ลูกค้ามนุษย์พาสัตว์เลี้ยงมารักษาก็แนะนำให้เธออ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ดูเหมือนจะน่าอ่านมาก!
ชื่อหนังสือ ‘XXX สมาคม’
แต่ว่า
ไป ฉันจะพาเธอไปรู้จักกับโลกของปีศาจที่โตแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเธอจึงมาถึงเขตโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง
“ตามปกติแล้ว ที่นี่จะใช้ไข่มุกที่ควบรวมจากพลังปีศาจมาเป็นค่าเข้า ไม่มากนัก เพียงแค่พลังหนึ่งเดือนก็ได้แล้ว” ซูจื่อจวินเดินไปยังคลังสินค้าที่ประตูและหน้าต่างทุกบานปิดสนิท พร้อมพูดว่า “ค่าใช้จ่ายด้านในก็เหมือนกัน ใช้จ่ายเป็นไข่มุกพลังปีศาจทั้งสิ้น”
“พลังปีศาจหนึ่งเดือนเป็นเพียงแค่ค่าเข้างั้นเหรอ?” ผีเสื้อน้อยพูดออกมา
หลังจากที่เชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์แล้ว ผีเสื้อน้อยก็ไม่จำเป็นต้องใช้มือนับอีกต่อไป…เธอรู้ว่าพลังปีศาจหนึ่งเดือนนั้นหมายถึงอะไร
อยู่ในเขตป่ามีลมปราณหยวนชี่มากกว่าเขตเมือง ทั่วไปแล้วมักจะเป็นอัตราหนึ่งต่อสองเท่า และสามเท่าเป็นต้น แบ่งตามเขตเช่นเขตอุตสาหกรรมหนักที่มีมลพิษปนเปื้อนมากก็จะมีอัตราส่วนเปรียบเทียบที่สูงขึ้นอีก
และก็หมายถึงว่า…ปีศาจที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องใช้พลังปีศาจที่สะสมมาสองถึงสามเดือนในการเข้าไป
“โลกของปีศาจที่เติบโตแล้วแพงจริงๆ…”
ซูจื่อจวินพูดอย่างเย็นชาว่า “แบบเธอที่อาศัยแต่การดูดซับแสงจันทร์อย่างเดียวก็ต้องแพงอยู่แล้ว”
ผีเสื้อน้อยไม่ได้พูดอะไร…ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจโลกมนุษย์มากนัก แต่ก็เข้าใจเรื่องพื้นฐานในโลกปีศาจอยู่ไม่น้อย เธอรู้ว่านอกจากวิธีเดียวนั้นเป็นยังมีวิธีอะไรอีกบ้าง
นี่ทำให้เธอคิดถึงปีศาจตั๊กแตนที่เคยไล่ฆ่าเธอตัวนั้น…การกินปีศาจตนอื่นก็คืออีกวิธีที่จะเพิ่มพลังปีศาจได้
แต่ปีศาจตั๊กแตนตัวนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ทั้งตอนนี้เธอก็ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของพี่หลง ความรู้สึกหวาดกลัวตลอดเวลาว่าจะถูกปีศาจตั๊กแตนจับกินนั้นกลายเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว
แต่หากตอนนั้นเธอหาสถานที่แห่งนั้นไม่พบ และไม่เจอกับเจ้าของสมาคมก็คงจะไม่มีชีวิตต่อมาเช่นนี้
ผีเสื้อน้อยคิดไปถึงเหล่าเฉินและป้าร้านซาลาเปา คิดไปถึงเจ้าของสมาคมที่ให้น้ำผึ้งเธอถึงสองครั้ง เมื่อคิดแล้วก็ใจลอยเล็กน้อย
“ถึงแล้ว”
ซูจื่อจวินยืนอยู่หน้าประตูเหล็ก ลั่วเพียนเซียนได้สติขึ้นมา วางมือไว้บนริมฝีปากของตนเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เธอทำอะไร” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วถาม
ในปากของลั่วเพียนเซียนเหมือนมีอะไรอยู่ พูดว่า “ค่าเข้าไง พี่สาวจื่อจวินรอแป๊บหนึ่ง ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับการควบรวมพลังปีศาจนัก อีกทั้งยังต้องควบรวมถึงสองเดือนอีก”
“…เธอจะคายสองเดือนมาทำอะไร”
“ค่าเข้าของพี่ไง” ลั่วเพียนเซียนพูดอย่างมีเหตุผล
“…เธอจะเลี้ยงฉันเหรอ”
“ใช่แล้ว พี่จื่อจวินเป็นคนพาฉันมา คงไม่ดีแน่ถ้าจะให้พี่ออก” ผีเสื้อน้อยกะพริบตา “ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านป้าร้านซาลาเปารับเลี้ยงฉันเคยสอนฉันว่า ถ้าหากเป็นเพื่อนกันก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
ซูจื่อจวินชะงัก
ผีเสื้อน้อยคายไข่มุกปีศาจสองก้อนออกมาใส่มือ พิจารณาดูแล้วก็พูดว่า “พี่หลงดีกับฉันมาก พี่จื่อจวินก็ดีกับฉันมากเหมือนกัน บนโลกนี้มีน้อยคนที่ดีกับฉัน ดังนั้น…”
เธอส่งไข่มุกปีศาจเม็ดหนึ่งไปให้ซูจื่อจวิน หัวเราะเหมือนสายลมบางเบาที่มาพร้อมกับไอหมอกในภูเขา “…ฉันก็จะดีกับพวกพี่เช่นเดียวกัน”
เธอเป็นปีศาจที่มาจากมิติไหนกันแน่…
ซูจื่อจวินมองไข่มุกที่ส่องแสงเป็นประกายบนมือเล็กแล้วก็รู้สึกงงงวย
ทันใดนั้นซูจื่อจวินก็หันกลับไปอย่างสับสนวุ่นวาย แล้วสบถว่า “เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า! ฉันไม่ต้องการเพื่อน! อีกอย่าง ฉันซูจื่อจวินจะเข้าไป ใครจะกล้าเอาค่าเข้ากับฉัน กลืนไข่มุกพังๆ ของเธอกลับไป ชิ!”
คุณหนูลูกครึ่งผีดิบตัวเล็กยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ยืนเท้าออกไป
ถีบเข้าไปที่ประตูเหล็กบานนั้น
ปัง เสียงประตูเปิดออก เสียงผสมปนเปต่างๆ นานาด้านในดังลอดออกมาในทันที และในขณะเดียวกันก็มีเด็กผู้ชายแต่งหน้าหนาเตอะสวมชุดที่เต็มไปด้วยตะปูเดินออกมาทันที
“เป็นใครกล้ามาถีบประตูที่นี่? รนหาที่ตายงั้นหรือ!”
เสียงของเด็กผู้ชายไม่ใหญ่มาก ทั้งยังนุ่มนิ่ม…แต่กลับมีความน่ากลัวชนิดหนึ่งเข้ามาด้วย อย่างน้อยก็ทำให้ปีศาจผีเสื้อน้อยฟังแล้วเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
“ฉันเคยถีบมาแล้วเป็นร้อยครั้ง นายมีปัญหาอะไรไหม กุ่ยอิง?” ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ
เด็กผู้ชายตรงหน้า…กุ่ยอิงสะดุ้งตกใจ ขยี้ตาของตนเอง เสียงเปลี่ยนเป็นสั่นระริกขึ้นมาในทันที “จื่อ จื่อ…ลูกพี่ใหญ่จื่อจวิน! ท่าน ท่าน…ยินดีต้อนรับกลับมา!”
กุ่ยอิงรีบโค้งตัวลงเก้าสิบองศา
ลูกพี่ใหญ่?
ผีเสื้อน้อยเอียงคอเล็กน้อย เริ่มเปิดพลิกพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่ภายในหัวอย่างรวดเร็ว
ความหมายของลูกพี่ใหญ่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
“ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ ฉันมาหาซุนเสี่ยวเซิ่ง บอกให้เจ้านั่นไสหัวออกมาพบฉันเดี๋ยวนี้!” ซูจื่อจวินสบถเสียงเย็น แผ่อำนาจออกไป
กุ่ยอิงรีบเช็ดเหงื่อเย็นออกแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้น…ลูกพี่ใหญ่ เจ้าของร้านไม่อยู่ คืนนี้เขาไปดูคอนเสิร์ตแล้ว…”
“คอนเสิร์ต?” ซูจื่อจวินชะงัก ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คืออะไรกัน?”
“เหมือนจะเป็นวงอะไรสักอย่างนี้แหละ” กุ่ยอิงส่ายหน้าพูดว่า “ผมก็ไม่เข้าใจ…”
ซูจื่อจวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า “เอาเถอะ เจ้านั่นไม่อยู่ก็ดี จะได้ลดอาการสะอิดสะเอียนของฉันลงหน่อย…เธอตามฉันเข้าไป อยากจะดื่มอะไรก็หยิบได้ตามสบาย! ใครกล้าคิดค่าใช้จ่ายกับเธอ เธอก็เอาขวดแก้วทุบหัวเลย แล้วจะไม่มีใครกล้าแตะตัวเธออีก!”
พี่จื่อจวิน พี่เป็นใครกันแน่…
…
…
จะพูดยังไงดี
น่าจะประมาณช่วงวัยรุ่นที่เคยผ่านช่วงความน่าอายมา…นั่นก็คือเคยถูกวงดนตรีครอบงำ
เจ้าของสมาคมลั่วนำคุณหนูสาวใช้มาถึงงานคอนเสิร์ต แน่นอนว่าไท่อินจื่อก็อยู่ด้านหลังด้วย
ไท่อินจื่อเข้าร่วมงานคอนเสิร์ตนี้ด้วยชุดระเบิดหัว หากไม่ใช่เพราะมีนายท่านใจดำและคุณหนูสาวใช้ที่ใจดำกว่าอยู่ข้างๆ เกรงว่าไท่อินจื่อคงจะไปโยกกับคนในงานแล้ว
โย่ววว
“ไท่อินจื่อ” เจ้าของสมาคมลั่วพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “นี่คือคอนเสิร์ตที่นายจองตั๋วไว้ล่วงหน้าและไม่อยากพลาดใช่ไหม”
“ใช่แล้ว นายท่าน” ไท่อินจื่อพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างสกปรกพูดว่า “นายท่านว่ายอดเยี่ยมไหม!”
“หากดูแค่เสียงเอฟเฟ็กต์แล้วก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่ว่า…” ลั่วชิวมองไปรอบด้าน สุดท้ายก็จ้องมองไปที่บอร์ดกระดาษขนาดใหญ่หน้าทางเข้า นั่นเป็นรายชื่อสมาชิกในวง
เจ้าของสมาคมลั่วถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่านายน่าจะเข้าใจอะไรผิด”
“เอ๋?” ไท่อินจื่อชะงัก…เกิดความรู้สึกไม่ค่อยดี
ลั่วชิวส่ายหน้าแล้วพูดเบาๆ ว่า “เมื่อกี้ฉันยังสงสัยว่าวงดนตรีนั่นจะได้รับอนุญาติให้มาเปิดคอนเสิร์ตทางนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร ทั้งยังไม่มีการรายงานจากสื่ออีกด้วย…แต่ตอนนี้ฉันว่าฉันรู้แล้ว”
“อะไร”
“เป็นเยอรมัน…ไม่ใช่เยอรมนี”
“และ และก็หมายความว่า…”
“นี่เป็นวงท้องถิ่นธรรมดาทั่วไป”
พวกเรามาดูบรรยากาศรอบด้านกันเถอะ
ไม่ใช่โรงยิมที่สามารถจุคนได้เป็นหมื่นอย่างที่เจ้าของสมาคมลั่วคิดเอาไว้ แต่เป็น…ไนต์คลับแห่งหนึ่ง
ริมฝีปากของไท่อินจื่อกระตุก ดูเหมือนคิดจะพูดอะไร แต่เมื่อมองเห็นรายชื่อสมาชิกบนบอร์ดแล้วก็สติหลุดเงียบลงไป
เป็นอย่างนี้ได้ไง
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้
เห็นได้ชัดว่ามีวงดนตรีที่ชอบมากที่สุดเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าได้รับการอภัยจากนายท่าน เมื่อความสุขสองชนิดนี้รวมกันก็น่าจะเป็นความสุขที่มากขึ้นถึงจะถูก…
แต่…ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้
เป็นถึงแฟนคลับที่เชื่อมั่นในวัฒนธรรมเพลงร็อคคนหนึ่ง เขาจะทำเรื่องเช่นการเข้าร่วมคอนเสิร์ตฟรีได้อย่างไร ถึงแม้เงินที่เขาใช้ซื้อตั๋วจะเป็นเงินที่เก็บมาจากร่างของมนุษย์ แต่ก็ยังเป็นการใช้เงินจริงซื้อมา
“เจ้าชั่วที่ขายตั๋วคนนั้น! พูดอะไรกับข้า! ข้า…ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า!”