บทที่ 6 เสี่ยวเซิ่งเกอกับกุยเชียนอี Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อมาแล้วก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ”
ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้นั้น ไท่อินจื่อก็แทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเลย
เสียงกรีดร้องจากปากของเขา ภาพนักโทษถูกตัดหัวอยู่บนลานประหารฉายขึ้นในสมองของเขามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
อย่างเช่น เขาอาจจะถูกคุณหนูสาวใช้จับมัดแล้วใช้แส้ฟาด
ภาพสถานการณ์สวยงามเกินไป จนไท่อินจื่อเปลี่ยนไปเป็นเนื้อเรื่องใหม่
อย่างเช่น เจ้าของสมาคมอาจจะห้ามไม่ให้เขาแต่งตัวแบบนี้อีก และก็ยกเลิกวิญญาณและระเบิดหัวร่างนี้ของเขา…
เอาเถอะ แต่เขากลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้านายของตนเองจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แบบนี้
“นายท่าน…ท่าน ท่านตัดสินใจจะเข้าไปดูคอนเสิร์ตนี้จริงๆ นะหรือ” ไท่อินจื่อถามออกมา
“มีปัญหางั้นหรือ” ลั่วชิวตอบแบบไม่ใส่ใจ “อีกอย่าง ฉันก็ไม่เคยเดินเล่นในสถานที่แบบนี้มาก่อน มาดูบ้างก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจจะเจอเรื่องสนุกๆ อะไรก็ได้”
เจ้าของสมาคมเดินไพล่หลังเข้าไป ดูเหมือนจะอารมณ์ดีทีเดียว คุณหนูสาวใช้ก็ก้าวเท้าตามไปติดๆ
ไท่อินจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบตามไป เขาก็ต้องไปดูสิ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องเสียใจต่อตั๋วที่เขาซื้อมา “นายท่าน รอข้าด้วย รอข้าด้วย…”
ไท่อินจื่อก็รีบตามไป
…
ข้างถนนนอกไนต์คลับแห่งนี้
ที่นี่เป็นที่รวมตัวของร้านของกินเล่นยามกลางคืนมากมายหลายร้าน กลิ่นหอมเครื่องเทศเข้มข้นหลากหลายชนิดกระจายออกมา ถึงจะยืนอยู่ไกลก็ยังได้กลิ่น
ด้านหน้าร้านรถเข็นขายไข่ปลาร้านหนึ่งมีคนเลิกงานและคนผ่านไปผ่านมารุมล้อมอยู่เต็มไปหมด เพราะไข่ปลาร้านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังและที่สำคัญก็คือถูกมากด้วย
เจ้าของร้านรถเข็นไข่ปลามีชื่อในวงการว่าอวี๋ต้านเฉียง อวี๋ต้านเฉียงพูดอย่างหมดความอดทนว่า “เว้ย เสี่ยวเซิ่งเกอ พี่ใหญ่เสี่ยวเซิ่ง หม้อทุกหม้อของฉันก็ถูกพี่พลิกคว่ำหมดแล้ว ก็บอกแล้วว่าไม่มี”
อวี๋ต้านเฉียงมองชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีตรงหน้า ใบหน้าของเขามีเคราเข้มทั้งสองข้างแต่กลับดูหล่อเหลา ทรงผมตั้งมีจอนผมสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว
ไม่ได้บอกว่าคนคนนี้เป็นคนชนิดที่โดดเด่นเป็นพิเศษ…เพียงแต่สามารถพูดได้ว่ายุคของเขาดูไม่เข้ากับยุคนี้เลย และก็ไม่รู้ว่าเป็นสไตล์ของยุคไหน
“ฮา! อวี๋ต้านเฉียงอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าแกมักจะซ่อนไข่ปลาที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ใต้หม้อ” ชายหนุ่มที่มีเคราและผมจอนหรี่ตาลง พูดด้วยสำเนียงซื่อชวนออกมาว่า “เพียงแค่มีแท่งไม้ไผ่ ถึงแม้จะอยู่ใต้หม้อข้าก็จะแทงทะลุให้เจ้าดู!”
อวี๋ต้านเฉียงไม่คิดว่าคำพูดนี้เป็นเพียงแค่คำพูดล้อเล่น เพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายใช้แท่งไม้ไผ่แทงทะลุหม้อได้จริงๆ
“ฮา! ยังไม่ให้ข้าหาพวกเจ้าพบอีก!” เสี่ยวเซิ่งเกอหัวเราะให้กับผลลัพธ์ที่เขาทำได้ แท่งไม้ไผ่แท่งเดียวกำลังแทงทะลุหม้อไข่ปลาขนาดใหญ่หลายหม้อ
ลูกค้าคนอื่นๆ ก็เริ่มค้นหาในหม้ออย่างกระตือรือร้น เห็นเพียงเสี่ยวเซิ่งเกอดีดนิ้ว เหล็กไม่กี่อันถูกดีดลอยไปที่กล่องเงินของอวี๋ต้านเฉียงอย่างแม่นยำ จากนั้นก็จากไปด้วยสีหน้าภาคภูมิใจกับชัยชนะ
อวี๋ต้านเฉียงได้แต่ทำหน้าเศร้ามองลูกค้าคนอื่นๆ เริ่มทำลายร้านของตนเอง จากนั้นก็ไม่สนใจนั่งลงแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
เขามองไปที่กล่องเงินของตนเองแล้วก็มองไปยังเจ้าคนประหลาดไว้ผมจอนแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดูดยาสูบ
เขาชื่อว่าอวี๋ต้านเฉียง เปิดร้านขายไข่ปลาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เขารู้แต่ว่าเขาชื่อเสี่ยวเซิ่ง เป็นคนแปลกประหลาด พูดสำเนียงซื่อชวนแต่กลับไม่ชอบใส่ซอสหม่าล่าลงในไข่ปลา และจับได้ทุกครั้งที่เขาจงใจซ่อนไข่ปลาลูกใหญ่เอาไว้
เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและก็ไม่เคยถามอะไรเขา
ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่ คนขายไข่ปลาและคนหาไข่ปลาที่ซ่อนอยู่ หลายวันถึงเจอกันสักครั้งหนึ่งและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำเพื่อความสนุกเท่านั้น
พบเจอกันเป็นบางครั้ง
ไม่สนว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
…
จากนั้นเสี่ยวเซิงเกอก็ก้าวไปตามจังหวะของเสียงที่ดังกระหึ่มออกมาจากนอกประตูของไนต์คลับแล้วโยกตัวเบาๆ และก็ไม่มีใครห้ามปรามเขาเพราะว่าเขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
เมื่อบ๋อยของไนต์คลับมองเห็นเขาที่ปากทางเข้า ก็ร้องเรียกอย่างสนิทสนมว่าเสี่ยวเซิ่งเกอด้วยความประจบประแจง
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เจ้าของหรือว่าหุ้นส่วนของที่นี่ แต่เจ้าของไนต์คลับก็ยินดีจะประจบเขา ใช่แล้ว เสี่ยวเซิ่งเกอยังชอบกินของกินเล่นข้างทางอีกด้วย
“วันนี้เสี่ยวเซิ่งเกอมาเร็วจังเลย”
“ฮา ก็วันนี้คึกคัก” เสี่ยวเซิ่งเกอหัวเราะพูดว่า “ฉันชอบความคึกคัก รู้ไหมว่าทำไม?”
“ทำไมเหรอ” บ๋อยต้อนรับของไนต์คลับถามออกไป
เสี่ยวเซิ่งเกอหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า เมื่อได้ดูความคึกคักก็จะไม่สนใจว่าเรื่องจะใหญ่ไหม”
“…เสี่ยวเซิ่งเกอพูดถูก พูดถูกจริงๆ ถูกแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ!” บ๋อยต้อนรับของไนต์คลับพูดอย่างมีความสุข “ผมนับถือเสี่ยวเซิ่งเกอแล้ว…มา มา มา เชิญด้านใน ครั้งนี้มีคนมาเยอะเลย!”
เสี่ยวเซิ่งเกอจิ้มไข่ปลาลูกหนึ่งเข้าปาก ยิ้มตาหยี่แล้วพูดว่า “ฉันมองเห็นแล้ว มีผีเฒ่ามาเยอะทีเดียว”
เสี่ยวเซิ่งเกอมองดูที่ปากทางเข้า…แล้วก็มองเห็นแผ่นหลังหัวระเบิดร่างหนึ่ง
“ผีเฒ่า?” บ๋อยต้อนรับของไนต์คลับตกใจ มองไปรอบด้านแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ไม่เห็นมีคนแก่เลยนิ เสี่ยวเซิ่งเกอ”
เสี่ยวเซิ่งเกอชี้ไม้ไผ่ในมือออกไป หัวเราะแล้วพูดว่า “มองเห็นไหม? ด้านหลังของแกมีอยู่คนหนึ่ง?”
“ด้านหลัง?”
บ๋อยต้อนรับของไนต์คลับหันกลับไปแต่ก็มองไม่เห็นอะไร แต่ในตอนที่เขาหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าเสี่ยวเซิ่งเกอหายไปแล้ว
แต่รู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านหลังไปทำให้บ๋อยต้อนรับของไนต์คลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา เขาส่ายๆ หัวแล้วก็ไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นๆ
เสียงนอกประตูดังมากขึ้น…เพื่อให้บรรยากาศดูคึกคักมากขึ้น
…
…
“บึม บึม บึม ตึง ตึง ตึง ตึง…”
ลั่วเพียนเซียนไม่เคยเห็นบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้มาก่อน และบรรดาปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์มนุษย์ของตนเองที่นี่
พวกมันบางตนกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งบนฟลอร์ และก็มีบางตนที่เมาอยู่มุมใดมุมหนึ่งแล้ว…แน่นอนว่าผีเสื้อน้อยกำลังตกตะลึงกับฉากที่เห็น
ผีเสื้อน้อยใช้สิบนิ้วปิดตาตนเอง มองเห็นในมุมมืดมุมหนึ่งมีปีศาจสุนัขเปลือยกับปีศาจแมวเปลือยกำลัง…
ผีเสื้อน้อยหน้าแดงแล้วก็รีบก้มหน้า เลียปาก กัดหลอดดูดแล้วดื่มเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่หวานเป็นพิเศษ
โลกของปีศาจที่โตแล้ว…น่ากลัวจริงๆ
รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรง
ลั่วเพียนเซียนยังรู้สึกอีกว่าภาพตรงหน้าเริ่มหมุนวน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นกลับหัวกลับหางขึ้นมา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้…ผีเสื้อน้อยกลับปลอดภัยมาก เพราะมีกุ่ยอิงคอยจ้องมองอยู่ไม่ไกล
กุ่ยอิงเล่นมีดเล่มเล็ก เผยรอยยิ้มอันน่ากลัวเป็นครั้งคราวก็สามารถข่มขู่ให้บรรดาปีศาจที่ใจกล้าเพราะเมาให้หวาดกลัวถอยห่างออกไปได้อย่างง่ายดาย
กุ่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน บนชั้นสองของคลังสินค้าหลังจากปรับปรุงใหม่ ซูจื่อจวินกำลังคุยกับอีกคนอยู่ในห้องกระจกขนาดใหญ่
นั่นคือผู้จัดการของเอลิเซียมบาร์…เมื่อเจ้าของร้านซุนเสี่ยวเซิ่งไม่อยู่ เรื่องราวก็ต้องให้ผู้จัดการมารับผิดชอบ
“ชิ เต่าเฒ่าตัวนี้” กุ่ยอิงก้มหน้าลงพึมพำ
แน่นอนว่าเต่าเฒ่าไม่ใช่คำด่าอะไร แต่เป็นเพราะผู้จัดการเอลิเซียมบาร์มีร่างจริงเป็นเต่า และมีชื่อว่า กุยเชียนอี
“องค์หญิงมาหากระหม่อมไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร”
กุยเชียนอีพูดช้าๆ
ซูจื่อจวินมองกุยเชียนอีแวบหนึ่ง รู้ดีว่าถึงอย่างไรก็เปลี่ยนคำเรียกที่เต่าเฒ่าตนนี้เรียกตนเองไม่ได้ จึงพูดตรงๆ ว่า “เจ้าเคยเห็นปีศาจที่ชื่อว่าซูโย่วไหม”
“ซูโย่ว…หนูโย่ว?” กุยเชียนอีขมวดคิ้วแล้วลองถามว่า “องค์หญิง ซูโย่วนี้เป็นคนใหญ่คนโตของเผ่าหนูงั้นหรือ ดูเหมือนกระหม่อมจะไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เป็นเพียงแค่ปีศาจน้อยตนหนึ่ง” ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ “เผ่าหนูยังมีปีศาจเฒ่าอยู่ด้วยเหรอ”
“อืม ไม่มีจริงๆ” กุยเชียนอีพยักหน้า แล้วก็ยื่นหัวออกไปถามต่อว่า “องค์หญิง ไม่ทราบว่าท่านหาซูโย่วด้วยเรื่องอะไร ซูโย่วมีความสัมพันธ์อะไรกับองค์หญิง”
“เจ้าสนใจแค่ตอบข้าว่าเคยเห็นหรือไม่ ไม่ต้องถามมาก” ซูจื่อจวินเอ่ย “ซูโย่วผู้นี้หายตัวไปและสถานที่สุดท้ายที่เขาอยู่ก็คือที่นี่ อีกอย่างกลิ่นอายของเขาก็เริ่มหายไปจากที่นี่”
“เรื่องนี้…” กุยเชียนอีพูดอย่างลำบากใจว่า “องค์หญิง ท่านก็ทราบว่าปีศาจที่มาใช้จ่ายอยู่ที่นี่นั้น หากไม่ก่อเรื่องอะไรแล้วพวกเราก็จะไม่สนใจ กลิ่นอายของหนูโย่วที่ท่านพูดถึงเริ่มจางหายไปจากที่นี่ หากพูดไปพูดมาก็มีความเป็นไปได้ไม่กี่อย่าง…”
กุยเชียนอีเบิกตากว้างขึ้น มองเห็นใบหน้าของซูจื่อจวินเริ่มฉายแววรำคาญ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “แต่องค์หญิงวางใจได้ ในเมื่อองค์หญิงเป็นผู้ออกปากเอง ไม่ว่าซูโย่วผู้นี้จะเป็นหรือตาย กระหม่อมก็จะหาคำตอบมาให้ท่านให้ได้”
ซูจื่อจวินเดินไปตรงหน้าหน้าต่างกระจก มองไปยังลั่วเพียนเซียนที่หมอบอยู่บนบาร์ด้านล่างแวบหนึ่งแล้วก็พูดว่า “ข้าจะรอถึงยามอิ๋น* หาคำตอบมาให้ข้าก่อนยามอิ๋น”
“เรื่องนี้…องค์หญิง วันๆ หนึ่งมีปีศาจเข้าออกบาร์มากมาย ทั้งยังมีที่ผ่านมาหา…ยามอิ๋นนั้นสั้นไปหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ก่อนยามโฉ่ว*”
ท่านเป็นองค์หญิง…ท่านพอใจก็ดีแล้ว
กุยเชียนอีเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก พูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เช่นนั้นก็ก่อนยามอิ๋นเถอะ…ใช่แล้ว องค์หญิง ข้ายังมีอีกปัญหาหนึ่ง องค์หญิงท่านจะยอมกลับเมื่อไหร่”
ซูจื่อจวินค่อยๆ อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวสี่เขี้ยวอันแหลมคมด้านบนและด้านล่างแล้ว พูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ข้าเป็นผีดิบ ไม่เกี่ยวข้องกับเมื่อก่อน”
กุยเชียนอีถอนหายใจแล้วพูดว่า “องค์หญิง ถึงชาตินี้ท่านจะเกิดใหม่เป็นผีดิบ แต่ก็ไม่อาจซ่อนวิญญาณที่แท้จริงของท่านได้ว่าเป็น…”
“พอแล้ว!”
ดวงตาของซูจื่อจวินแดงฉานขึ้นในพริบตา
กุยเชียนอีถอนหายใจ “องค์หญิงระงับความโมโหด้วย กระหม่อมจะใช้ให้คนไปสืบข่าวของซูโย่วเดี๋ยวนี้”
*ยามอิ๋น คือช่วงตีสามถึงตีห้า
*ยามโฉ่ว คือช่วงตีหนึ่งถึงตีสาม